27/8/52

ตอนที่ 9 : ลาก่อนบ้านของเรา




จากบ้านหลังน้อยที่เคยอยู่ตั้งแต่เกิด ความทรงจำที่อบอุ่น เพื่อนบ้านที่ใจดี และเพื่อนๆน้องๆ ที่เคยวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาสู่ ตึกแถวห้าชั้นย่านสาธุฯ ที่เป็นที่ตั้งของร้านวีดีโอของพ่อ............

ร้านวีดีโอที่สาธุประดิษฐ์นี้ ข้างล่างเป็นพื้นกระเบื้องสีขาวที่เขาทำมาอยู่แล้วแต่ได้รับการขัดถูใหม่อย่างสะอาดสะอ้าน กำแพงบุวอลเปเปอร์แทนการทาสีสีขาวนวล ชั้นวีดีโอสีเหลืองสด ตัดกับเค้าเตอร์ใหญ่สีน้ำเงินสด สดใส ร้านมีลักษณะด้านหน้ากว้าง ด้านหลังแคบลงเหมือนไซดักปลา ด้านขวาติดร้านค้าของเก่า หรือร้านรับซื้อขยะนั่นเอง ซึ่งร้านนี้จะมีฝุ่นทุกวัน จนชั้นสองที่เป้นห้องนอนต้องเอาสก็อคเทปมาติดตามหน้าต่าง ด้านซ้ายติดร้านขายเกมส์เพลสเตชั่น ถัดไปก็ร้านทอง
ชั้นที่เป็นห้องนอนอยู่ชั้นสอง มีครัว ห้องน้ำ พร้อม ครัวก็แบบง่ายๆ แค่เตาไฟฟ้า เตาเดียว ห้องนอนก็มีห้องเดียว
แม่แค่ซื้อที่นอนใหญ่ๆ มาต่อกันไว้ครึ่งห้อง แบ่งห้องเป็นสองส่วนคือส่วนทำงานของแม่กับส่วนที่นอนด้วยผ้าม่านที่แม่เย็บเอง ทุกอย่างง่ายดาย เราขนมาแค่โต๊ะทำงานของแม่กับตู้เสื้อผ้าใบเล็กใบเดียวจากบ้านเดิม เพราะนอกนั้นมันก็ขนมาไม่ได้ แม่ไม่ทำอะไรเลยกับห้องนอนนี้

" แต่งไปก็เท่านั้น ไม่ใช่บ้านของเรา มันไม่เหมือนแต่งบ้านตัวเอง จะสวยจะดีอย่างไรก็ทำให้บ้านของเราไม่ไปไหนเสีย" แม่บอกเหตุผล

และชีวิตเรียบง่ายแต่ยุ่งเหยิง ก็เริ่มต้นที่นี่

เรามีพี่เลี้ยงและลูกจ้างประมาณ 10 คน ที่นี่จะพักกันที่ห้องอัดชั้นสี่ และชั้นห้า สำหรับพนักงาน ทุกชั้นที่นี่มีเหมือนกันคือ ครัวกะห้องน้ำ เหมือนห้องชุดเลยที่เดียว การแต่งตึกแถวของที่นี่นับว่าดี ทันสมัย วัสดุดี เพราะเจ้าของเป็นคนละเอียด ประกอบกับผู้เช่ารายล่าสุดเขาเป็นร้านขายหินอ่อน ชั้นสองที่เรานอน เลยเป็นห้องนอนหินอ่อนเย็นดี เสียอย่างเดียว ที่ร้านติดกับร้านขายของเก่า ฝุ่นเลยมีมากมาย
ห้องฉันมีเรื่องกรองอากาศถึง 3 เครื่อง และที่นี่คือที่ๆเป็นบ่อเกิดต่อโรคภูมิแพ้ของฉันเลยทีเดียว

จะเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า ตึกแถวห้องนี้เจ้าที่แรง แต่แม่ฉันทำมาค้าขึ้นอยู่คนเดียวนับแต่ทำการค้ามา ก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเหมือนกัน

แต่แม่บอกว่า วันนั้นมาดู เห็นเจ้าที่ที่คนจีนวางไว้ไหว วางอยู่ข้างบันได
แม่เองเป็นคนไม่ยึดถืออะไรแบบนี้ แต่มีกฎอยู่ว่าจะไม่ลบหลู่ เราเดินขึ้นเดินลงดูห้อง กระโปรงก็สะบัดไปสะบัดมา เรียกว่า ใครใส่กระโปรงก็คงเรียกว่ารดหัวเจ้าที่หากเจ้าที่มีจริง
แม่บอกว่า แม่ก็นึกแบบนั้น ก็อดไม่ได้
บอกพ่อฉันว่า
" ป๊า ย้ายได้ไหม ดูไม่ดีเลยเดินข้ามไปข้ามมา "
แล้วแม่ก็ไปยกย้ายไปอยู่ตรงหลังเคาเตอร์ในวันที่จะมาทำความสะอาด แม่ก็ยกมือไหว้แล้วบอกว่า
" ฉันไม่รู้ธรรมเนียมนะคะ อย่าถือสา แต่ฉันเห็นว่า เดินไปมา ก็รดหัวท่านคงไม่ดี ขอย้ายนะคะ แล้วก็ขอทำความสะอาดบ้านท่านด้วย หากท่านมีจริงก็อยู่ที่นี่ให้มีความสุขแล้วกันนะคะ "แม่พูดกับเจ้าที่
จากนั้นแม่ก็บอกว่า "ก็ยังไม่ทันได้ยินคำตอบนะลูก แต่แม่เห็นสมควรย้าย ก็ย้ายไปแล้ว"
แล้วแม่ก็ตั้งเจ้าที่ไว้ด้านหลังเค้าเตอร์ตรงที่เก็บเงินให้หน้าหันสู่หน้าร้าน แม่ก็ไปถามร้านขายของบูชาว่า
ต้องทำอย่างไรบ้าง เขาก็แนะว่าต้องมีน้ำชา อาหาร ขนม ให้เจ้าที่ แม่ก็ทำตาม แต่อาหารเปลี่ยนตามแม่กิน เพราะแม่ไม่รู้ว่าเจ้าที่ชอบทานอะไร แต่เอาเป็นว่า เราทานอะไร เจ้าที่ก็ทานแบบนั้นแล้วกัน แม่คิดแบบนั้นแล้วก็ทำแบบนั้น
" แล้วมันไม่ผิดธรรมเนียมหรือคะ" ฉันสงสัย
" ไม่รู้สิ แม่คิดแต่ว่า หากเป็นเราทานอะไรเหมือนเดิมทุกวันก็คงเบื่อ เปลี่ยนๆบ้างน่าจะดี เจ้าที่น่าจะมีจิตใจเหมือนๆกับเรานี่แหละ" แม่ตอบแบบมั่วนิ่มตามความคิดตัวเอง
"และแม่ก็ไม่เคยขออะไรเจ้าที่นะลูก เพราะแม่ชอบคิดว่า ใครๆคงขอท่านแยะและ แม่ไหว้ทีไรก็บอกว่า
ขอให้เจ้าที่มีความสุขทุกครั้ง" แม่บอกฉัน
และแม่ก็มักพูดว่า "ชีวิตเราๆต้องลิขิตมันเอง จะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเราเอง หากใครทำชั่วก็อย่าโทษคนอื่นเลย เพราะคนที่ทำคือตัวเรา"
และนี่ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าที่ที่ใครๆแถวนั้นพอรู้ว่าเราจะเช่าก็มาเล่าให้ฟัง ว่าท่านเฮี้ยนนัก ใครมาไม่เกินสามเดือนก็ต้องย้ายออก แต่พวกเราก็อยู่มาได้หลายปีทีเดียว แถมกิจการดีวันดีคืน ยกเว้นตอนเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลง จากวีดีโอเป็นวีซีดี เครื่องเล่นวีดีโอมันแพง แต่เครื่องเล่นวีซีดีกลับถูกมากเงินแค่พันบาทก็ซื้อได้แล้ว ขณะที่เครื่องเล่นวีดีโอกลับห้าพันบาทขึ้นไปและพ่อก็เก็งผิดคิดว่าจะเหมือนเมืองนอกที่วีดีโอยังคงอยู่ พ่อจึงไม่ยอมตามกระแสเปลี่ยนวีดีโอเป็นวีซีดีทำให้การค้าเราสู่คู่แข่งไม่ได้

แม่เล่าว่าตอนที่แม่มาดูห้อง แม่ก็รู้สึกว่าชอบห้องแถวนี้แม่จึงบอกพ่อว่า
" ห้องนี้ดีนี่ป๊า สวยดี" ทั้งๆที่แม่เป็นจอมค้าน แต่แม่กลับโอเค
แม่บอกว่าก็แค่เอาชั้นมาวาง ก็ทำการค้าได้แล้ว ห้องแถวก็ยังสภาพดี มีแค่ฝุ่นมาก ก็ทำความสะอาดเสียเท่านั้นเองแอร์ก็มีตั้งสามตัว เรียกว่าเอาเครื่องมือทำมาหากินมาติดตั้ง ก็ทำการค้าได้เลย
และแม่นั่นแหละตอนก่อนจะเปิดร้านได้ แม่กับพี่เลี้ยงของฉันชื่อ "พี่แอ๋ม" เป็นคนเชียงราย แม่จะเอาฉันไปส่งโรงเรียนก่อนแล้วจึงค่อยๆมาทำความสะอาด ถูพื้นเป็นสิบๆรอบ ลงน้ำยาเสียขาว ห้องน้ำสะอาด ทำอยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ๆ เพราะไม่มีใคร เนื่องจากตอนนั้นมีแค่แม่กะพี่แอ๋ม 2 คน พ่อฉันเปิดร้าน แต่ภาระน่าจะกลายเป็นของแม่
ตั้งแต่ ทำความสะอาด ตกแต่งสถานที่ หาวีดีโอ พิมพ์รายชื่อเข้าเครื่อง สมัยนั้น ร้านแม่เป็นร้านแรกที่ใช้ระบบบาร์โค๊ด มีเครื่องสแกนบาร์โค็ต ทันสมัยกว่าร้านใดใด จะรู้หมดว่าม้วนไหนลูกค้าคนใดเช่าไป เพราะจะมีทั้งรหัสเรื่อง รหัสม้วน ซึ่งการพิมพ์รายชื่อ หนังเป็นพันๆ ก็มาจากฝีมือแม่ทั้งสิ้น ยังรวมไปถึงการสแกนปก ทำสติ๊กเกอร์ พิมพ์บาร์โค๊คเพราะสมัยก่อนวีดีโอเป็นระบบอัด ไม่ใช่มาสเตอร์แบบปัจจุบัน ร้านวีดีโอนี้ แม้จะเล็ก แต่ดูทันสมัยที่สุดให้ย่านนั่น ขนาดที่ลูกค้าบางรายจะเข้า ถามว่า
"ผมต้องถอดรองเท้าไหมครับ"
" ไม่ต้องค่ะ "
" แต่ผมไม่กล้าเหยียบเลย ร้านสะอาดสะอ้านนัก ข้าวของก็เป็นระเบียบ ดูหรูหรา"
แล้วคนนั้นก็ถอดร้องเท้าเข้ามา

ในยุคนั้นร้านวีดีโอดีๆยังไม่แพร่เข้าไทย มีแต่ร้านท้องถิ่นที่ดูรกๆ ไม่เป็นระเบียบ แต่วีดีโอร้านเรา
มีปกทุกม้วนแม้จะเป็นของสแกนก็ตาม ใส่กล่องเหมือนมาสเตอร์ และเทปวีดีโอใช้เทปม้วนใหม่หมด
การอัดก็เครื่องรุ่นใหม่ หัวอัดแบบสีทองพิเศษ ที่จะให้ภาพและเสียงคมชัดกว่าเดิม

ในวันเปิดร้าน พี่นก จากบ้านป้าเดือน ป้าเดือน และลุงทิน และเรารับพนักงานเพิ่มสี่คน มาช่วย
วันนั้นแม่บอกว่า นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเปิดร้านแล้วจะมีคนเข้าร้านไหม เพราะว่า ร้านเราแพงที่สุด
เนื่องจากเน้นคุณภาพ สมัยนั้นเขาเช่ากันม้วนละ 20 บาท แต่ร้านเรา ม้วนละ 30บาท ยกเว้นการ์ตูนกับหนังจีนชุดเท่านั้นที่ม้วนละ 20บาท

เราขึ้นป้ายผ้าหน้าร้านว่า "สมัครสมาชิกฟรี 100ท่านแรก เท่านั้น" ร้านเปิดตั้งแต่ 6.00-24.00น
ร้านส่วนใหญ่ปิดสี่ทุ่ม แต่ร้านเราเก็บลูกค้าที่เลิกงานดึกด้วย อีกอย่างเพราะค่าเช่าแพงมาก
แต่ทำเลนับว่าใช้ได้ใกล้ตลาดและโรงงานหลายแห่ง

วันเปิดร้าน เปิดปุ๊บ มีคนรอหน้าร้านตั้งแต่เปิดประตูร้าน
"วันนั้นะพลอยไม่ถึงครึ่งวันสมาชิกมาสมัครไม่รู้มาจากไหนนัก สิบโมงเช้าเต็มร้อยคนแล้ว เราเลยต้องขยายรับสมาชิกฟรีทั้งวัน วันเปิดร้าน พนักงาน พี่นก แม่ ป้าเดือน ช่วยกันเขียนรายชื่อกรอกเข้าเครื่อง ทำเช่า
ยืนกันตั้งแต่ หกโมงเช้าจนค่ำก็ยังมีคน วันเดียวได้สมาชิกพันเศษได้ ไม่รู้มาจากไหนนัก เล่นเอาเทปที่ลงแค่สามพันม้วน เกือบหมดร้านเลย ค่าเช่าวันแรกได้สามหมื่นกว่าบาท ขนาดไม่รวมค่าสมาชิก"

วันนั้น ไม่มีใครได้ทานข้าวเลย ลืมหิวไปเลยจนกระทั่งสามทุ่ม มันเหนื่อยมาก แต่เหนื่อยบนความดีใจ
คุณยายคุณตาก็มาด้วย มาเห็นคนแน่นไปหมด เลยพาพวกเราไปทานข้าวแทนแม่ซึ่งยุ่งมากเนื่องจากลูกน้องก็ใหม่ แม่เองก็ใหม่ แม่ของฉันสิน่าขำมาก
แม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือมากกว่าดูวีดีโอ แม่ไม่รู้จักดาราดังๆสักคน ขนาดซิลเวสเตอร์ สตาโลน
ที่แสดงแรมโบ้ หรืออาโนล จากคนเหล็ก แม่ยังไม่รู้จักเลย
"สมัยเปิดร้าน ลูกค้ามาถามหาหนังไม่รู้จักสักเรื่อง ดีที่ร้านเรียงตามรหัสเรื่องไว้ เลยหาถูก" แม่เล่า
"อยู่หน้าร้านหลายๆวันเขา เลยรู้แล้วว่า นี่คือจุดอ่อนอย่างรุนแรง แม่จึงเริ่มดูวีดีโอแบบรวดเร็ว พอรู้แนวหนัง
เริ่มจากหนังดัง ต่อด้วยหนังดาราดัง หนังเข้าโรง และเริ่มรวมรวมวีดีโอที่แสดงโดยคนๆเดียวกัน จัดเรียงเป็นหมวดหมู่นักแสดง เปลี่ยนแนวการจัดไปเลยสำหรับดาราดัง" แม่เล่าต่อ
"แม่ดูหนังวันละสิบเรื่องได้มั้ง ดูแล้วก็กรอให้เร็วๆ พอดูหนังเด่นจบแล้วก็หันไปดูหนังที่ไม่ค่อยมีคนเช่า และก็เจอเรื่องดีๆหลายเรื่อง ที่คนไม่เคยหยิบ แต่แม่จะแนะนำหนังดีๆเหล่านั้นให้ลูกค้าได้"
จากคนไม่ดูหนังเลย กลายมาเป็นต้องดูหนังทุกเรื่อง จนลูกค้าติดแม่เลยทีเดียว
ถามเรื่องไหนบอกได้หมด
เวลาลูกค้าอยู่ในร้าน แม่จะพยายามเปิดหนังที่ดีๆแต่คนไม่ค่อยรู้จักเพราะไม่เข้าโรงพวกนี้ เน้นเปิดเฉพาะ
ตอนมันๆ ไม่นาน ม้วนที่เปิดอยู่ มักจะโดนคนเช้าทุกครั้ง นี่เป็นเทคนิคในการเสนอสินค้าของแม่
นี่แหละแม่ฉัน ชอบมีการพัฒนา อยู่เสมอ
และอย่างรวดเร็ว ปรับตัวได้ง่าย
เรื่องร้านนี้มีเรื่องแปลกๆและขำๆอีกมาก
เรื่องเจ้าที่เฮี้ยนนั้นก็มีเรื่องหนึ่งคือ เสียงเคาะประตู ตอนนั้นร้านสาธุฯ จะเปิดหกโมงเช้า คนเปิดร้านคือพนักงานผลัดเช้า
วันไหนที่พนักงานลงมาช้า เพราะเขาต้องมาเอากุญแจในห้องนอน แม่ก็จะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน ตอนหกโมงตรงพอดี พอเปิดออกไปก็ไม่มีใครอยู่ เพราะพนักงานยังไม่ลงมา
วันหนึ่งพ่อยังอยู่ในห้องยังไม่ไปทำงาน แม่ก็ได้ยินเสียงเหมือนเช่นเคยในวันที่พนักงานมาเปิดร้านช้า แต่คราวนี้แม่ไม่ลุกไปเปิดประตู แกล้งนอนเฉยเสีย แต่พ่อฉันลุกไปเปิดประตู
พอพ่อเดินกลับมา แม่ก็แกล้งถามว่า
"ใครมาเรียกหรือป๊า "
" ไม่รู้เหมือนกัน ไปเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นมีใคร " พ่อตอบ แต่แม่อมยิ้ม
แม่บอกว่า "มันเป็นบทพิสูจน์ว่า แม่ไม่ได้หูแว่วไปเอง ในหลายๆวันที่ผ่านมา เพราะเสียงนี้จะได้ยินเวลาหกโมงตรงทุกวันหากร้านยังไม่ได้เปิด แต่หากวันไหนพนักงานเปิดหน้าร้านแล้วก็จะไม่ได้ยิน
และเรื่องเจ้าที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พนักงานขโมยเงินก็จะมีเหตุให้แม่จับได้ แบบคามือเลย หรือพนักงานหนีไปเที่ยวเวลาแม่ไม่อยู่ ก็จะทำให้แม่ทราบได้ทุกครั้งไป
มีวันหนึ่งที่ขำคือ
ครั้งที่พวกพนักงานปีนตึกลงมาจากชั้นสามที่มีหน้าต่างเหล็กดัดที่เปิดได้สำหรับใช้หนีเวลาไฟไหม้
พวกพี่นก พี่แอ๋ม พี่ปุ้ย หนีเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวกะผู้ชายข้างร้าน โดยใช้ทางนั้นปีนผ่านชั้นสองที่เรานอนกันบ่อยๆ และวันนั้น แม่ก็เห็นพอดี ปกติม่านปิดอยู่ ถ้าไม่สังเกตุก็จะไม่เห็น เราจึงเห็นแค่เงารางๆปีนมายืนที่เชิงขั้นสอง แนวกันสาด ก่อนจะกระโดดลงไป แม่ทราบมาก่อนแล้วว่าพนักงานของแม่ชอบหนีเที่ยวโดยปีนลงไปทางหน้าต่างร้านออกทางระเบียงแล้วกระโดดลงไป จะกลับมาตอนประมาณเที่ยงคืน เพราะร้านทองบอกแม่ถึงพฤติกรรมของลูกน้องสาวๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แอบดูเด็กหนุ่มร้านขายของเก่าอาบน้ำที่ดาดฟ้าเวลาเลิกงานเที่ยงคืน ลูกน้องสาวๆก็แอบดูจากชั้นสามห้องอัดเพราะร้านค้าของเก่าเป็นตึกแค่สองชั้น และคืนนี้แม่ก็เห็นกับตา
แทนที่แม่จะไปห้ามหรือว่า เปล่าเลยแม่ฉันไม่ว่าอะไร แต่เดินขึ้นไปชั้นสามเพื่อล็อคกุญแจหน้าต่างเหล็กดัดบานที่ใช้สำหรับเป็นทางหนีไฟที่พวกพี่ๆใช้ปีนออกไปข้างนอกและปีนกลับมาทางหน้าต่างบานเดิม แล้วแม่ก็นอนสบายๆ
เช้าตรู่แม่ก็ไปเปิดร้านและไปส่งฉันกับน้องที่โรงเรียนตั้งแต่ตีห้าครึ่งเหมือนปกติ พอเปิดร้านออกไป ก็พบพี่ๆนั่งกันหน้าสลอน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่หน้าร้านเรียงแถวเลย
แม่ก็ทักว่า "เป็นไงบ้าง อากาศข้างนอกสบายดีไหม ไปเปิดร้านได้แล้ว " แม่ทักยิ้มๆ
แค่นั้นแหละค่ะ
พวกพี่ๆยกมือไหว้ขอโทษ เป็นแถว "หนูขอโทษค่ะ จะไม่ทำอีกแล้ว"
นี่แหละวิธีทำโทษลูกน้องของแม่ แม่ไม่ดุ แต่ชอบกลั่นแกล้งเล็กๆ ให้สำนึก

ระหว่างที่อยู่ที่ร้านนี้ พ่อก็ยังสามารถพูดได้ดี แม่จะเดินขัดๆอยู่ และเริ่มแย่มากขึ้น แต่พ่อก็ยังใช้ชีวิต ทำงานข้างนอกของพ่อตามเดิม กับไปร้านลาดบัวขาว ชีวิตพ่อไม่เคยหยุดนิ่ง
พ่อที่ฉันไม่ค่อยเคยเห็นหน้า นอกจากได้ยินเสียงพ่อกรนยามหลับ มันช่างดังมากมายจนคนที่หลับยากอย่างแม่ฉันไม่ได้นอน การนอนของแม่คือหลับคาโต๊ะทำงาน
แล้วตื่นมาส่งลูกไปโรงเรียนตอนตีห้า ดูลูกแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วหอบน้องเล็กที่ยังไม่ไปโรงเรียนแต่ต้องติดตามไปส่งพี่ๆทุกวัน กับฉันและน้องเยี่ยมที่เรียนอยู่แถวคลองเตยไปแต่เช้า เพื่อป้องกันรถติด และประหยัดค่าแท๊กซี่ แล้วก็ไปทานอาหารเช้าที่โรงเรียน ที่สะอาดสะอ้านราคายุติธรรม
ตอนเย็น แม่ก็จะไปรับพวกเรา และนั่งสอนกลางบ้านที่โรงเรียนเราทั้งสองคน จนเสร็จพร้อมแบบฝึกหัดเสริมที่แม่เตรียมมาจากบ้าน ตามที่แม่เห็นว่าลูกของแม่มีข้อบกพร่องตรงจุดไหน เสร็จงานสองอย่างของพวกเรา ก็จะปล่อยให้น้องเยี่ยมเล่นจนถึงหกโมงเย็น พวกเราจึงจะกลับบ้าน เหตุผลก็คือ อากาศที่โรงเรียนดีกว่า ไม่อยากให้ลูกๆอุดอู้อยู่แต่ในห้องและฝุ่นจากร้านข้างๆ
ฉันมองว่า แม่คงอึดอัดมาก แม่โตมาจากบ้านกว้างขวางเนื้อที่ 600 ตารางวา ไม่เคยอยู่ห้องแถว
แม่คงอึดอัดที่ชีวิตทั้งวัน อยู่ในห้องที่หน้าต่างเปิดไม่ได้เพราะฝุ่น แต่แม่ไม่พูดเท่านั้นเอง
พวกเราทุกคนก็คิดถึงบ้านเดิมที่เคยอยู่ แต่เราไม่อยากพูดเหมือนกัน
นี่ล่ะมั้ง ชีวิต ไม่มีเส้นทางของใครที่จะเรียบและสงบได้ตลอด .........................

พ่อของฉันยังคงไปหาหมอและไปนวดเป็นประจำแต่อาการก็เลวร้ายลงอยู่ดี จากการสั่นกระตุกของกล้ามเนื้อ
จากขาเป็นแขนเพิ่มขึ้น มหกรรมทานยาแปลกยังคงมีกันต่อไป รวมทั้งสารพัดน้ำมหัศจรรย์ราคาแพงต่างๆ ที่ใครบอกว่าดี ก็ต้องซื้อมาทานทั้งนั้น
แต่พ่อจะดีขึ้นได้อย่างไร
พ่อยังไม่ค่อยพักผ่อน หมกหมุ่นกับการทำเงินและขยายกิจการ การย้ายมาอยู่ร้าน ทำให้พ่อทำงานมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะพ่อมักตัดไม่ขาด เป็นโรคกลัวลูกน้องโกง เพราะชีวิตพ่อโดนโกงบ่อย โดยเฉพาะจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย ที่จะมีจริงใจจริงๆไม่กี่คน และสุดยอดเพื่อนคนหนึ่งก็คือ "ลุงหนวดของพวกเรา ที่จริงใจเสมอ"
เพื่อนบ้านแถวร้านวีดีโอนี้ มันเป็นสังคมของพ่อค้าแม่ขาย ที่คนแถวๆนั้นกลับยกย่องแม่ฉันมากกว่าใคร เพราะฉันเห็นพ่อค้าแม่ขายแถวนั้น เรียกแม่ฉันนำหน้าด้วย" คุณ................."ทุกครั้ง
แต่แม่ฉันก็ไม่ยุ่งกับใคร แค่ทักทายอุดหนุนตามปกติเท่านั้น แต่คงเพราะไม่ยุ่ง ไม่ชอบการนินทา
เลยทำให้ใครๆเกรงใจมากกว่า อีกอย่างแม่มีน้ำใจ โดยเฉพาะกับแม่ค้าที่ขายของหน้าร้าน แม่ไม่เคยเก็บค่าเช่า เลยไม่ว่าจะตอนรอบเช้าและรอบเย็น แม่ค้าเหล่านี้ เลยเหมือนประชาสัมพันธ์ชั้นดี เชิญชวนคนมาเข้าร้าน เพราะหน้าร้านรอบเช้าชื่อ เจ๊เหลียน ใครๆว่า แกปากกรรไกรโรงพยาบาล แต่แกก็เคารพเกรงใจแม่ แถมเอาใจแม่อย่างดีเสมอ ส่วนคนรอบกลางคืนชื่อ เจ๊ดำ ทำอาหารอร่อยราคาประหยัดลูกค้าเยอะ
" อย่าไปเก็บเขาเลย ถือว่าเขาเป็นหูเป็นตา เพราะเขาเป็นคนถิ่นนี้ ร้านเราปิดดึก จะได้มีเพื่อน ให้คนครึกครื้น"
"สมัยนี้ เซ่เว่นยังโดนปล้นเลย" แม่บอก
ร้านวีดีโอนี้ ไม่เคยปิดสักวัน เวลาเทศกาลร้านอื่นๆปิดเช่นสงกรานต์ ตรุษจีน แต่ร้านนี้ไม่เคยปิด เพราะแม่ประกาศว่า ใครกลับบ้านกลับไป อยู่เองได้ แต่ใครอยู่ แจกทอง ไม่ยักมีใครกลับเลย แม่ซื้อทองให้คนละสลึง
แต่รายได้วันเทศกาลที่ร้านอื่นๆปิดนะ วันละเฉลี่ยประมาณห้าหมื่นบาท ถ้าปิดคงเสียดายแย่
แม่พาลูกน้องไปเที่ยวแบบไปตอนห้าโมงเย็นไปทะเลและค้างหนึ่งคืนแล้วก็กลับมาเปิดร้านห้าโมงเย็นช่วงคนมาก แม่ไม่เคยพักแต่ก็ยังปลีกเวลาพาลูกน้องไปเที่ยวได้

ลูกน้องของแม่แต่ละคนก็แปลกๆ ส่วนใหญ่เป็นคนเมืองกาญจนบุรี เขาเคยมีอาชีพเก็บพริกมาก่อน เก็บวันละกระสอบได้ค่าแรงแค่ห้าสิบบาท บ้างก็ตัดอ้อยจนมือบาดหมด แต่แม่เอามาสอน ทุกคนได้เดือนละสี่พันห้าร้อยบาท ตามอัตราขั้นต่ำสมัยนั้น แต่ที่แปลกคือ พอสิ้นเดือน แม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกน้อง แต่พ่อแม่ของพวกเขากลับนัดกันมาเอาเงิน พอบอกว่าให้เงินลูกคุณไปแล้วนี่ เขาว่าแม่ใหญ่เลยว่า
"คุณให้มันทำไม มันก็ใช้หมดสิ" แม่ของพี่ปุ้ยลูกน้องคนหนึ่งพูด
"เขาทำงานให้ฉัน ฉันก็ต้องจ่ายค่าจ้างให้ ไม่ใช่แม่ทำงานนี้" แม่แย้ง
" ไม่ให้เขาจะกินใช้อย่างไรเล่า" แม่เริ่มโมโหกะแม่ๆพวกนี้
วันนั้น ลูกน้องของแม่ต้องถอดทองที่คอออกให้แม่ของเขาไป ทองที่แม่ซื้อให้ตอนอยู่ทำงานช่วงวันหยุด
พวกเราเคยไปตามบ้านพี่ๆพนักงานพวกนี้
เป็นชนบท อาชีพพ่อแม่คือ รับจ้างทั่วไป ยามได้เงินทองจากลูกมา ก็นั่งเล่นไพ่ กินเหล้า หมดเงินเมื่อไหร่ค่อยออกไปรับจ้าง ....
ฉันนึกในใจว่า "มิน่าถึงจน"
พนักงานของแม่ไม่มีใครอยากกลับบ้านสักเท่าไหร่

เรื่องจากวันนั้น ทำให้แม่ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้เต็มจำนวน พนักงานเลยมีสมุดเงินฝากมาฝากเงินไว้กับแม่ แล้วแม่ก็อดไม่ได้อีก พวกแม่ๆพวกนี้ช่างมาเอาเงินตามเวลาสิ้นเดือนจริงๆ พวกพนักงานของแม่
ไม่มีเงินก็เริ่มมีขโมยเงินร้านให้ต้องตรวจกันบ่อยๆ วิธีการก็คือ ไม่ทำยืม เพราะเป็นเครื่องคอมมันมีข้อมูลเงินอยู่ ดังนั้นเลยไม่ทำยืม ให้เช่าเปล่าๆเลย แต่แม่ตรวจเจอเพราะม้วนไหนที่มาคืน มันต้องขึ้นว่า"คืน" ไม่ใช่ขึ้นมาว่า "วีดีโอม้วนไม่ได้ถูกยืมออกไป" สุดท้ายต้องมานั่งจับขโมย และแม่ก็จบลงด้วยยอมรับคำขอโทษจากลูกน้องเพราะความสงสารและแม่ก็อดไม่ได้ที่ต้องแบ่งอาหารของแม่เองให้พนักงาน หนักๆเข้า แม่ก็เลยให้พนักงานทำอาหารให้แม่แต่เยอะหน่อยเหลือพวกเขาก็กินกันไป
สรุปให้เงินเดือนเต็มตามอัตรา แล้วยังต้องเลี้ยงอาหารสามมื้อ รวมที่พักอาศัยอีก

เรื่องพนักงานมีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้ที่สุดคือ เรื่องพี่สองคน ชื่อ ชล กับ น้ำ
สองคนนี้เป้นคนสุรินทร์ หนีมาทำงานที่ร้าน แม่เข้าใจว่าเขามาหางานทำเหมือนคนอื่น ก็รับไว้ ไม่นานแม่ของสองคนนี้ก็มาจะเอาตัวลูกกลับ ลูกของเข้า เข้ามากอดเท้าแม่กราบแล้วว่า
" คุณขาช่วยอย่าให้แม่เขาเอาตัวไปเลย" พี่ชลกับน้ำร้องไห้กอดเท้าแม่
" ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร พวกเธออายุไม่ถึง १५ปีเลย " แม่แย้ง
"ทำไมไม่อยากกลับ ตอนเธอมาเธอมาโกหกฉันว่าแม่ให้มา"
แล้วพี่สองคนก็เล่าว่า "แม่ของหนูเอาหนูไปขายให้กับคนเขมรค่ะ หนูไม่อยากเป็นเมียมัน"
แม่อึ้งไปเลยก่อนถามว่า " ขายเท่าไหร่เหรอ"
" หมื่นหนึ่งค่ะ" ทั้งสองคนตอบ
"หมื่นเดียวนี่นะ "

ตอนนั้นแม่ฉันบอกว่า ถ้าหมื่นเดียวก็อยากจะซื้อไว้เลยทีเดียว เพราะช่วงนั้นเงินก็พอมีอยู่
"นี่ หมื่นเดียวฉันจ่ายให้ก็ได้ อย่าเอาลูกไปเลย ยังเด็กอยู่เลย อยู่นี่เขาจะได้เรียนได้ด้วย"
" ไม่ได้ค่ะคุณ ฉันเอาเงินเขามาใช้แล้ว และรับปากไปแล้ว ถ้าไม่ทำ พวกนี้มันจะฆ่าเอา"
แล้วเขาก็เล่าว่า พวกนี้เขาซื้อเอาไปแต่งงานเพื่อจะเข้ามาอยู่ในไทยได้ และพวกเขมรมันโหด
หมู่บ้านเขาติดชายแดน เรื่องแบบนี้คือเรื่องปกติ
วันนั้น แม่ต้องตัดใจ แต่บอกว่า "หากพูดกับแม่ได้ แล้วค่อยมาแล้วกันนะ ชล น้ำ"
"จริงๆนะคุณ " แม่รับปาก
แต่พี่สองคนนั้นก็ไม่กลับมาเลย

"ไม่คิดเลยว่าจะเจอแม่ใจร้ายที่ขายลูกกินได้อยู่อีก" แม่รำพึงอย่างเศร้าใจ
อย่างพนักงานที่ชื่อ"พี่แอ๋ม"ที่เป็นพี่เลี้ยงฉันด้วยตั้งแต่ฉันเกิดอยู่กับแม่มาเป็นห้าปี ไม่มีเรื่องไม่ซื่อสัตย์ พ่อแม่พี่แอ๋มก็ไม่เคยมาหาที่กรุงเทพเลย จะรอให้พี่แอ๋มกลับเอาเงินไปให้ปีละครั้งซึ่งก็มากพอควร เพราะพี่แอ๋มทำงานบ้าน กินอยู่กับบ้านเรา ของใช้แม่ก็ซื้อให้ ไม่มีขาด เงินเดือนพี่แอ๋มจึงถูกฝากไว้ที่ธนาคารเสมอทุกเดทอน พอปีใหม่ที่พี่แอ๋มกลับบ้าน พ่อแม่ของพี่แอ๋มจึงได้เงินก้อนโตพอควรสำหรับคนจนๆทีเดียว
พี่แอ๋มเป็นคนลำปาง อ้วนๆ แต่ทำงานใช้ได้พอสมควรแต่ที่อยู่กับแม่ได้เพราะของแม่ไม่เคยหายเรียกว่าในสายตาแม่พี่แอ๋มคือลูกจ้างที่แม่ไว้วางใจ
แต่พอพี่แอ๋มมาเป็นแคชเชียร์ที่ร้านวีดีโอ พฤติกรรมของพี่แอ๋มและพ่อแม่ก็เปลี่ยนไป
พ่อแม่พี่แอ๋มเดินทางมาหาลูกสาวทุกเดือนและบางเดือนๆละสองครั้ง ทั้งๆที่ต้องเสียค่าเดินทางไม่น้อยทีเดียว รายได้โดนยักยอกอย่างแยบยลโทยการให้เช่าตอนกลางคืนดึกๆแล้วไม่ทำว่าเช่าเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ รายได้ค่าเช่าก็จะไม่ขึ้นที่เครื่อง เวลารับเงินก็รับแล้วยื่นม้วนกันไปเฉยๆ รับเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ในที่สุดแม่จับได้ เพราะมีการนำเทปมาคืนตอนที่แม่อยู่พอดีคอมพิวเตอร์ขึ้นว่าเทปไม่ผ่านการเช่า แรกๆไม่กี่ม้วน แม่ก็คิดว่าบังเอิญ ทุกครั้งที่เครื่องขึ้นแบบนั้น แม่จะถามว่าเช่าไปตอนไหนคะกับใคร แต่แม่ไม่ถามพนักงานจนแน่ใจว่าความสงสัยของแม่ถูกต้อง แม่ว่า
"ถ้านานๆเจอทีก็คงคิดว่าเป็นความสัพเพร่าของพนักงาน แต่นี่อะไร แค่นั่งอยู่ไม่นานเจอไปหลายสิบ และมาจากการเช่ากับพนักงานคนเดียวกัน"
แม่บอกกับพนักงานทุกคน
แล้วพี่แอ๋มก็สารภาพเรื่องนี้ ไม่มีคำว่าอภัยแค่ไม่จับส่งตำรวจแม่ให้พี่แอ๋มกลับบ้านไม่รับเข้าทำงานอีกต่อไป
ไม่ว่าพี่แอ๋มจะขอร้องหรือร้องไห้อย่างไรก็ตาม
" เธอก็รู้นี่นะฉันไม่เลี้ยงคนไม่ซื่อสัตย์"
แม้แม่จะเสียดายลูกน้องที่อยู่กันมานานแต่แม่ก็ตัดใจ
บทเรียนสอนแม่ว่า
"บางครั้งพระเดชมันศักดิ์สิทธิ์กว่าพระคุณ นายจ้างบางคนโหด ลูกจ้างกลัวและไม่กล้าทำผิดเลย"
เรื่องพนักงานทำความร้อนใจให้แม่เสมอ บางครั้งก็ตบตีกับดังลั่นเพราะแย่งวิทยุกัน เช่นรายพี่ศรีและพี่ปุ้ยที่มาปลุกแม่ตอนตีสองที่นอนอยู่ชั้นสอง
ก็อกๆๆๆๆๆ"คุณคะ มีคนตบกัน" พี่พนักงานคนหนึ่งมาเรียกกลางดีก
" ศรีกับปุ้ยมันตบกันค่ะ หนูห้ามมันไม่ฟังคุรไม่ห้ามที"
" ไปเรียกมานี่ ทั้งสองคน"
พอพี่ทั้งสองมา "เรื่องอะไรกับมาตบกันกลางดึกเล่ามาสิ"
จากการสอบถามก็คือ สองคนนี้ฟังเพลงคนละแบบแล้วก็แย่งวิทยุกันไม่แบ่งกันใช้
" ไปเอาวิทยุมา ในเมื่อมีแล้วทะเลาะกัน ไม่ต้องใช้ทั้งหมดทุกคน" แล้วก็สั่งพี่นกว่า
" เอาสองคนนี้ให้ไปนอนในห้องอัดทั้งคู่ ล็อคห้องซะ อยู่บ้านเดียวกันตบกันดีนักตบไปเลย ห้ามหยุดนะ ไปเลยพรุ่งนี้เช้าจะมาดูว่าใครชนะ" แม่สั่ง
แต่พอพี่สองคนไปนอนด้วยกันในห้องอัด กลับไม่มีเสียงแม้เสียงทะเลาะกัน เงียบสงบ
เช้ามาพอแม่ให้พี่นกไปเปิดก้เห็นสบายดีทั้งคู่ไปตบตีกัน
" จะตบกันอีกไหมจะได้ให้อยู่ต่อ"
" ไม่แล้วค่ะ" ทั้งสองคนรับคำ
..........................
พนักงานร้านเรามียี่สิบกว่าคนหากรวมทุกๆร้านแต่ละคนมีที่มาแตกต่างกัน ปัญหาร้อยแปด แม่ต้องปกครองร้านรวมทั้งพนักงานตั้งแต่อายุไม่มากทั้งๆที่นิสัยแม่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วหลังจากปิดกิจการ แม่ก็เบื่อการมีลูกจ้างไปเลย

นี่แหละ การย้ายที่อยู่ของฉันมาอยู่ร้านค้า ชีวิตที่ยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยปัญหาของคนที่อยู่ร่วมกัน
และมันก็คือบททดสอบที่ทำให้รู้จักความอดทน ไม่ว่าจะลำบากเบื่ออย่างไร ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป.......................
ปัญหาร้านวีดีโอมีมาก เช่นลูกค้าไม่ยอมจ่ายค่าปรับ
ลูกค้าขโมยเทปวีดีโอไปเป็นเป็นไส้หนังโป๊มา แล้วเด็กเล็กๆที่เช่าการ์ตูนกลายเป็นได้ดูหนังโป๊แทน
เทปมักโดนขโมยบ้าง ไม่คืนบ้าง กลัวเสียค่าปรับแล้วไม่มาเช่าต่อบ้าง
ทำการค้าไปมา ม้วนเทปเลยกองเต็มร้าน
ลามขึ้นไปถึงชั้นห้า ต้องหาซื้อชั้นวางหนังเก่าๆ มาจัดไว้ให้หาเจอได้ง่าย
ส่วนคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าปรับบางคน ขนาดที่ต้องบอกว่า
"กองเทปไว้หน้าร้านเลยค่ะ และคุณไม่ต้องเดินเข้ามา"

เรื่องลูกค้ารายนี้มีอยู่ว่า สมัยหนึ่งเป็นช่วงลิขสิทธิ์เข้ามาใหม่ๆ บังคับให้ทุกร้านต้องเป็นเทปมาสเตอร์ทั้งหมด
และเข้าระบบเช่าผ่านเครือข่ายซีวีดี CVD
จะมีคนมาเช็คยอดเงิน หากไม่จ่าย ร้านก็ต้องจ่าย
เงินขาด ร้านก็โดนปรับ
เทปหายก็ต้องจ่ายในราคาเต็ม
วุ่นวายไปทั่วสำหรับกิจการร้านวีดีโอช่วงนั้น
หนังใหม่ยืมได้วันเดียว
เกินกำหนดปรับวันละ 10บาท
เล่นเอาวันเริ่มโครงการ ต้องยืนอธิบายให้ลูกค้าฟังจนถึงร้านปิด ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แต่ลูกค้ารายนี้ ฟัง ทราบ แต่ไม่ปฏิบัติซะงั้น
" ผมไม่จ่าย "ลูกค้ายืนกราน
" ผมไม่ได้เช่ากับบริษัทซีวีดี ผมไม่ทำตาม "
นั่นแหละ ไม่ว่าแม่จะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่จ่าย จึงจบลงด้วยการถอดสมาชิกและห้ามเข้าร้าน
แล้วลูกค้าคนนี้ก็ไปเช่าร้านใหม่ ซึ่งก็เป็นร้านอีกสาขาหนึ่งของเราที่สะพานสี่ แต่คนละชื่อร้าน
แล้วปัญหาเดิมก็เกิด
ตอนแม่ทราบ เพราะพนักงานโทรมาบอกว่า
" ถ้าฉันรู้ว่าเป็นคุณจะไม่ให้สมัคร พอดีลูกน้องฉันไม่ทราบ" แม่บอก
" ถ้ารู้ว่าเป็นร้านของคุณผมก็ไม่สมัครหรอก" ลูกค้าตัวแสบเถียงใส่
"ดีใจมากเลยค่ะที่ได้ยินเพราะหากฉันรู้ว่าเป็นคุณคงบอกพนักงานไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ให้รับ ไม่มีสมาชิกยังดีกว่ามีสมาชิกแบบคุณ"
แต่สมาชิกคนนั้นก็ยังต้องไปหาเช่าวีดีโอร้านอื่นๆอยู่ดี
แต่หลังจากนั้นแม่ก็ส่งรายชื่อคนนี้ไปทั่วทุกสาขารวมทั้งสาขาคนที่รู้จักด้วย
ไม่นาน ก็ทราบมาว่า แต่ละสาขา ไม่เอาคนนี้
และลูกค้าคนนี้ก็หายหน้าไปสักสองเดือน แล้วกลับมาทำสมาชิกอีกหน แม่จำได้ แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้และทักทายด้วยไมตรีอันดี คราวนี้ลูกค้าคนนี้จ่ายค่าปรับแล้ว คงเพราะหาที่ให้เขาเช่าไม่ได้

ปัญหาของการเปิดร้านวีดีโอก็มีตั้งแต่เรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องตำรวจก่อกวนหรือจะมาเช่าฟรีแบบถือบัตรเบ่งขนาดว่าร้านของเราไม่ทำอะไรที่ผิดกฏหมายก็ยังจะต้องมีการเก็บส่วยเหมือนเป็นธรรมเนียม ซึ่งแม่ฉันไม่ชอบใจอย่างมากเพราะคิดเสมอว่าทำไมต้องจ่ายในเมื่อทำมาหากินสุจริต
ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ก็มีตำรวจที่ยศน้อยๆมาบอกลูกน้องของแม่ว่า สารวัตรให้มาเอาหนัง ลูกน้องของแม่ก็ถามหาบัตรสมาชิกตำรวจพวกนั้นก็ว่าไม่มี แบบว่าพูดตรงๆคือจะเอาฟรีน่ะแหละ แต่พี่ๆที่ร้านสาธุฯไม่เข้าใจ ก็บอกว่าให้ทำสมาชิกก่อน ตำรวจก็ยึกยักแล้วก็ขอพบเจ้าของร้าน
พี่นกก็ขึ้นไปบอกแม่ที่ชั้นสอง
" คุณคะ มีตำรวจเขามาบอกว่าสารวัตรให้มาเอาหนัง20ม้วนค่ะ "
" ก็ให้เขาทำสมาชิกก่อนสิ ทุกคนก็ปฏิบัติเหมือนกันหมดแหละนก"แม่บอก
พี่นกอึกอักแล้วบอกว่า "หนูบอกเขาแล้วค่ะ เขาขอพบคุณ"
"ไม่ต้องหรอกก็ทำเหมือนลูกค้าทุกๆคนแหละ "แม่ฉันก็งงตอบไปแบบไม่รู้ธรรมเนียมเหมือนกัน
สำหรับแม่การปฏิบัติกับลูกค้าก็กฎเกณฑ์เหมือนกันหมดเพราะร้านแม่ก็มีตำรวจใหญ่ๆยศสูงๆเป็นสมาชิก
เหมือนกันแม่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอย่างๆไรกับลูกค้าตำรวจคนนี้
" พี่นกกลับลงไปแล้วก็ขึ้นมาพร้อมนามบัตรหนึ่งใบ"ตำรวจที่มาเขาฝากมาให้ค่ะ แล้วจะขอพบเจ้าของร้าน
" รำคาญจริง อะไรกันนักกันหนา โอเคเดี๋ยวลงไป"
แม่ลงไปหน้าร้าน มีตำรวจกลุ่มหนึ่งประมาณ6คนมายืนๆเลือกหนังอยู่ พอแม่ลงไปก็ตำรวจนายหนึ่งก็ถามแม่ว่า "เจ้าของร้านหรือ สารวัตรให้มาเอาหนัง "
" สารวัตรชื่ออะไรล่ะ ไหนบัตรสมาชิก"
" ไม่มี สารวัตรสั่งว่าให้มาบอกว่ามาเอาหนัง"
" ที่นี่บริการเฉพาะสมาชิก ไม่มีสมาชิกยืมไม่ได้ สารวัตรชื่ออะไรเอาเบอร์มาเดี๋ยวโทรไปถามเอง ร้านนี้ก็มีตำรวจใหญ่ๆเป็นสมาชิกหลายคนหากเขาให้ใครมาเช่าก็ต้องเอาบัตรสมาชิกมาทั้งนั้น เอาบอกมาสารวัตรชื่ออะไร จะโทรไปถามเองหากลืมเอาบัตรมา"
"งั้นไม่ต้องก็ได้ ไปโว้ยกลับ" แล้วนายคนนั้น ที่แม่ดูยศแล้วก็ระดับน้อยๆก็ชวนพรรคพวกกลับไป
" อย่าไปให้มันนะนก ไม่ต้องไปสน แม่บอกพนักงานที่ร้าน เราทำการค้ามีต้นทุน นายมันบอกหรือแอบอ้างมาเอาฟรีก็ไม่รู้ ถามชื่อก็ไม่ให้ เห็นไหมตำรวจดีๆ เขาก็มาเช่าไม่เห็นเขาจะมาขอฟรีเลย"
พนักงานของแม่ก็รับคำ เรื่องตำรวจกับส่วยดูจะมีอยู่ทั่วไปในสังคมไทย บ้างก็ส่วยให้เทศกิจสำหรับการค้าขายริมฟุตบาท บ้างก็ส่วยหาบเร่ที่ชาวบ้านขายตุ๊กตากล้วยหอมจอมซน สมัยฉันเด็กๆคำว่าลิขสิทธิ์กำลังฮิต ทุกสิ่งทุกอย่างมีลิขสิทธิ์หมด ฉันเคยเห็นยายแก่ๆ หาบตุ๊กตากล้วยหอมจอมซนที่ฮิตสมัยนั้นหนีตำรวจ แล้วหนีไม่ทัน ตำรวจก็จับยายแล้วเอาตุ๊กตาไปหมดฉันนึกแปลกใจว่า ยายแก่ๆเหล่านั้น จะรู้จักคำว่า "กฎหมายลิขสิทธิ์หรือ" ยายก็คือชาวบ้านจนๆธรรมดาคงรับตุ๊กตาจากโรงงานมาขายเพราะรู้ว่าหน้าตากล้วยหมอจอมซนบีหนึ่งบีสองนี้คือสิ่งที่เด็กๆชื่นชอบ แทนที่ตำรวจจะจับยายแก่ๆที่หาบขายก็คงกำไรวันละไม่กี่ร้อย ขายได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ต้องหาบตุ๊กตาขายตั้งแต่เช้าตามถนน ร้อนก็ร้อนแล้วต้องมาเจอตำรวจไล่จับอีก ทุนหายกำไรหด แบบนี้ ตำรวจน่าจะจับคนผลิตที่ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ดีกว่าหรือ เพราะฉันก็เห็นเทปผีซีดีเถือนออกเกลื่อนเมือง แต่ไม่ค่อยจะไปจับกัน ผู้ใหญ่ก็มักจะพูดว่า พวกนายทุนใหญ่ๆเขาจ่ายใต้โต๊ะ หรือส่งส่วย เงินเลยกลายเป็นเครื่องมือเบิกทางในการทำผิดได้
ความคิดในวัยนั้นของฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าราชการที่รับใช้ประชาชนต้องทำแบบนี้ เพราะบัญญัติคำว่า"ตำรวจ"ในหนังสือภาษาไทยของฉันนั้นคือ คนที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน หรือมีหน้าที่จับผู้ร้ายที่ทำไม่ดี ตำรวจที่ดีก็มี อย่างตำรวจจารจรหน้าโรงเรียนฉันยืนโบกรถท่ามกลางควันจากท่อไอเสียที่ฉันเห็น ลุงตำรวจต้องเป่านกหวีดมือคอยโบกรถทั้งร้อนและเหม็น น่าเหนื่อยแทน พอปีใหม่ทางโรงเรียนฉันจึงมักให้ของขวัญปีใหม่ลุงตำรวจคนนี้
และพ่อฉันก็ยังคงพักผ่อนน้อยเหมือนเดิม................
พ่อฉันหมกมุ่นอยู่กับการหาเงินๆๆแล้วก็หาเรื่องลงทุน
ที่จริงพ่อก็เป็นแบบอย่างของคนที่ไม่ยอมแพ้ ในช่วงแรก
แม้ขาจะเดินแสนลำบากแต่พ่อก็ยังขับรถไปทำงาน
แม้ร่างกายจะไม่เป็นใจแต่ใจยังสู้ต่อ
แม้กายจะอ่อนล้าแต่สมองไม่เคยหยุดนิ่งที่จะหารายได้สู่ครอบครัว
แต่พ่อก็เป็นแบบอย่างของคนที่ไม่ยอมรับความจริง พ่อโทษสิ่งต่างๆรอบตัวที่ทำให้พ่อเป็นแบบนี้แม้กระทั่งโทษว่า เพราะพ่อไปบนไว้ว่าขอให้น้องเล็กเกิดมาปลอดภัย มีอะไรก็จะให้หมด พ่อบอกว่า
" อาจเป็นเพราะที่พ่อบนไว้ก็ได้เจ้าที่พ่อบน เลยมาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพ่อ"
แต่มันมีประโยชน์อย่างไรหากเงินที่ได้มา ไม่มีโอกาสได้ใช้
หรือเงินที่ได้มาด้วยความลำบากกลับต้องใช้เพื่อการรักษาตัวเอง
วันแล้ววันเล่า.................
มีแต่ความหวังอันเลื่อนลอย....
แล้วชีวิตในห้องแถวเล็กๆก็ต้องดำเนินต่อไป
แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ใจก็ต้องสู้ทน

ตอนที่ 8 : หมอเก่งของอาม่า





วันนี้ เราได้มาถึง
วัดย่านฝั่งธนบุรี ตามบัญชาของอาม่าแม่ของป๊ะป๊า ที่ว่าหมอนี้เก่งนักหนา เพื่อนอาม่าแนะนำมา ทุกครั้งที่มีรายการหมอเก่ง แม่จะรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาเสมอ รวมทั้งพวกเราด้วย แม้คราวนี้แม่จะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่แต่ก็ยังมีความหวัง
ก่อนมา แม่เข้าใจว่า คงเป็นหมอโบราณเหมือนหมอวัดโพธิ์ การแพทย์แผนโบราณประมาณนั้น ท่หมอคนรักษา
อาจจะสมถะ สันโดษช่วยเหลือคนอยู่ตามวัด
เมื่อมาถึงวัด รถยนต์หรูหรา ที่จอดอยู่มากมาย บ่งบอกความดังของหมอได้ดีในระดับหนึ่ง สถานที่ของวัดช่างร่มรื่น ใหญ่โต พวกเราอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่มาสถานที่ใหม่ๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นวัดไทย เพราะเห็นเหมือนศาลา
โล่งๆให้คนรอเต็มไปหมด เขาเข้ามารอเพื่อรับบัตรคิว และก็ยาวเหยียดมาก คนที่มาดูมีหลายระดับ บ้างก็ดูมั่งมี
บ้างก็ดูยากจน ระหว่างรอ พวกเราเดินสำรวจวัดข้างใน อ้าววัดไทยแต่มีมังกร ท่าทางจะไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้ว
ข้างใน เป็นลานกว้างๆ มีรูปปั้นมังกร ศาลามังกร สีแดงๆ สวยงาม แผนผังเหมือนในหนังจีนบู๊ลิ้ม
ที่จะจัดบ้านเหมือนสี่เหลี่ยม กลางบ้านคือลานประลองยุทธ โล่งๆ ที่นี่จะมีอีกที่หนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นโบสถ์
มีพระพุทธที่ดูคล้ายพระจีนมากกว่า มีคนรออยู่แล้ว นั่งคุยกัน เจ้าหน้าที่หรือเด็กวัด ก็มาบอกว่า
วันนี้ หมอลงบ่ายโมง มาั้ตั้งแต่เช้าเพื่อมารอรับบัตรคิว และรอต่อไปจนถึงบ่ายโมง
แต่ไม่เป็นปัญหาเลย มีโรงครัว อาหารน่าทานเป็นอาหารเจที่ดูสะอาดสะอ้านน่าทาน ทานได้ไม่อั้น
พอเขาตั้งเสร็จ ก็มาเชิญทุกๆคนให้ไปตักทานตามใจ จะรวมเป็นกลุ่มกินกันหรือจะต่างคนต่างกินก็สุดแต่ความต้องการ

พอได้เวลาหมอมา............................ทุกคนที่นั่งคุยจอแจอยู่ก็เงียบเพราะมีคนมาบอกว่าหมอมาแล้ว
ตอนเดินเข้ามาเป็นคณะเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉันก็พยายามมองว่า คนไหนเป็นหมอ ก็ยังไม่เห็นคนไหนจะ
ดูคล้ายหมอสักคน แต่คนนั่งข้างๆบอกกันว่าคนตรงกลาง หมอที่ฉันเห็นคือผู้ชายอายุประมาณ 40-45 ปี
ดูธรรมดามาก มีเด็กผู้ติดตามมาห้าคน คนแรกตามหลังหมอ มีหน้าที่พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจแล้วแปลเป็นไทยให้เราฟัง อีกคนมีหน้าที่เรียกคิวมาถาม อีกสามคน จ่ายยา ตามหมอสั่ง และรับเงินบริจาค
จากคิวแรกผ่านๆไป การรับบัตรคิว เขาจะให้กรอกวันเดือนปีเกิดของผู้ป่วย ตอนรับคิวด้วย
เวลาหมอวินิจฉัย มันน่าแปลกที่ คนไข้จะมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ ก็แปลกดี
พอถึงคราวหมอเรียกแม่ แม่ก็ไป
"คนป่วย ป่วยมานานแล้วใช่ไหม แต่หาสาเหตุไม่พบ" หมอพูด (พูดภาษาไม่รู้จักแต่มีคนข้างหลังแปล)
"ใช่ค่ะ " ถามเหมือนรู้
"ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่เดินไม่ค่อยได้ ใช่ไหม" หมอถามอีก
"ใช่ค่ะ"
"เป็นกรรมเก่าน่ะ ให้ไปเอายันต์ ยันต์อันนี้ไม่ค่อยให้ใครนะ วันนี้จะให้คุณ และเอายาไปทานชุดนึง ยันต์เอาต้มน้ำดื่มส่วนนึง และใส่น้ำอาบส่วนหนึ่ง"
"ค่ะ"

พอถึงโต๊ะยา มีขันใส่เงินวางไว้ ไม่มีการบังคับให้จ่าย แต่มีสายตานับร้อยจ้องอยู่
แม่ฉันจ่ายไป ยี่สิบบาท แล้วก็เดินไปรับยาและผ้ายันต์
แต่มีอีกหลายๆคนก่อนหน้านี้ จ่ายเป็นบึกๆก็มีมาก

ตอนนั้นฉันนึกในใจว่า แม่ฉันท่าจะงกน่าดู แต่ทราบภายหลังว่า แม่มีเงินแค่พันสองร้อยบาทในวันนั้น
ไหนจะค่ารถกลับบ้านแท๊กซี่ก็ไกล ไหนจะค่าอาหาร งานแม่แต่ละวันรับเงินมาก็ใช้ไปจนหมด
แม่บอกฉันภายหลังว่า "ในเมื่อเขาเขียนว่า ตามแต่ศรัทธา แม่จะศรัทธาได้อย่างไร แม่สังเกตุว่า กี่คนๆก็ยาถุงแบบเดียวกันนี้มีสามชุด ยาอะไรก็ไม่รู้ ป่วยอะไรๆก็เหมือนกันหมด ก็คงมีคนหายนะ แต่คงไม่ได้หายเพราะหมอนี่หรอก" แม่ว่า
"แต่หมอเขาก็พูดเรื่องป๊ะป๊าถูกนี่คะแม่" ฉันแย้ง
"พลอย ร้อยทั้งร้อย มาหาหมอแบบนี้ เพราะไม่ค่อยมีหวังทั้งนั้นแหละ แต่จะมีกี่คน กินยาหมอนี่แล้วไม่รักษาหมออื่น แม่ไม่เชื่อเด็ด ยกเว้นคนๆนั้นเป็นโรคอุปทาน"
ฉันนิ่ง เพราะคิดว่า มันก็จริงนะ ผ้ายันต์ สกปรกๆ ที่เขาส่งให้เผาแล้วกินกะอาบ มันจะรักษาพ่อฉันให้หายได้อย่างไร กับยาดำๆเขียวๆ ชุดละสามเม็ด ยาอะไรก็ไม่รู้

วันนั้น พอกลับไปบ้าน แม่ก็บอกตามหมอสั่งมา
แต่ตามด้วย " ถ้ากล้ากินก็กินไปนะ จะทำให้ ผ้ายันต์เผาไฟ ที่เขียนทองๆท่าทางจะมีสารตะกั่วนี่น่ะ"
แล้วแม่ก็เผาผ้ายันต์ทำตามที่หมอบอก แบ่งส่วนหนึ่งใส่น้ำให้ป๊าดื่ม กับใส่น้ำให้อาบ
แต่แม่ก็ไม่ได้สนใจว่า ป๊าฉันจะกินหรือไม่กินอย่างไร
แม่ของฉันกับเรื่องพวกนี้ดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้ เรื่องเจ้าเข้าทรง แม่ไม่เคยเชื่อ
เจ้าอะไรแม่ก็ไม่เคยจำ แม่ไปเพราะอาม่าบอกว่าหมอดีแค่นั้น
เข้าตำรา ไม่ลองไม่รู้นั่นเอง

แล้วแม่ก็ทำกับข้าวตามปกติ

วันนั้น ตอนเรานั่งทานข้าวกันอยู่ ก็มีคนมากดออดหน้าบ้าน
"ใครมาน่ะ" พลอยไปดูสิ
ฉันออกไปดู มีผู้ชายคนหนนึ่งกับผู้หญิง ที่ไม่คุ้นหน้าเลย
"แม่ ไม่ทราบค่ะ ไมู่้รู้จัก" ฉันร้องบอก
ประตูรั้วเปิดอยู่ ผู้ชายกะหญิงคนนั้นก็ผลักประตูเข้ามาเลยมาถึงประตูด้านในตรงที่ฉันยืนอยู่

"สวัสดีครับ " คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้ใช่ไหม
"ค่ะ" แม่ตอบรับอย่างงงและไม่พอใจนิดๆที่เขาถือวิสาสะเปิดเข้ามาเลย
"ผมจะมาบอกว่า บ้านหลังนี้ผมซื้อไว้แล้ว และคุณต้องย้ายออกไปภายในเดือนนึง"
แม่ยืนนิ่ง " ค่ะ" คำพูดที่ออกมาจากปากเบามาก
สองคนนั้นบอกว่า เขาซื้อจากการขายทอดตลาด สายตาที่กวาดมองทั่วบ้านของเรา เขารู้สึกพอใจบ้านเราไม่ได้รกสกปรก แต่ดูกว้างสวย ทาวเฮ้าสองชั้นสองหลังติดกัน ที่เจาะทะลุเชื่อมกันอย่างตั้งใจเป็นห้องครัว
ห้องอาหาร มุมรับแขก ห้องนั่งเล่นแบบญี่ปุ่น ห้องซักรีด ห้องคนรับใช้ ห้องน้ำด้านล่างมีสองห้อง ห้องครัวเล็กๆ แต่ก็ทันสมัย ด้านบน มีห้องนอนใหญ่ ที่ใช้เนื้อที่ด้านบนทั้งหลัง ที่ห้องนอนใหญ่นี้ แบ่งเป็นห้องนอน
และห้องแต่งตัว ที่มีมุมวางของเล่นลูกๆ อย่างเป็นระเบียบ รวมทั้งห้องน้ำใหญ่สวยมาก ห้องนี้ผนังสีครีม และพรมสีชมพูอ่อน ลานจอดรถปูกระเบื้องสวยงาม มีมุมไม้กระถาง หลายอย่าง บ้านเราจึงดูใหญ่ที่สุดในบริเวณบ้านแถวๆนัน

ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอนกลางที่ใช้สำหรับให้ฉันและน้องสาวนอนด้วยกันสองคน จัดเป็นสองเตียง สีขาวฟ้า พรมสีฟ้าอ่อนเข้ากัน

ห้องนอนที่สาม เป็นพรมสีน้ำเงิน เฟอร์นิเจอร์สีเทาอมฟ้าอ่อน สำหรับน้องเยี่ยม

บ้านเราจึงเป็นบ้านที่มีสามห้องนอน สี่ห้องน้ำ ที่มีเนื้อที่ใช้สอยเต็มพื้นที่ภายในจึงดูกว้างขวาง

สำหรับฉัน มันคือบ้านของเรา ที่ฉันอยู่ตั้งแต่เด็กๆ และฉันก็รักมันมาก

และวันนี้
เป็นวันที่มีคนแปลกหน้า มาบอกว่า บ้านของเรากลายเป็นบ้านของเขาไปเสียแล้ว

บรรยากาศในบ้านดูซึมเศร้าไปในทันตา อาหารตรงหน้าทานไม่ลงอีกต่อไป
แม่ขึ้นข้างบนไปแล้ว ไม่พูดอะไร

ฉันหันไปมองป๊ะป๊า ป๊านิ่งเงียบ พวกเราเลยเดินขึ้นข้างบนบ้าง

เราสามคนเข้าไปเคาะห้องแม่
แม่มาเปิดประตู รอยน้ำตาที่ยังอยู่บนใบหน้า
ไม่มีคำพูดใดใด นอกจาก แม่โอบกอดลูกไว้ทั้งสามคน แล้วร้องไห้เงียบๆ

เรื่องนี้ เป็นเพราะว่า ป๊าอยากลงทุน จนขอบ้านนี้ไปจำนอง แม่เล่าว่าสมัยเปิดร้าน เราต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละเก้าหมื่น ทำได้เท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยหมด ตอนแรกเรามีร้านเดียว รายได้ก็ดี แต่ป๊าขยายซะสี่ร้าน
แต่ละร้านลงทุนค่าเซ้งตึก ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตกแต่ง อุปกรณ์ ค่าเทป มากมายทีเดียว ด้วยความที่แม่ไม่อยากทะเลาะเพราะความอยากลงทุนของใคร ก็เลยยอมยกบ้านที่ป๊าใช้เป็นของหมั้นให้เขาไปจำนอง ป๊าฉันไม่ไ้ด้ทำธุรกิจแค่นี้ ป๊าชอบซื้อขายบ้าน วางเงินไว้ แล้วบ้านขายไม่ออก ซื้อที่ดินไว้แล้วที่ขายไม่ออกก็มี
ด้วยความที่ป๊าอยากรวย เลยทุ่มเงินกับการลงทุนจนหมดตัว พอป๊ะทำงานไม่ได้ ทุกอย่างจึงมีแต่หนี้ๆๆๆๆ

ไม่นานพวกเราทั้งห้าคน ก็ย้ายจากการนอนที่บ้าน ไปสู้นอนที่ร้านวีดีโออย่างถาวร

แม่ของฉันยอมรับโชคชะตาอย่างสงบ แม่ไม่ขนอะไรไป เพราะไม่รู้จะขนไปไหน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ให้ป้าเดือนขนไปไว้ที่ไร่ เพราะไม่มีที่เก็บ แม่โทรไปถามเรื่องค่าขนย้ายถอดเฟอร์นิเจอร์เขาคิดตั้งสามหมื่นห้า แม่เลยตัดใจ ทิ้งมันไปเลย ยกให้คนอื่นที่เขาต้องการไปหมด ของทุกอย่างยังดูใหม่ สวยงาม แต่แม่หันหลังแล้ว
ก็ไม่ขอเก็บอะไรไว้เลย

ร้านวีดีโอของเราอยู่สาธุประดิษฐ์ 37 เป็นร้านเล็กๆ ติดกับร้านค้าของเก่า ในตึกห้าชั้น ข้างในปูหินอ่อนที่ชั้นสอง สาม สี่ ห้า ข้างล่างสุดเป็นพื้นกระเบื้อง ตกแต่งค่อนข้างดี เพราะเจ้าของเป็นคนสมัยใหม่ มีฐานะ นิสัยดีด้วย ว่ากันว่าที่ร้านนี้นั้น ใครๆมาทำก็จะเจ๋งทุกรายไป ไม่ว่าจะทำกิจการอะไร ยกเว้นร้านวีดีโอของแม่
ที่ลูกค้าแน่นร้าน ตั้งแต่วันแรก เหตุผลที่เขาล่ำลือกันก็คือ " เจ้าที่แรง" หรือ "ผีดุ" นั่นเอง

ตอนมาเห็นที่นี่ใหม่ๆ พ่อพามาดู ตอนแรกแม่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับกิจการ เพราะแม่ชอบอาชีพเรียบๆตรวจสอบบัญชี วางระบบบัญชี คือช่วยงานป๊ะป๊าฉันไปเรื่อยๆ ไม่ชอบสมาคมกับใคร แต่งานมันเยอะมาก จนแม่นั่งทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงตีสาม จนแม่ขณะนั้นท้องลูกคนที่สองถึงกับแท้งไปเลย ส่วนพ่อฉัน
ทำงานมากมายอยู่แล้ว กลับถึงบ้านก็ตีหนึ่งตีสองเสมอ กว่าลูกค้าจะกินด้วยคุยด้วยจนเสร็จ
แม่เคยทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

"นี่เฮีย ทำไมไม่รู้จักปฏิเสธลูกค้าบ้าง เวลาคุยงานทำไมไม่คุยเฉพาะเวลาทำงาน นี่อะไรเย็นไปกินข้าวกว่าจะกลับดึกดื่น ลูกค้าคุณก็น่าจะมีความเกรงใจบ้างนะ คนแต่งงานแล้วน่าจะให้เขากลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวกันบ้าง ไม่ใช่สมัยก่อน ที่ยังโสด" แม่เริ่มว่าในวันหนึ่ง

" ไม่ได้หรอก ลูกค้าพวกนี้ชอบคุยเรื่องสำคัญๆ นอกบริษัท เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน อีกอย่างก็ทำให้สนิทสนมกับเขา" ป๊าฉันตอบ

" แต่มันก็น่าจะมีปฏิเสธกันบ้างนะ อาทิตย์นึงไปครั้งเดียวยังพอทน นี่อะไร ทุกวัน คุณทำงานสิบบริษัืท ชวนกันบริษัทละวัน พ่อแม่ลูก ไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลย เช้าลูกไปเรียน คุณก็ยังไม่ตื่น กว่าคุณจะกลับลูกก็หลับหมดแล้ว " แม่ฉันไม่ยอม ประท้วงต่อ

" ป๊ะก็บอกว่า อะไรนี่เหงาก็ไปห้างสิ แล้วจะทำบัตรเครดิตไว้ให้ " พ่อฉันสรุป

พ่อไม่รู้เลยว่า แม่ฉันไม่เหมือนผู้หญิงอื่นๆ แม่ไม่ชอบเที่ยว ของที่แม่ซื้อส่วนใหญ่คือของลูกเสมอ ก็ของๆฉัน เสื้อผ้าสวยๆของฉันกับน้อง เสื้อผ้าดูดีของน้องเยี่ยม หรือสื่อการเรียนการสอน สิ่งที่แม่ซื้อเสมอ คงเป้นตำราคอมพิวเตอร์ของแม่ แม่ฉันจบบัญชีมา แต่สนใจด้านคอมพิวเตอร์ ขนาดที่เรียนด้วยตัวเองจนประกอบอาชีพด้านคอมพิวเตอร์ได้ พอแม่ไม่ทำงานบัญชี แม่ก็มาเริ่มต้นงานด้านคอมพิวเตอร์จากการที่แม่ทำไว้ดูเอง
แม่ชอบเอารูปลูกๆ มาใส่เพลงเพราะๆดูเพลิดเพลิน สมัยนั้น การเปิดวีซีดี ในการแต่งงานยังไม่มีเลย แต่แม่ฉันก็เล่นทำรูปประกอบเพลง ใส่ตัวหนังสือบรรยาย แล้วแม่ก็ไปเปิดให้ป้าเดือนดู จากนั้นป้าเดือนก็อยากให้ทำให้บ้าง แม่ก็ทำให้เป็นที่สนุกสนานของแม่ จากนั้นแม่ก็คิดว่าอยากทำแบบนี้ให้คนอื่นๆบ้าง
แม่มองเห็นทำเลดีๆ คือตามเค้าเตอร์ไปรษณีย์ตามห้าง จำได้ว่าชื่อ post net กับ mail box เพราะบริการพวกนี้มักอยู่ตามทางเข้าออก ซึ่งตอนนั้น มีที่ห้างแถวบ้านฉันพอดี

แม่บอกว่า แม่มองอยู่หลายวัน แต่แม่ไม่มีเงินลงทุนที่จะเช่าอะไรพวกนี้ในห้างหรอก แล้วแม่ก็เริ่มเลย
แม่เริ่มจากการเดินเข้าไปที่บริการไปรษณีย์ แล้วถามว่า
"ขอโทษนะคะ ดิฉันอยากจะคุยกับเจ้าของจะติดต่อได้อย่างไรคะ " แม่ลุยเข้าไปถามเลยอย่างคนกล้าๆกลัวๆ
"คนนั้นค่ะเจ้าของ พอดีมาพอดีเลย" พนักงานบอก
"สวัสดีค่ะ" แม่เดินเข้าไปทักทาย
เจ้าของที่นั่นท่าทางใจดี เรียบร้อยบุคคลิคดี ดูมีฐานะ
"ดิฉันอยากจะฝากวางแผ่นโฆษณา สักขนาด A4 ที่เค้าเตอร์ได้ไหมคะ แล้วหากมีคนมาใช้บริการจะให้ทางร้าน 10 เปอร์เซ็น" แม่คุยตรงประเด็นเลยทีเดียว
นี่ค่ะ แล้วแม่ก็เอาแผ่นวีซีดี ที่มีรูปฉันและน้องชายแต่งชุดหล่อสวย ทำเป็นปกเรียบร้อย มีสกรีนแผ่นสวยงามน่ารัก ให้เจ้าของซึ่งชื่อคุณป้าปราณีดู ฉันเห็นท่านรับมาดูอย่างสนใจ แล้วบอกแม่ว่า
"น่ารักจัง ลูกๆหรือคะ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวจะให้ลูกชายมาคุยแล้วกันนะ มาพรุ่งนี้เวลานี้นะคะ เดี๋ยวจะบอกให้ลูกชายมาคุย" คุณป้าปราณี ตอบอย่างใจดี

วันนี้แม่กลับบ้านด้วยสีหน้ามีความหวังมาก
วันรุ่งขึ้น แม่ไปตามนัด ลูกชายและลูกสาวคุณปราณีมาคุย
แล้วลูกชายคุณปราณีก็บอกว่า "มันน่าสนใจนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปเปิดดู แล้วป้ายเป็นอย่างไรครับ"
วันนี้ แม่อุตส่าห์พกพาป้ายมาพร้อม แม่พิมพ์ข้อความง่ายๆ คือ รับแปลงรูปภาพลงแผ่นวีซีดี พร้อมใส่เพลงประกอบ และรับแปลงวีดีโอทุกชนิดลงแผ่นวีซีดี แล้วแม่ก็ติดตัวอย่างประกอบ ก็กล่องและวีซีดีรูปฉันกะน้องเยี่ยมอันเดิมนั่นแหละ

ลูกชายคุณปราณีรับมาดูแล้วก็ยื่นไปให้น้องสาวดู เธอรับมาดูอย่างพอใจสอบถามแม่อยู่พักเกี่ยวกับรายละเอียดว่า จะให้ทางร้านทำอย่างไรบ้าง
"ทางร้านแค่รับเทป แล้วกรอกรายละเอียดลูกค้าตามแบบฟอร์ม เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร แล้วเก็บเงินมัดจำตามอัตราที่เรากำหนดไว้ให้ค่ะ รวมทั้งนัดเวลารับของ ออกใบรับของให้ลูกค้าซึ่งจะใช้เวลาสามวันนับจากวันฝากของค่ะ จากนั้นโทรบอกเรา เราจะมารับของไปทำค่ะ "
" ส่วนยอดเงินให้ทำบัญชีไว้เคลียร์กันทุกๆสิ้นเดือนค่ะ "

และแม่ก็ได้งานนี้ และความโชคดีของแม่นั้นคือ เจ้าของคนนี้มีอีก 25สาขา ซึ่งแม่ฉันก็วางหมดทุกสาขาในห้างสะดวกซื้อ ที่ใกล้บ้านพอจะไปรับของได้ รวมทั้งเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้านด้วย
แล้วของทำเล่นของแม่ ก็กลายเป็นอาชีพ ที่ทำเงินเลี้ยงครอบครัวได้อยู่นานหลายปี แม้ธุรกิจร้านวีดีโอของพ่อจะต้องปิดตัวลงเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนดู ที่จากวีดีโอเป็นดูวีซีดี หรือดีวีดีแทน แต่กิจการของแม่ก็ยังคงอยู่ โดนที่แม่ทำคนเดียว ทั้งกลางวันกลางคืน จากคนเพิ่งรู้จัก กลายเป็นมีลูกค้าประจำ งานที่แม่ทำ แม่ทำด้วยความปราณีต แม่ที่ไม่เคยฟังเพลง ต้องรู้จักเพลงเพื่อเลือกเอามาลงวีดีโอตามเนื้อหา เช่น ถ้าเกี่ยวกับรูปเด็กๆ แม่มักจะใส่เพลง "หนูอยากเป็นอะไร" หรือเพลง "รางวัลที่ยิ่งใหญ่","คู่แท้","ใช่เลย" ในรูปงานแต่งงาน หน้าปกก็จะเลือกเอาจากภาพสวยๆมาทำ รูปแบบสีสรรปกที่ดูเรียบ ทำให้งานของแม่เป็นที่ชื่นชอบจนมีลูกค้าประจำเป็นพรวน แต่แม่ก็มีกำลังทำน้อยเนื่องจากทำคนเดียว จากเครื่องคอมเพียงเครื่องเดียวจนมีสองเครื่อง

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของงานแม่ฉัน

ดังนั้นเรื่องการเปิดร้านวีดีโอจึงเป็นเรื่องเฉยๆสำหรับแม่ แต่แม่บอกว่า "เปิดมาก็ช่วย แต่จะบอกว่าชอบไหมก็ต้องบอกว่าไม่ชอบขายของ" แม่บอกกับพ่อแบบนั้น
แต่ร้านวีดีโอร้านนี้ก็กลายเป็นบ้านที่สองของเราอยู่พักหนึ่ง.........................


24/5/52

ตอนที่ 7 : โภชนาการบำบัด




คราวนี้พ่อไม่ใช้ยาอะไรเลย และก็ไม่ไปนวดอะไรอีกแล้ว พ่อตัดสินใจที่จะให้วิธี “โภชนาการบำบัด” โดยถือหลักที่ว่าร่างกายจะดีแข็งแรงได้ต้องมาจากภายใน ดูสิคะพ่อฉัน เข้าใจพูดให้ดูดีเหมือนโฆษณาทีวีเปี๊ยบ แต่โฆษณานี้เพื่อแม่ของฉันคนเดียว เพื่อต่อต้านกระแสงอนของแม่นั่นเอง แม่ฉันไม่คิดว่าการที่คนเราทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในขณะที่ร่างกายไม่สมบูรณ์จะเป็นผลดี แม่ว่า “ร่างกายที่ป่วยต้องได้รับการซ่อมแซม และอาหารควรไปครบ 5 หมู่ ทานไม่ครบจะมีอะไรไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ล่ะป๊า ” นี่คือเหตุผลของแม่
ส่วนพ่อน่ะหรือ
“บริโภคเนื้อสัตว์มากๆมันก่อให้เกิดโรคมาก เพราะเนื้อสัตว์สมัยนี้มันฉีดโน่นนี่เข้าไปมาก อีกอย่างเป็นการไม่ทำร้ายสัตว์ด้วย” เริ่มคิดแบบชีวจิตซะแระพ่อฉัน
“แหมดูสิ ลืมไปเลยว่าขาหมูของโปรดเลยนะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเฮีย” แม่ขอเหน็บสักนิด
” ทุกทีผักไม่ค่อยกิน กินแต่หมูแต่เป็ดไก่ แหมป่วยคราวนี้ ทีอยากให้กินอาหารครบๆดันไม่กินซะนี่ คนเรานี่นะหาพอดีไม่ได้ ก่อนหน้านั้นเตือนว่ากินไก่มากไม่ดีมันมีสาร กินขาหมูมากไม่ดีเดี๋ยวคอเลสเตอรอล ให้ทานอาหารทะเลพวกปลา เพราะมันย่อยง่าย เพิ่งผักมากๆให้มันมีกากใย แม้ไม่เคยเชื่อ พอมาคราวนี้ หนอยจะมาทำเป็นสอนเรา” แม่เล่นเป็นชุดพวกเราสามคนเลยนั่งอมยิ้ม
ตอนนี้พวกฉันก็โตขึ้นแล้ว ฉันเองตอนนี้ก็ ย่าง 10 ปีแล้ว อยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 น้องชายอยู่ประถมศึกษาปีที่ 3 อายุได้ 8 ปีและน้องเล็กก็ขึ้นประถม 1 แล้ว ก็อายุ 6 ปี
ช่วงนี้ทางบ้านเริ่มขัดสนหนักกว่าเดิมมาก เพราะรายได้พ่อลดลงไปมาก เนื่องจากร้านปิดและพ่อต้องออกจากงานที่ทำ เนื่องจากไม่สามารถขับรถได้แล้ว มันอันตรายเกินไป แม่ฉันก็ยังขับรถไม่ได้ เพราะเคยขับแล้วไปชนเลยทำให้แม่กลัวจนไม่กล้าขับอีกเลย พ่อมีงานแค่เซ็นชื่อตามงบบัญชี โดยให้แม่เป็นคนตรวจบัญชีและพิมพ์งบดุลให้ จากนั้นพ่อตรวจสอบและเซ็นชื่อ และแม่ก็ยังคงทำงานแปลงวีดีโอของแม่ต่อไป แต่ตอนนี้ก็มีคู่แข่งมาก และต่างตัดราคากัน แต่งานที่แม่ทำ แม่ไม่เคยลดราคาลง แม่มั่นใจในคุณภาพของของตนและลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ยังสนแค่คุณภาพก็ยังอยู่กับแม่ต่อไป แต่กลุ่มที่สนแต่ราคาถูกก็คงจากไปเพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจโดยรวมก็ไม่ดีด้วย
ชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก จากบ้านที่มีคนรับใช้ ตอนนี้แม่ต้องทำทั้งงานบ้านและงานหารายได้เอง ฉันจะช่วยแม่ตอนกลับจากโรงเรียน แม่ก็มักจะบอกว่า”ให้ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อนเถอะพลอย” แม่อยากให้ลูกเต็มที่กับการเรียน แต่พวกเราก็ต้องคอยดูแลพ่อเวลาแม่ไม่อยู่ เวลาวันหยุด พวกเราก็ยังสนุกสนานกับการช่วยกับซักผ้า ปิดผ้า ตากผ้า พวกเราช่วยแม่ซักผ้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว ซักเสร็จก็เล่นน้ำต่อกันทุกที ความสุขเล็กๆของพวกเรา เพราะพวกเราไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย
พ่อผอมไปมาก ร่างกายขยับได้ลำบากมาก แต่ก็ยังเดินได้อยู่โดยใช้ไม้เท้า และคนพยุง เวลาไปไหนๆ พ่อต้องเกาะฉันไว้ เพราะแม่ต้องดูน้องสองคนและถือของ เรียกรถแท๊กซี่อีกสารพัด เช่นเวลาพาไปหาหมอ บ้านเรายังคงอยู่ศรีนครินทร์ และยังเรียนที่เดิม อย่าคิดแปลกใจว่าทำไมยังมีเงินเรียนที่โรงเรียนดีๆนะคะ รายได้ของมากเพียงพอขนาดนั้น แต่แม่บอกว่า” แม่ไม่อยากให้ลูกๆรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ” ตอนนั้น นอกจากได้รับการช่วยเหลือจาก พี่แป้นเรื่องค่าเล่าเรียนแล้ว ก็ยังมีคุณอาน้องของพ่อคนหนึ่งช่วยเรื่องค่ายา ค่าหมอของพ่อ “
ฉันจำได้ว่า ช่วงนั้น บางทีฉันป่วย (ฉันมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัวและโรคภูมิแพ้) ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าต้องค้างที่โรงพยาบาลเพราะอาการหนัก แม่จะน้ำตาไหลและเดินออกน้องห้องหมอเลย เพราะว่า แม่ไม่มีเงินรักษาลูก แม่จะกุมมือฉันไว้แน่น ไม่พูดอะไร น้องชายจะเงียบกริบเพราะเริ่มรู้ดีว่าเพราะอะไร ส่วนน้องเล็ก พี่ๆเงียบก็เงียบตาม
ฉันป่วยบ่อยมากในบางครั้งเช่นเวลาฝนตก ฉันเคยแพ้ฝนที่ตกลงมาโดนตัว ขนาดที่ผื่นนูนแดงขึ้นทั้งตัว ต้องหาหมอให้ดมยาแก้หอบขนาดวันละหกรอบ ที่แม่ต้องพาวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล
ครั้งนั้นแม่ก็ต้องโทรไปหาที่บ้านของแม่ พอแม่เอ่ยคำว่า “พลอยต้องเข้าโรงพยาบาล…………….”แค่นั้นจะได้รับคำตอบว่า “พอดียุ่งอยู่นะ เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่” และนั่นทำให้แม่รู้ดีว่าปลายสายหมายถึงอะไร
คนที่แม่บอกว่าไม่อยากโทรไปมากที่สุดก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนสนิท เพราะแม่เกรงใจมากที่สุด
คนอ่านอาจงงว่าทำไมแม่ของฉันมีเพื่อนน้อย แม่เล่าว่า “สมัยเรียนหนังสือ แม่ได้เงินแค่สองพันห้าร้อยบาทต่อเดือนในชีวิตมหาวิทยาลัย ที่ต้องทานข้าวสามมื้อ และไม่มีหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน สองพันห้าร้อยบาทมันรวมอยู่ในทุกค่าใช้จ่ายต่อเดือน หนังสือก็ต้องยืมเพื่อนอ่าน ก็พี่แป้นคนดีอีกนั่นแหละ ส่วนเวลาเพื่อนๆจะไปทานข้าวกลางวันกัน แม่ก็ต้องไม่ไป หลบเข้าห้องสมุดเสีย เพราะว่าแม่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน เพราะเงินทานข้าวก็ต้องเอามาเป็นค่าซีร๊อกหนังสือเรียนบ้างหรือเจียดซื้ออุปกรณ์การเรียน ของใช้ส่วนตัวเช่นสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ แม่มีเงินแค่อาหารมื้อเดียวหรือบางทีมีแค่มาม่าห่อเดียวด้วยซ้ำ เพราะครอบครัวของแม่เป็นแค่ข้าราชการ เมื่อทางบ้างต้องมาซื้อบ้านให้ลูกอยู่ที่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายก็มากโขแล้ว มหาวิทยาลัยที่แม่เรียนก็ได้ชื่อว่าแพง ก็เลยมีเงินค่าใช้จ่ายให้ได้แค่นี้ และน้องชายของแม่ก็เรียนโรงเรียนประจำที่ดี ก็รายจ่ายไม่น้อยเลย แม่จึงต้องตัดตัวออกจากสังคมเพื่อนฝูง จะมีก็แต่เพื่อนที่ไม่ดูถูกกันและชอบพอนิสัยกันจริงๆเท่านั้น” แม่เล่าเรื่องอดีตทีไรก็ต้องเสียงเครือๆทุกที แม่คงไม่ค่อยโอเคกับทางบ้านนักฉันนึก
และวันนั้น วันที่ฉันป่วยหนักก็จบลงด้วยแม่โทรหาพี่แป้นอยู่ดี
“เอาเข้าโรงพยาบาลไปเลยจ๊ะ” พี่แป้นตอบมา
“จ๊ะ” แม่รับคำ แต่พี่แป้นคงไม่รู้หรอกว่า ปลายสายร้องไห้ไปแล้ว แม่ฉันมักพูดว่า เพื่อนทำไมช่างดีกว่าญาติพี่น้อง แม่ก็มีแค่น้องชายคนเดียว แต่คงหมายถึง………………..ไม่บอกดีกว่านะ
ต่อเรื่องโภชนาการบำบัดของพ่อฉันล่ะนะอาหารอย่างแรกคือต้มผักโขมกับไข่ต้มคืออาหารจานหลักที่พ่อขอ พ่อว่าผักโขมมันดีมีเพื่อนพ่อไม่สบายแต่กินผักโขมทุกวันก็ดีขึ้น ในผักโขมมีธาตุเหล็กมาก และเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินบี-1 วิตามินบี-2 วิตามินบี-6 และสารแอนติออกซิแดนท์ที่สำคัญอีกหลายตัว พ่อฉันเลยกินอยู่อย่างเดียว กับ ไข่ต้ม อยู่ 7 วันเลย พ่อจะมีของหวานคือ ถั่วเขียวต้มน้ำตาลแดงใส่ขิงแก่เยอะๆ ขิงแก่แก้ท้องอืดเฟ้อ ส่วนถั่วเขียวมีประโยชน์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย อันนี้ต้องขอบอกว่าพวกเราก็แย่งกินเพราะอร่อยดี
อาหารทั่วไปไม่มีอะไรตื่นเต้นหรอกนะคะ แต่ที่น่าตื่นเต้นมีหนึ่งรายการสยอง อิอิอยากรู้ละจิ
เอาที่ไม่สยองก่อนแล้วกัน
เจ้านายพ่อฉันคือคุณป้าจิต ป้าจิตเอาเอ็นกวางมาให้ต้ม เข้าตำรายาจีนว่า อะไรเสื่อมก็กินอย่างนั้นก็จะมีสารที่แก้กัน เส้นเอ็นพ่อไม่ดีเลยอาจเป็นสาเหตุที่เดินไม่ดี
เอ็นกวางที่ดีมีราคาแพงหากไม่ได้ป้าจิตให้มาคงซื้อทานไม่ไหว เอ็นกวางที่ฉันเห็นเป็นเหมือนเนื้อแห้งๆ ต้องเอามาสับเป็นท่อนๆ เวลาต้มกลิ่นสาบดุจกลิ่นสัตว์อย่างไรอย่างนั้น กลิ่นสาบรุนแรงจนคนไม่ชินทนไม่ไหว
แม่ฉันแทบอาเจียร การต้มต้องเคี่ยวเอาน้ำแรกทิ้งก่อน เพราะมิฉะนั้นจะสาบจนกินไม่ลง แล้วจึงเปลี่ยนน้ำเคี่ยวให้เปื่อยและปรุงรสนิดหน่อยก็กินได้
แต่ที่น่าสยองคือ…………..เมนูแมลงสาบ
แมลงสาบที่ว่านี้ เราต้องไปซื้อมาจากร้านยาจีนนะคะ ไม่ใช่ไปดักเอาตามบ้าน แบบนั้นมันไม่สะอาด
ว่ากันว่า คนจีนใช้ขี้แมลงสาบหรือแมลงสาบมาผสมเป็นยามานานแล้ว สรรพคุณคือ บำรุงระบบประสาท
ทำให้ไม่ชักกระตุก ไม่เกร็ง ฉันฟังจากที่พ่อบอกนะคะ แหล่งข่าวไม่ทราบ ใครอยากลองกินต้องไปถามที่ร้านขายยาจีนนะคะ
“น้องไปซื้อแมลงสาบมาให้เฮียหน่อยสิ” พ่อบอกแม่ในวันหนึ่ง
“อะไรนะ ” แม่ร้องขึ้นอยากตกใจ ก็แม่ฉันเกลียดแมลงสาบมากขนาดไม่กล้าเหยียบ
แม่เล่าถึงสาเหตุการเกลียดว่า “สมัยก่อนอยู่บ้านแถวหลังรามฯ ไม่ค่อยทำครัว ท่อน้ำทิ้งมันก็แห้ง วันหนึ่งแม่เห็นแมลงสาบหนึ่งตัววิ่งลงท่อน้ำทิ้งหลังบ้าน แม่ก้ไปเอาไบกอนมาฉีดลงไปในรูท่อ แค่นั้นแหละ แมลงสาบเป็นร้อนๆวิ่งกรูออกมาจากท่อน้ำ แม่ต้องวิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูร้องให้คนข้างบ้านมาปราบ โดนฉีดยาฆ่าแมลงผ่านมุ้งลวด แม่ขยะแขยงสุดชีวิตเพราะมันกรูมาหาแม่จนต้องวิ่ง มันไม่กลัวคนเลย แถมบางตัวบินได้เสียอีก” แม่เล่าอย่างภาพความสยดสยองยังฝังอยู่ในใจ
“แมลงสาบหรือป๊าป๊า” น้องชายฉันถามขึ้นมาบ้าง
“เหยย แมลงสาบ ” ฉันร้องออกมาอย่างนึกขยะแขยง
“แมลงสาบกินได้ด้วยเหรอ” น้องเล็กถาม
“เอามาไมเนี่ย” แม่ถาม แล้วพ่อก็บอกสรรพคุณของมัน
“แหวะ” แม่ร้อง “ป๊ากล้ากินเหรอ กินแล้วตายท้องเสียจะว่าไงล่ะ” แม่ขัด
“ใครบอกว่ามันดี ฉันยอมตายดีกว่ากินมัน ” แม่ยังไม่ยอมง่ายๆ
“สกปรกจะตายเหม็นก็เหม็น กินลงด้วยเหรอ”
แม่เริ่มต่อรองด้วยความโปรแกรมว่าด้วยความสกปรกของแมลงสาบ แล้วบรรยายต่อด้วย
“ป๊าไม่เคยดูเหรอ หนังเรื่องโจอพาตเมนส์ มันสกปรกมาก กินเศษขยะ อาหารเน่าบูด มันขึ้นหมด …………..” แม่ยังคงพยายามต่อไป
แต่ในที่สุดวันนั้น แม่ต้องไปร้านขายยาจีนเพื่อซื้อ แมลงสาบ กับแคปซูลเปล่าๆ ซื้อสิ่งที่เกลียดที่สุด
พวกเราตามไปดูที่ร้านยาจีน “เถ้าแก่ แมลงสาบมีขายไหมคะ”
“มีลื้อจะเอาเท่าไหร่” เถ้าแก่ถาม
“ขายยังไง มีเยอะขนาดนั้นเลยหรือเถ้าแก่ ” แม่ยังสงสัย
แล้วแม่ก็ถามสรรพคุณแมลงสาบ ก็ได้ทั้งคำตอบและวิธีทำ แม่หน้าตาดูแย่มากในตอนนี้ แบบรับไม่ได้อย่างรุนแรง แต่ก็ต้องตกลงที่จะซื้อ 1 กิโล แมลงสาบที่เราเห็น ตัวไม่ใหญ่มาก แต่มันก็เป็นแมลงสาบแห้งๆ หนึ่งกิโล ราคาแมลงสาบไม่ใช่ถูกนะคะ ค่อนข้างแพงทีเดียวแต่ถูกกว่าเอ็นกวาง
แม่กลัวไม่กล้าหยิบถุงแมลงสาบ เลยบอกว่า “ใส่ถุงซ้อนๆกันได้ไหม”
นี่ขนาดตากแห้งนะคะ ยังกลัวขนาดนี้
กลับมาถึงบ้าน พ่อก็บอกให้แม่คั่วแมลงสาบแล้วตำจากนั้นก็บรรจุลงแคปซูลให้พ่อ
“อะไรนะ นี่ฉันต้องทำด้วยเหรอ” แม่โวยวาย สีหน้าไม่พอใจ
แล้วแม่ก็ไปตามป้าหมวยแม่บ้านแถวนั้นให้มาคั่วให้ พร้อมบดแมลงสาบเป็นผงตักใส่แคปซูลให้พ่อ
พวกเราอยากเห็นก็ตามป้าหมวยคั่วแมลงสาบและดูกรรมวิธีทำแมลงสาบ
“ป้าเอาแมลงสาบใส่กระทะครึ่งถุง ส่วนที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็นนะ”พ่อสั่ง
แม่ได้ยินก็โวยลั่นบ้าน “อะไรเนี่ยจะให้แมลงสาบไปใส่ในตู้เย็นเนี่ยนะ ไม่เอาๆ”
“แมลงสาบในตู้อาหารคนเนี่ยนะป๊า อ๊วก ใครจะกล้ากินน้ำ กล้ากินอาหารในนั้น ไม่เอา น้องไม่ยอม”
ป๊าเริ่มโมโหแม่ “ก็ห่อหลายๆชั้นสิ มันก็ไม่มีกลิ่น เอาไว้ช่องล่างสุดที่ใส่ผักแล้วอย่าให้เอาอะไรไปใส่ช่องนั้น”
“อะไรกันเนี่ย เชิญเลย อยากทำอะไรก็ทำ แต่นี้ไปฉันไม่กินของในตู้แล้ว จะซื้อน้ำมากินเอง ไปซื้อข้าวกินเอง ใครกินลงก็กินไป” แม่ไม่ยอมง่ายๆ แล้วแม่ก็โกรธพ่อจนเข้าห้องไปเลย
ป้าหมวยเอากระทะตั้งไฟร้อน ไม่ใส่น้ำมัน จากนั้นก็เทแมลงสาบลงคั่วครึ่งถุง กลิ่นแมลงสาบคละคลุ้งไปทั่วบ้าน ซึ่งตอนนั้นฉันและน้องๆเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เลยตามแม่เข้าห้องไปด้วย กลิ่นสาบของแมลงสาบช่างสมชื่อจริงๆ มันเหม็นสาบทั่วบริเวณบ้าน สะอิดสะเอียนชวนขนลุกและขยะแขยง
พอกลิ่นเหม็นได้ที่แล้ว พ่อก็บอกว่า “วางพักมันไว้ให้เย็นก่อนเอาไปบดและกรอกใส่แคปซูลนะป้า”
แม่ได้ยินอยู่ในห้อง “เครื่องปั่นน้ำผลไม้ของฉัน อะไรเนี่ย” แม่ร้องออกมาอยากอึดอัด พวกฉันเริ่มออกความเห็น น้องเล็กเริ่มถาม “แม่จ๋า แมลงสาบทำไมพ่อต้องกิน”
“ไปรู้พ่อเหรอ คนบ้าที่ไหนจะกินแมลงสาบ” แม่ยังมีโมโห
“พลอยไม่เอาด้วยหรอกให้กินแมลงสาบ ขยะแขยง” ฉันสนับสนุนแม่เต็มเปี่ยม
“เล็กก็ไม่กิน”
เรื่องแมลงสาบนี่มันแปลกตรงที่ว่า นับแต่การคั่วแมลงสาบครั้งนั้น ทำให้บ้านเหม็นไปด้วยสาบแมลงสาบ แต่ทำให้แมลงสาบตัวอื่นๆที่เคยมาเยือนบ้านเรา มันหายหน้าหายตาไปหมด
คงเป็นเพราะว่ามันคงได้กลิ่นวิญญาณแมลงสาบโดนพิฆาต ( โดยคั่ว) เลยไม่กล้าเหยียบบ้านเราอีก ฉันคิดเองนะ หากใครต้องการพิสูจน์คงต้อง ไปจับแมลงสาบมาคั่วเอง

ส่วนน้องเยี่ยมน้องชายมักรักพ่อ ไม่ชอบว่าใคร ไม่ชอบออกความเห็นใดใดไม่ชอบพูดมักเงียบๆเสมอ ชอบรถตักและเล่นตุ๊กตากองทัพทหารสู้รบกัน ฉันสังเกตว่าน้องเยี่ยมสงสารพ่อ และอัดอัดที่พ่อป่วย และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะพ่อป่วยพ่อจึงไม่ให้พวกเราไปไหนเลย ต้องอยู่ใกล้ๆพ่อ บ้านของเรามีสองชั้นช่วงนั้นพ่อยังขึ้นลงบันได แม่ต้องดูเครื่องคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืน ตลอดคืน เลยให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนพ่อ เผื่อพ่อเข้าห้องน้ำกลางคืน หรือเผื่อพ่อล้ม ส่วนน้องสองคนนอนกับแม่ตรงที่แม่ทำงาน งานของแม่ทำให้แม่ต้องตื่นทุกๆ 70นาที เพื่อกดหยุดเครื่องวีดีโอ และน้องๆก็ติดแม่มากด้วย เคยนอนด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ ฉันด้วยที่อยากนอนกับแม่เหมือนเดิม แต่แม่ให้ไปนอนเป็นเพื่อนพ่อเรื่องนี้เคยทำให้ฉันน้อยใจแม่ถึงขนาดร้องไห้
“แม่ขา ทำไมพลอยนอนกับแม่ไม่ได้ พลอยก็ลูกแม่เหมือนกัน” ฉันร้องไห้
“พลอย ที่แม่ให้พลอยไปนอนกับพ่อ เพราะว่า แม่ทำงานน้องก็ยังเล็กไม่สามารถดูแลพ่อได้เลย น้องขี้เซา พ่อล้มจะได้ยินหรือลูก แม่ก็ต้องทำงานทั้งคืนหลับๆตื่นๆ กลางวันก็ต้องทำงานบ้านและดูแลพ่ออีก แล้วไหนยังต้องไปรับส่งลูก ไปส่งงาน สารพัด พลอยเป็นลูกคนโตกว่าทุกคน ช่วยแม่หน่อยไม่ได้เหรอลูก หากให้พ่อนอนคนเดียว พลอยไม่ห่วงพ่อหรือจ๊ะ ” แม่พยายามอธิบาย ยาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“ค่ะแม่” ฉันรับคำ
จากนั้นห้องที่พ่อนอนซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องฉันกับน้องเล็กเพราะมีสองเตียง ก็กลายเป็นห้องนอนของพ่อกับฉัน
พ่อเข้าห้องน้ำกลางคืนบ้างก็ต้องใช้ฉันพยุงตัวเดินไป บางทีก็ลุงไม่ขึ้นก็ฉันอีกที่ต้องดึงตัวพ่อขึ้น
บางคืนพ่อร้องขอกินน้ำ น้ำข้างเตียงที่เตรียมไว้พ่อกินหมดแล้ว ก็ปลุกขอน้ำดื่มอีก เมื่อกินน้ำก็ต้องฉี่อีก
เรื่องนี้ทำให้แม่ทะเลาะกับพ่อในวันหนึ่ง
“เฮียทำไมต้องปลุกลูกมาเอาน้ำดึกๆดื่นๆ” แม่ถามขึ้น
“ก็น้ำมันหมด หิวน้ำนี่ ก็ต้องปลุกสิ”พ่อตอบ
“น้ำก็เตรียมให้เป็นเหยือกๆ แล้วนี่ตอนกลางคืน”
“ก็กินหมดแล้ว” พ่อเถียง
“หมดก็อดทนสิ ตีสามนี่นะต้องปลุกลูก ลูกต้องไปเรียนแบบนี้จะนอนพอได้อย่างไร” แม่ว่า
“อ้าวก็คนมันหิวจะให้ทำไงล่ะ”
“หัดอดทนนะ และเกรงใจผู้อื่นบ้าง แค่หิวน้ำแล้วไม่ใช่ไม่มี มีเป็นเหยือกแต่กินหมดแล้ว ก็ต้องรู้จักพอ นี่เป็นเวลานอน แค่พลอยต้องลุกมาพาไปห้องน้ำมันก็มากพอแล้วนะ นี่กินน้ำ พอกินก็ปวดฉี่ คืนๆหนึ่งจะต้องให้ลูก
ลุกกี่หน ” แม่โวยวาย
“อย่าเอาแต่ใจนัก หัดเกรงใจลูกบ้าง เด็กต้องเรียน แบบนี้จะทำให้ลูกไปหลับในห้องเรียน” แม่ยังไม่ยอม
“แล้วการเรียนมันจะสำคัญกว่าพ่อมันหรือไง” พ่อเถียง
“พูดออกมาได้ ไม่คิด ที่พลอยยอมมานอนเป็นเพื่อนนี่ ยังมาว่าลูกแบบนี้อีกหรือ พูดแบบนี้อย่ามาพูดดีกว่า”
แม่ฉันไม่ได้ยอมพ่อง่ายๆ ในเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
บางครั้งเวลาฉันเดินให้พ่อเกาะ แล้วหันไปมองโน่นนี่บางตอนพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อก็ด่าฉันอย่างขึ้นมึงกู
ว่าให้เดินดีๆบ้างก็ตวาดและว่าอย่างรุนแรง
แม่ก็จะออกรับแทนว่า “นี่พ่อ เด็กมันอายุเท่าไหร่ แค่หันไปมองอย่างอื่นบ้างจะเป็นอย่างไรไปเชียว”
“ก็ถ้าเฮียล้มล่ะ จะเป็นอย่างไร” พ่อเถียง
“แล้วแค่หันหัวไปมองข้างๆนี่มันล้มไหมล่ะ ก็ไม่ล้มนี่ ก็ยังยืนเถียงอยู่ได้นี่นะ”
“อยากได้คนดูแลมืออาชีพก็จ้างพยาบาลส่วนตัวสิ”
พ่อเลยต้องหยุด
ตอนนี้การเรียนของฉันตกต่ำลง และของลูกทุกๆคนด้วย แม่ไม่มีเวลาสอนการบ้านให้พวกเรา แม่เลยใช้ระบบ พี่สอนน้องเป็นทอดๆกันไป ฉันสอนน้องเยี่ยม เยี่ยมสอนน้องเล็ก พวกเราต้องดูแลซึ่งกันและกัน
ระหว่างนี้ แม่ได้รับโทรศัพท์จากครูประจำชั้นของน้องเยี่ยมในวันหนึ่ง
“ขอเชิญคุณแม่ที่โรงเรียนนะคะ” คุณครูประจำชั้นของเยี่ยมโทรมาหาคุณแม่
“ค่ะ พรุ่งนี้นะคะ”
แล้วแม่ก็ไปที่โรงเรียน ตอนนั้นน้องเยี่ยมเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่3 เป็นเด็กที่เรียนดี เรียบร้อย คุณครูก็รักทุกๆคน แล้วคุณครูจะเรียกพบด้วยเรื่องอะไรกันนะ แม่เล่าว่า แม่คิดไปตลอดทาง
ที่โรงเรียนแม่ฉันกับได้รับคำบอกเล่าที่ทำให้แม่สุดจะทน
“น้องเยี่ยมอยู่ๆนั่งเรียนก็น้ำตาไหนค่ะคุณแม่” ครูพูด
“ครูไปถามก็เพิ่งทราบว่า คุณพ่อป่วย และพ่อไม่ให้ออกไปเล่นตอนเย็นๆเลย ให้อ่านแต่หนังสือ ไม่ให้ลุกไปไหน จริงไหมคะคุณแม่ “คำบอกเล่าของคุณครูทำให้แม่อึ้งพูดไม่ออก นี่แม่ลืมดูแลลูกไปได้อย่างไร แม่นั่งรถกลับบ้าน น้ำตาไหล สงสารลูกตอนนั้นนึกถึงลูกชายน่ารักที่แสนจะเอาใจแม่ แม่ครับๆอยู่ตลอดเวลา
แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่า ตลอดเวลาช่วงเย็นที่แม่รับพวกเรากลับมาจากโรงเรียน ทำกับข้าวเสร็จ และแม่ต้องออไปส่งงานลูกค้า กว่าจะกลับมาก็ยามค่ำ เพราะส่งงานตามห้างต่างๆหลายแห่ง แล้วยังรถติดอีก แม่ขึ้นรถเมล์ก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว ช่วงนั้น สมัยก่อน เมื่อเราทำการบ้านจัดกระเป๋าหนังสือเสร็จ เราจะมีเวลาออกไปตีแบทหน้าบ้านกัน บ้างก็ขี่จักรยานบ้าง
กับเด็กๆเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
พ่อที่ป่วยไปไหนไม่ได้ ใช้เวลาตอนนี้ ให้ท่องบทสนทนาภาษาอังกฤษ และคำศัพท์มากมาย ท่องและอ่านหนังสือจนแม่มานั่นแหละ พวกเราโดนกันทุกคนยกเว้นน้องเล็กที่แค่ประถมหนึ่ง และพ่อไม่สามารถบังคับน้องเล็กได้ เพราะน้องเล็กไม่ทำซะอย่างเดียว งอแง และพ่อก็ลุกไปตีไม่ได้อยู่ดี พ่อเลยบังคับลูกที่พอรู้เรื่องและรักมากที่สุดแทนก็คือน้องเยี่ยม
น้องเยี่ยมเป็นเด็กร่าเริงมีไมตรี เล่นกีฬาเก่ง เลยมีเพื่อนบ้านมาชวนไปเล่นด้วยเสมอ แต่เดี๋ยวนี้ทุกครั้งคือคำสั่ง ห้ามไปไหนต้องนั่งอ่านหนังสือต่อหน้าป๊า ด้วยความรักพ่อมากของน้องเยี่ยมจึงทำตามมาตลอด แม้ตนเองจะอยากเล่นเพียงใดก็ตาม
เหตุผลของพ่อคือ “พ่ออ่อนภาษาอังกฤษ เพราะพ่อเป็นผู้ชาย พ่อบอกว่าผู้ชายมักอ่อนภาษา พ่อไม่อยากให้เยี่ยมเป็นเหมือนพ่อ” พ่อชี้แจงกับแม่เมื่อแม่ถาม
“แต่เฮียต้องให้ลูกรู้จักพักบ้าง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“สมองเด็กมันก็เหมือนน้ำ หากมากๆเกินไปมันก็ล้นออกมา” แม่ให้เหตุผล
“อีกอย่างไม่เห็นด้วยเลยกับการเรียนภาษาโดยการท่องบทสนทนา คนเราไม่ได้พูดกับอยู่แค่นี้ หากเด็กทราบคำศัพท์ รู้จักการแต่งประโยค มันก็พูดได้เองแหละ” แม่เถียง
“น้องก็เรียนมาแต่เด็กๆ ก็ไม่เห็นต้องมาท่องเป็นประโยคๆ”
และเรื่องนี้ก็ทำให้พ่อดื้อรั้นต่อไป พ่อยังคงทำเหมือนเดิมคือบังคับเยี่ยมให้ท่องอังกฤษ
แม่เรียกเยี่ยมเข้ามาหาในตอนค่ำ แม่คุยกับน้องเยี่ยม แม่กอด แล้วบอกว่า “เยี่ยม มีอะไรลูกต้องบอกแม่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“พลอยเล็กก็เหมือนกัน มีอะไรหนูต้องบอกแม่นะ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เพราะว่าเราคือ แม่ลูกกัน”
แม่สั่ง แต่แม่ล่ะคะ เวลาแม่มีอะไรแม่จะบอกใคร ………………..
แต่ที่หนักกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องเพื่อนบ้าน
ป้าเดือน เพื่อนบ้านที่ใจดี ที่ฉันเคยกล่าวถึงมาแล้ว ที่มักทำอาหารมาให้เสมอๆ ป้าก็ยังทำเหมือนเดิม
ป้าเอาอาหารมาให้ที่บ้าง และชวนเด็กๆไปทานที่บ้านและเล่นที่บ้านบ้าง ป้ารักเด็ก และมีขนมมากมายที่ป้าทำเอง วันนั้น ………..
“ผม……………………นะครับ อยากบอกว่า ตั้งแต่นี้ไป คุณอย่ามาชวนลูกของผมไปบ้านอีก”
“ทำไมล่ะคะ แค่มาทานขนมและอาหาร บ้านเราก็อยู่แค่ตรงข้ามกัน มีอะไรหรือคะ เดือนน่ะรักหลานๆ เห็นแม่เขาไปส่งงานก็เลยอยากจะช่วยๆดูแลเด็กๆให้ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
ป้ายังคงตอบอย่างใจดีเช่นเดิม
“เปล่าครับ แต่เพราะการกระทำของคุณคือ การกระทำของคนที่แย่งลูกผมไปจากผม” พ่อตอบ
คำพูดนั้นทำให้ป้าเดือนห่างไปเลย ป้าไม่กล้ามาบ้านเราอีก แม้จะมีขนมมาฝากแต่ก็ไม่เคยชวนไปบ้านอีกเลย
กว่าแม่จะรู้ก็เป็นเดือนในวันหนึ่งที่เผอิญเจอป้าและป้าเล่าให้ฟังและบอกว่า
“น้อง พี่เดือนไม่ได้มีเจตนาอย่างที่แฟนน้องมาบอกพี่นะ” ป้าบอกแม่
“เรื่องอะไรคะ” แม่ถาม
ป้าเล่าเรื่องที่พ่อโทรไปหาป้าให้ฟัง แม่ฉันเลยขอโทษป้าเดือนเป็นการใหญ่ ป้าก็บอกว่า “น้องอย่าไปถือสาเขาเลย พี่ไม่ได้อยากมาฟ้องอะไรนะ แค่อยากบอกให้เข้าใจว่า พี่ยังเหมือนเดิม มีอะไรก็ยินดีช่วยเสมอ แค่ให้เข้าใจว่า ไม่มีเจตนาจะไปแย่งลูกใครเลย”
แม่ฉันกลับมาบ้านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่แม่เสียใจมากมายที่พ่อทำแบบนี้ แม่มาถามฉันและบ่นว่า “เพื่อนบ้านดีๆแบบนี้มีที่ไหน ทำไมป๊าของหนูต้องทำแบบนี้ด้วย”
พ่อฉันก็ยังคงกินอาหารมังสวิรัตหรือแนวชีวจิตเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำลูกยอสมุนไพรที่พี่แป้นเคยเอามาให้ลอง หรือสารพัดน้ำที่คิดว่าดี พ่อฉันทานหมด แม้แมลงสาบคั่วก็ยังกินจนหมดที่ซื้อมาด้วย
แต่โภชนาการบำบัดของพ่อ สร้างความโกรธให้แม่ก็เป็นที่ตัวสุดท้ายนี่เอง
“น้องช่วยหาซื้อกัญชาให้เฮียทีสิ มันช่วยรักษาและกระตุ้นเส้นประสาทได้” พ่อพูดขึ้น
“อะไรนะ กัญชา เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย” แม่โว้ย
“แล้วเรื่องอะไรจะมาให้ฉันเสี่ยงติดคุกเพราะมีกัญชาซะแล้ว”
“เกิดโดนจับมาจะทำอย่างไร”
“ไปซื้อที่ไหนก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมต้องให้ฉันไปติดต่อกับพวกค้ายาด้วย จะบ้าเหรอ”
“………………………………….”อีกเป็นชุด
สรุปคือ ไม่ซื้อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ซื้อให้ “เรื่องอะไรจะมาเป็นคนติดยาเสพติด ไอ้ที่ป่วยอยู่นี่ยังไม่พออีกเหรอ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายกับเรื่องกัญชาของพ่อ
และแม่ก็ยินยอมให้ได้แค่กินมังสวิรัติต่อไปเพียงอย่างเดียว
จากนั้นไม่นานเรื่องปวดหัวก็เกิดกับแม่อีก คราวนี้มาจากบ้านป๊ะป๊าเอง
“ให้พาหยี่เฮียไปรักษาหมอ………………ที่วัด……………………เขาว่าเก่งมากมีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรไป
ไปมาหายมาหลายรายแล้ว ให้ไปพรุ่งนี้เลยนา บอกเขาไว้แล้วลงชื่อแล้ว”
อาม่าของฉันโทรมาสั่ง
กว่าแม่จะมารู้ว่าหมอที่ว่าคือเจ้าเข้าทรงก็ถึงวัดเสียแล้ว

23/5/52

ตอนที่ 6 : ไปหาหมอจัดกระดูก





คราวนี้พ่อเราได้ลองของใหม่กันแล้ว เพราะการรักษาด้วยวิธี ไคโรแพรกติก”นี้มันใหม่มากในบ้านเรา เราไปถึงคลีนิคหมอแถวสุขุมวิทที่คลีนิคนี้แสนจะสวยงาม ทันสมัย สะอาดสะอ้าน แบบนี้ท่าทางจะแพงเอาการฉันคิด แม่และพ่อลงจากรถ แม่เข้าไปถามก่อน ที่นี่ไม่ต้องรอคิว คนน้อยอาจเป็นเพราะคนเรายังไม่รู้จัก แต่เราเช็คดูแล้วว่าทันสมัยที่สุดที่คลีนิคประเภทนี้มีมาในประเทศไทย
หมอเรียกพ่อฉันเข้าไปตรวจถามอาการ และคิดว่าน่าจะลองดู ราคามีทั้งแบบคลอสและแบบครั้งเพื่อการประหยัดและต่อเนื่อง แต่ขอบอกว่า ไม่ใช่ถูกๆเลย แพงมากๆ แต่แม่และพ่อก็ตัดสินใจที่จะลองดู
คราวนี้เราเจอหมอรูปหล่อดูสมาร์ท และดูดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอกอย่างแท้จริง หมอหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ เพราะแพทย์แขนงนี้คงต้องใช้กำลังวังชามากอยู่ หมอถามอาการและชี้แจงเรื่องการรักษาแบบ”ไคโรแพรกติก”อย่างละเอียด
หมอคนนี้น้องสาวคนเล็กของฉันยังพูดไม่ชัดดีจะเรียกว่า “หมอฟาโรห์” เนื่องจากตอนแรกเราไม่รู้ชื่อหมอ แม่ฉันเรียกตามศาสตร์ที่หมอรักษา จาก”หมอไคโรแพรกติก” เลยมาเป็น “หมอฟาโรห์”ของน้องเล็ก
หมอฟาร์โรอธิบายอย่างละเอียดว่า การรักษาแบบนี้ เป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้ยาหรือผ่าตัด โดยมีทั้งหลักการทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และปรัชญา ศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรกติกมีพื้นฐานเกี่ยวกับระบบประสาท,สมองและกระดูกสันหลัง ที่ควบคุมการทำงานของทุกๆเซลล์,เนื้อเยื่อ,อวัยวะและระบบต่างๆของร่างกายเรา ร่างกายของเราก็เปรียบเหมือนอินเตอร์เน็ตคือ สมองของเราเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์,ไขสันหลังเปรียบเหมือนโครงข่ายที่ให้ข้อมูลกระดูกสันหลังที่เป็นเหมือนบ้านของระบบเส้นประสาทนอกจากนี้ ยังมีเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำที่เป็นตัวเชื่อมต่อไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เช่นหัวใจ ปอด ลำไส้และอวัยวะต่างๆการถูกรบกวนของระบบเนื้อเยื่อหรืออวัยวะและการควบคุมระบบประสาท ที่เรียกว่า ส่วนประกอบของการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง ศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรกติกเป็นศาสตร์ที่ค้นพบชนิดความผิดปกติของกระดูกสันหลังนี้ ด้วยศาสตร์ การปรับรักษาและปรัชญาที่เป็นธรรมชาติ
1. การรักษาแบบศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติกนั้นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการรักษาตนเองและควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากระบบประสาททำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีการรบกวน
2. ระบบประสาทเป็นตัวควบคุมการทำงานของร่างกายโดยแพทย์จะไม่ได้รักษาอาการของเราโดยตรงแต่จะเป็นตัวช่วยการกระตุ้นให้ร่างกายเราอยู่ในท่าและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายฟื้นฟูรักษาด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
3. การรบกวนการทำงานของระบบประสาทไม่ว่าจากสาเหตุใด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายลดน้อยลงสาเหตุหนึ่งของการที่ระบบประสาทโดนรบกวน ซึ่งพบเห็นได้บ่อยครั้ง คือการคลาดเคลื่อนของกระดูกสันหลัง(Vertebral Subluxation) จากอิริยาบถที่ผิด การหกล้ม ถูกกระแทก อุบัติเหตุต่างๆ ท่านอนที่ผิดปกติ บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา บุคลิกท่าทาง ความเครียด เป็นต้น
4. เป้าหมายหลักของแพทย์ไคโรแพรกติกคือการลดการแทรกแซงหรือการรบกวน เช่นการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง (Vertebral subluxation) ที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายลดน้อยลง
5. กระตุ้นส่งเสริมให้ร่างกายมีขีดความสามารถในการรักษาฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มประสิทธิภาพโดยการดูแลกระดูกสันหลังและโครงสร้างให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะเป็นการช่วยให้ท่านมีสุขภาพที่ดีและร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
พอฟังแล้วมันช่างดูดีเหลือเกิน แม้ราคาจะแพงแต่ก็ตัดสินใจเข้ารักการรักษา เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ในคลีนิคหมอจะมีหนังสือเกี่ยวกับแพทย์แขนงนี้มากมาย มีกระดูกไขสันหลังเทียมเป็นข้อๆติดอยู่ที่ผนัง บ้างก็วางไว้ ดูตื่นตาตื่นใจดี ตามหนังสือที่วางมักเป็นเรื่องราวของคนไข้ที่มารักษาด้วยแพทย์แขนงนี้แล้วหายเป็นปกติ หลังจากที่ทำการรักษามาหลายแบบ แต่อย่างว่าแหละนะคะ เคสของพ่อคงหนักเอาการ เล่นเอาหมอหนุ่มบอกว่า “ผมจะขอนัดให้อาจารย์ผมที่เก่งกว่านี้ตรงนะครับ เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
“แต่ผมเชื่อว่า หากคุณให้โอกาส เราคงวางแผนการรักษานี้ให้คุณได้” หมอหนุ่มพูด พ่อและแม่ก็ตกลงที่จะฝากฟิลม์ไว้ เพื่อให้อาจารย์หมอเขาตรวจอาการของพ่อดูอีกที
แล้วพวกเราก็ทิ้งฟิลม์ที่MRI ไว้ให้หมอ วันนี้จึงเป็นการตรวจวินัยฉัยเพื่อวางแผนการรักษา และพ่อไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไร
คราวต่อมา พ่อไปที่คลีนิคหมอฟาโรห์คนเดิม หมอได้อธิบายว่า กระดูกสันหลังของพ่อมีส่วนที่รับออกซิเจนไม่เพียงพออยู่รวมทั้งบางข้อคดงอและเคลื่อน ซึ่งหมอชี้และวงภาพให้ดูตามฟิลม์เอ็กซเรย์ ทำให้การทำงานของเส้นประสาทสันหลังไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสาเหตุเกิดได้หลายวิธี เช่น การที่คุณเดินตัวงอ นั่งทำงานมากๆเป็นต้น หมออธิบาย ซึ่งเราฟังแล้วมันก็จริงอยู่นะ เพราะพ่อของฉันมักชอบนั่งทำงานนานๆและเวลาเดินก็มักติดที่จะหลังค่อมนิดๆ กระดูกสันหลังคงเป็นแบบที่หมอพูดว่าคือคดงอบางส่วน แม่พยักหน้า เข้าใจเหมือนจะยอมรับให้พ่อรับการรักษา จากนั้นพ่อก็ถูกพามาห้องที่ทำการรักษา ห้องรักษาจะมีเตียงเล็กมากๆ แค่พอดีตัว แต่ปรับได้หลายแบบ ให้หัวต่ำหัวสูง ขาต่ำขาสูง หรือตรงกลางลงหรือแอ่นขึ้น มีเครื่องมือที่มีสายไฟระโยงระยาง เรียกว่าอะไรไม่ทราบ จำไม่ได้เสียแล้วค่ะ แต่ไอ้เครื่องนี้มันจะมีแผ่นเล็กๆติดอยู่ ที่ปลายสายไฟ มันทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าต่ำๆมากระตุ้นตามกล้ามเนื้อของเรา พ่อโดนให้นอนเฉยๆและใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้น 15 นาทีในเบื้องต้น “เวลากระแสไฟเข้า มันจะเหมือนมีเข็มทิ่มจี๊ดๆเหมือนเราโดนไฟดูดเบาๆ “พ่อเล่าในภายหลัง “แต่เมื่อเอาออกแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายดี เลือดลมเดินดีขึ้น ” พวกเราสามคนก็มองอย่างสนใจ เพราะพ่อเราเหมือนมนุษย์ในหนังวิทยาศาสตร์เลย ที่เขาเลี้ยงในหลอดแก้ว มีสายเต็มตามแขนขา และลำตัวไปหมด พอครบเวลา หมอฟาโรห์ก็เข้ามาและถอดสายต่างๆออก จากนั้นก็จับพ่อนั่ง หมอไปด้านหลังและดัดหลังพ่อเหมือนจัดกระดูกแบบหมอวัดโพธิ์ แต่หากถามว่าเหมือนกันไหมกับท่าฤษีดัดตนของหมอวัดโพธิ์ กับของหมอฟาโรห์ มันต่างกันอย่างไรก็ต้องไปถามน้องสาวตัวเล็กของฉันดู
“เล็ก พี่พลอยว่าเหมือนกับหมอวัดโพธิ์ที่ทำไหม” ฉันถาม
“ไม่เหมือนนะพี่พลอย” เล็กตอบ “ต่างกันตรงไหน เล็ก”
“ก็เสียงของกระดูกไงพี่พลอย ของหมอวัดโพธิ์มันกร๊อบทีละครั้งดังสนั่น แต่ของหมอฟาโรห์ มันกร๊อบเป็นทำนองต่อเนื่อง”เล็กอธิบาย
มันจริงตามนั้นที่เดียว เสียงกระดูกที่ถูกจัดแบบใหม่ของพ่อนั้น มันดังเหมือนกับว่ากระดูกสันหลังทั้ง 33 ชิ้น แต่ละข้อจะถูกจัดให้เข้าที่ทั้งหมดเสียงดุจตีระนาดเป็นจังหวะจะโคนเรียงกันทีเดียว มันดังต่อเนื่องกันตามจุดที่หมอดัด วิธีนี้ หมอบอกว่าเป็นวิธีที่จะช่วยให้กระดูกสันหลังเรียงเข้าที่เป็นระเบียบขึ้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับระบบหมุนเวียนของร่างกาย จะทำให้เลือดหมุนเวียนดี ของเสียก็ถูกขับออกง่ายขึ้น และระบบประสาทต่างๆก็จะซ่อมแซมและฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง
วันนั้นหลังจากการจัดกระดูกที่เสียงอันน่าพิศวงแล้ว พ่อของฉันเดินกลับบ้านอย่างตัวปลิวเบาหวิว แข้งขาดูจะแคล่วคล่องขึ้น จนเราสังเกตได้
“เป็นไงป๊า” แม่ถามเมื่อออกจากคลีนิคหมอ “ดีนะ รู้สึกว่าเดินได้ดีขึ้น” พ่อว่า
คืนนั้นที่น่าแปลกคือ เสียงกรนปานมอเตอร์ไซต์เด็กแว๊นซิ่งได้เบาลง พ่อนอนหลับสบายขึ้น ไม่อ้าปากปรื้นๆเหมือนทุกคืน ผลพลอยได้จากการจัดกระดูกก็คือ การนอนหลับสนิทโดนไม่กรนนั่นเอง
อาทิตย์ต่อๆมาเราก็ไปอีก นับได้สามเดือนแล้ว แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงในการรักษา ด้านคลื่นไฟฟ้าต่ำ และวิธีจัดกระดูก ตอนนั้นเราคิดว่าจะดีแล้วเชียว แต่พ่อกลับมาอาการกระตุกที่แขนเพิ่มขึ้นในเดือนที่ 6 พ่ออุปทานไปหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่พ่อไม่ไปรักษาอีกเลย ที่จริงการรักษาแบบนี้มันใช้เวลาเช่นกัน ไม่ใช่จะหายได้ในเร็ววัน แต่ไม่ทราบว่าเพราะแพงหรือเพราะแขนกระตุกพ่อจึงไม่ยอมไปที่นี่อีก พ่อบอกกับแม่ว่า
“น้องเฮียจะหยุดรักษาแล้วนะ จะลองทานมังสวิรัติดู” ป๊าฉับบอกกับแม่
“ร่างกายต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แบบนี้มันจะช่วยได้อย่างไร มีแต่จะแย่ลงสิ” แม่เถียง
“น่าลองดู ป๊าอ่านหนังสือชีวจิตเขาว่ามันช่วยได้ หากเราเปลี่ยนการบริโภค”ป๊าฉันเถียงกลับ
แม่งอนและบอกว่า “ตามใจ คนเราน่ะจะรักษาโรคใช่ว่าจะหายปุ๊บปั๊บ ไม่มีอดทนเลย กายภาพก็ต้องใช้เวลา จัดกระดูกก็ต้องใช้เวลา”
“นี่อะไร รักษาตรงโน้นทีนี้ที ไม่เร็วทันใจก็หยุด”
“แบบนี้ก็แล้วแต่เฮียแล้วกัน ไม่สนแล้ว” แม่ฉันสรุปอย่างไม่พอใจ
แต่ก็ทำอาหารมังสวิรัติให้พ่อทาน คราวนี้เป็นการบำบัดด้วยอาหารกันทีเดียว
อาหารใดช่วยให้ดีขึ้นด้วยระบบประสาทก็จะหามาทาน…………………….
แล้วพ่อฉันก็กลายเป็นนักชิม

ตอนที่ 5 :ไปหาหมอนวด





อันนี้ต้องคงเรียกว่า “หมอนวด” ตามความคิดของเด็กอย่างฉันในตอนนั้น ที่แรกคือวัดโพธิ์ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการนวดแผนโบราณ นี่คือที่ๆประเดิมเป็นที่แรก
“วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” ตั้งอยู่ที่ท่าเตียน ก่อนไปฉันจินตนาการว่า คงมีแต่หมอแก่ๆที่นี่เพราะเห็นว่าเป็นที่เก่าแก่ด้านการนวดแผนไทนมาช้านาน แต่เปล่าเลยที่ฉันเห็นก็คือ เตียงที่เรียงเป็นแถวยาว คนนวดหรือหมอนวดแผนไทยนี้มีแต่วัยหนุ่มสาว แต่คนที่ไปนวดมีแต่สูงวัยเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหมอแก่ๆเลย แม่ขมวดคิ้วเมื่อไปถึง ทำหน้าเหมือนไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เราต้องรับบัตรคิว เพราะคนใช้บริการมากมายพวกเราไปเมียงๆมองๆคนอื่นที่นวดอยู่ ท่านวดแต่ละท่ามีมากมาย ดัดแข็งขากันดังกร๊อปๆ ดุจจะหัก ก่อนนวดต้องไปตรวจก่อน เขาจะถามอาการ และส่งไปนวด การนวดที่นี่จะใช้นวดโดยใช้ลูกประคบช่วย

ลูกประคบจะถูกนึ่งจนร้อนพอดีๆ ส่วนประกอบของลูกประคบก็จะมี ไพลสด ขมิ้นชัน ตะไคร้บ้าน ผิวมะกรูด ใบส้มป่อย พิมเสน การบูร เกลือ เป็นตัวหลักของลูกประคบ แม่เดินไปถามว่าหมอเก่าแก่มีบ้างไหมคะ ได้รับคำตอบว่า หมอแก่ไปเปิดร้านเองหมดแล้ว หรือไม่ก็ไปเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนศึกษามาจากตำราเดียวกันทั้งนั้น แม่ฟังแล้วก็เฉยๆ พอถึงคิวพ่อตรวจ คนตรวจก็บอกว่ารักษาได้แน่นอน ไม่ต้องห่วง ไม่กี่ครั้งก็หาย เชื่อสิ
พ่อยิ้มกริ่ม แต่แม่ก็เฉยๆตามเคย เราสังเกตว่า แต่ละคนก็นวดเหมือนๆกัน จะเน้นก็ตรงที่คิดว่าปวดมาก แต่พ่อฉัน ไม่เคยปวดที่ตรงไหน เขาดัดตัวพ่อตรงโน้นนี้ พลิกคว่ำหงายน่าเวียนหัว พวกเรายืนดูกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็ไปเดินเที่ยวกันกับแม่

ที่วัดโพธิ์มียักษ์ยืนเท่ห์มากเฝ้าประตูอยู่มีกายสีแดง ตัวใหญ่มากเลย พวกเราชอบมาก แม่จึงเล่าว่า อยากรู้ไหมว่ามีที่มาอย่างไรเราจึงไปอ่านตำนานยักษ์วัดโพธิ์กัน
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์ ๒ ตน ตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดโพธิ์ อีกตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์อยู่และมีหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้งก็อยู่และดูแลวัดแจ้ง หรือ วัดอรุณราชวรารามซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ยักษ์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่ง ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน จึงข้ามแม่น้ำไปขอยืมเงินยักษ์วัดแจ้ง และนัดวันที่จะนำเงินไปคืน เมื่อถึงวันนัด ยักษ์วัดโพธิ์ก็ไม่นำเงินไปคืนตามที่ได้สัญญาไว้ ยักษ์วัดแจ้งคอย และเห็นว่าเลยวันนัดไปหลายวันแล้ว ยักษ์วัดโพธิ์ก็ยังทำเฉยไม่ยอมคือเงินให้ ยักษ์วัดแจ้งจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำมาทวงเงินยักษ์วัดโพธิ์ แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ให้ ในที่สุดก็ทะเลาะกันและต่อสู้กันด้วย ยักษ์ทั้งสองมีร่างกายสูงใหญ่ มีกำลังมาก เพราะฉะนั้นเวลาสู้กันก็ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นล้มลง และถูกเหยียบตายหมด เมื่อเลิกต่อสู้กัน ก็ปรากฏว่าบริเวณนั้นราบเรียบไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยกลายเป็นท่าเตียน เมื่อพระอิศวรรู้เรื่องยักษ์ทั้งสองที่สู้กันจนทำให้ทั้งคน สัตว์ และต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้นเดือดร้อนก็โกรธมาก จึงลงโทษยักษ์ทั้งสองโดยสาปให้กลายเป็นหินยืนเฝ้าที่หน้าอุโบสถวัดโพธิ์และวัดแจ้งมาจนทุกวันนี้

น้องชายของฉันถึงกับชอบยักษ์เป็นนักหนาบอกว่าเท่ห์ดีตัวโตดี ที่วัดโพธิ์นี้มีคนมาเที่ยวมากมาย ส่วนมากเป็นฝรั่ง มีของไทยๆขายด้วย เช่น ข้าวแช่ห์หาบมาขาย สำรับดูน่าทานแท้ แม่ซื้อให้ลอง แต่เราชิมแล้วไม่ชอบเลย แต่ชอบกินกับข้าวมันมากกว่า เช่นเนื้อฝอยหวานๆอร่อยดี แต่ตัวข้าวเย็นๆแข็งๆไม่อร่อยรสชาดแปลกๆ เดินชมภาพฝาผนังและส่วนต่างๆจนเพลิน ก็ได้เวลาพ่อนวดเสร็จแล้ว พวกเราจึงเดินไปรับพ่อ

พอเจอพ่อ น้องฉลามก็เข้าไปบอกเสียงใสว่า “เราไปดูยักษ์มา ยักษ์ตัวโตด้วย” น้องชายยังมีทีท่าสนุกสนานอยู่ น้องเล็กก็แย่งกันเล่าตามประสามากมายฟังไม่ทัน พ่อยิ้มๆ แม่จึงเข้าไปถามว่า “เป็นไง” “ก็ดี” พ่อตอบ
พวกเราไปหาอะไรทานกันวันนั้นแล้วก็กลับบ้าน ระหว่างทางก็เป็นการเล่าเรื่องยักษ์ไปตลอด พอสิ้นเสียงก็เห็นน้องสองคนหลับไปแล้ว

เช้ารุ่งขึ้น พ่อตื่นมาพร้อมอาการปวดมากมาย คงเพราะการนวดดัดตนต่างๆทำให้พ่อรู้สึกปวดมาก พ่อไม่ไปหาหมอนวดวัดโพธิ์อีกเลย

ต่อมาความพยายามจะนวดให้หายของพ่อยังมีอยู่ พวกเราไปเดินตลาด เจอหญิงแก่ๆคนหนึ่งดูจนๆมาทักพ่อว่า ขายึดใช่ไหม เดินไม่สะดวกใช่ไหม ไม่มีอาการปวดใช่ไหม แค่นั้นเอง แล้วแกก็บอกว่า “ให้แกลองไหม แกคิดแค่หกพันค่ายาหม้อและไปนวดให้ถึงบ้านสิบครั้ง” พ่อตกลง แต่แม่ไม่ยินยอม มากระซิบถามพ่อว่า “ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าเชื่อถือเลย” พ่อก็ว่า “เอาน่าลองดู ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่เผื่อหาย”
สิบวันหลังจากนั้น ก็มียายคนนี้ไปต้มยา และนวดที่บ้าน ขาสกปรกๆ เหยียบตามตัวพ่อ ดูไม่ชอบเลย ยิ่งแม่แล้วยิ่งไม่พอใจ “เงินหกพันกับยายแก่คนนี้ ที่ดูสกปรกๆกับท่านวดใช้เท้าเหยียบนี่นะ” แม่บ่นพ่อจนเลิกบ่น
สิบวันผ่านไป อาการพ่อดูจะไม่ดีขึ้นเลย ปวดมากมายตามมา จากที่ไม่ปวด เลยปวดทั้งตัว
แม่เล่าให้พ่อฟังว่า “แถวบ้านแม่ หมอนวดที่ไม่ชำนาญมานวดๆจับเส้นนี่แหละ จับกันพลาดถึงตาย เฮียไม่ควรให้พวกนี้นวดนะ ถ้าพลาดมาจะทำไง แค่เขาบอกว่ารักษาได้ก็ยอมเขาแล้วนี้นะ เงินทองก็ใช่ว่าจะมีมากมาย”
“ถ้าหายเงินหาเมื่อไหร่ก็ได้น่า” พ่อเถียง แล้วหาว่า แม่ไม่อยากให้พ่อหายหรือไง
“พูดมาได้นะแบบนี้ “แม่โมโหเลยไม่พูดอีกเลย

ตอนนั้นด้วยอาการป่วย พ่อไปทำงานไม่สะดวกแล้ว บางที่เขาก็ไม่อยากจ้าง เพราะหลายๆบริษัทต้องไปตรวจที่ต่างจังหวัด พ่อเริ่มมีปัญหาเรื่องงานและกิจการ ตอนนั้นเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงเรื่องลิขสิทธิ์ และยุคที่วีดีโอคนนิยมน้อยลง ไปนิยมวีซีดีแทน การค้าเริ่มแย่ลง ปัญหาจับลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมีมากมายจนร้านของเราโดนจับ แม่ในฐานะชื่อเป็นเจ้าของต้องโดนตำรวจจับ เราไม่มีเงินสดมาประกันตัวแม่ เดือดร้อนถึงคุณตา ที่ต้องมาจากต่างจังหวัดมาเซ็นประกันตัว ครั้งนั้นเราเสียเงินไปมากมาย จนต้องปิดกิจการ อีกทั้งร้านที่เพิ่งลงทุนก็เจอปัญหาที่ผู้ให้เช่าเสียชีวิตลง และทายาทไล่ที่ บ้านที่พ่อซื้อเพื่อขายทีละหลายๆหลังขายไม่ออก เนื่องจากปัญหาตะวันออกกลาง รวมปัญหามาในทีเดียวกัน พ่อของเราโดนฟ้องล้มละลาย เพราะจ่ายดอกเบี้ยไม่ทัน ค่าป่วยที่ต้องจ่ายบ่อยครั้ง กลายเป็นรายจ่ายประจำ งานของแม่แค่เลี้ยงลูกได้ก็แทบแย่แล้ว แม่เริ่มไม่มีเงินพอกับค่าเล่าเรียนลูก และคนที่ช่วยเหลือให้ทุนเรามาเสมอก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนรักของแม่ บ่อยครั้งที่เงินค่าเทอมเราไม่มี แม่คนที่ไม่เคยยืมเงินใครเลย แต่ต้องไปเอาเงินเพื่อน อย่างที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้คืนได้ แม่เริ่มเก็บตัว ไม่สมาคม ทำแต่งานๆ ทั้งกลางวันกลางคืน เงินที่พ่อได้มา แค่ใช้ค่ายา ค่ากายภาพบำบัดของพ่อวันละพันก็หมดแล้ว ทางบ้านเริ่มขัดสนรุนแรง……….แต่การรักษาพ่อก็ยังต้องดำเนินต่อไป
จากยายแก่คนนั้น พ่อวิ่งเข้าศูนย์กายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ที่ศูนย์นี้ มีเครื่องมือกายภาพบำบัดมากมาย
พวกเราจะเห็นคนไข้ที่ผาตัดจากอุบัติเหตุไปหัดยืนบ้าง เดินบ้าง ทุกคนต้องใช้เวลากับการฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัด การกายภาพที่นี่จะไม่นานมาก เพราะว่าต้องไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป แรกๆก็ดูเหมือนขาพ่อจะเดินดีขึ้น แต่ก็เป็นได้ไม่นาน พ่อเข้าที่นี่ได้หกเดือนก็หยุดอีก

จากนั้นพ่อเอาถุงทรายมารัดขาเวลาเดิน เพื่อให้เหมือนกายภาพขา ระยะนี้ กล้ามเนื้อบริเวณน่องของพ่อดูลีบลงไปจนน่าตกใจ สองปีกว่าแล้วกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตามโรงหมอต่างๆแต่ความหวังยังเลือนลาง ทุกคนเริ่มไม่คาดหวัง……………….
“กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันหนึ่ง
คุณยายจากต่างจังหวัดโทรมาบอกว่า “มีหมอของสมเด็จคนนึ่งเก่งมาก รักษาคนเป็นอัมพาตยังหายเลย แต่คนเยอะมาก จะมารักษาแค่เดือนละครั้งที่วัดเขาจะไปลองดูไหม “
แม่ให้ไปบอกป๊าและถามว่าจะไปไหม”ไปไป” ป๊าตอบ

วันนั้นพวกเราไปชลบุรีกัน ห้าโมงเย็นไปที่วัดเขา วัดอยู่บนเขาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า ห้าโมงเย็นคนจะคิวยาวขนาดนี้ ค่ารักษาแค่สิบบาทเป็นค่าอุปกรณ์แค่นั้นเอง ใครไม่มีก็ไม่ต้องให้ เป็นหมอสมัยใหม่ที่เก่งด้านจัดกระดูก และดูเป็นหมอที่ดี ไม่ได้หวังค่ารักษาประการใด เราไปรับบัตรคิว โดนต่อแถวยาวเหยียด ยาวจริงๆ
บางรายก็ต้องอุ้มกันมา เช่นผู้ที่เป็นอัมพาต โปลิโอ คนเหล่านี้บอกว่า ท่านผู้นี้เก่งจริงๆนะ ลูกเขาหมอจัดไม่กี่ครั้ง ตอนนี้เริ่มเดินได้แล้ว แม่ถามคนโน้นนี้ทีระหว่างรอคิว ความหวังเริ่มมาอีกครั้ง รายไหนที่ดูหนัก และญาติเล่าว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แม่จะตื่นเต้น แล้ววิ่งมาเล่าให้พ่อฟัง เรารอตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนคุณยายที่มาด้วยโทรให้คุณตามารับพวกเรากลับบ้านไปก่อน แต่ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ เลยให้น้องสองคนกลับไป ครั้งนั้น พ่อกว่าจะได้รักษาคือตอนตีสาม
กว่าจะได้กลับบ้าน เกือบเช้าทีเดียว หมอบอกว่า ไม่รับปากว่าจะหายนะ เพราะตรวจไม่พบอาการผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุ การรักษาของหมอจัดกระดูกต้องใช้สองคน อีกคนร่างใหญ่กว่าหมอดูแข็งแรง จะมาช่วยจับพ่อให้นิ่งๆ แล้วหมอใหญ่ก็เข้าไปจัดกระดูกดังสนั่นเลย ดัดคอด้วย ฉันดูด้วยความอัศจรรย์ผสมกลัวมากตอนเสียงกระดูกลั่น เพิ่งทราบว่า การรักษาแบบนี้ก็มีด้วย

วันรุ่งขึ้นพ่อก็ไม่ได้บ่นว่าเจ็บปวดอะไร แต่ก็ไม่ได้บ่นว่าดีขึ้น แม่ถามว่า”แล้วจะไปอีกไหม”
“ไม่แล้ว” พ่อตอบ”คนมันเยอะ ลำบากรอนาน”
“ไม่เป็นไร หากป๊าคิดว่าดีขึ้น” แม่ว่า
“ไม่แล้วดีกว่า” พ่อบอก

จากนั้นก็มีผู้แนะนำหมอนวดให้พ่ออีกมากมาย แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย แต่พ่อก็ยังคงลองเปลี่ยนคนเสมอๆ ใครที่ว่าหมอดีที่ไหน เราไปนวดมาจนหมด
จนกระทั้งวันหนึ่งแม่ได้อ่านในหนังสือเรื่องการรักษาแบบ“ไคโรแพกทริก”
พวกเราจึงได้มีโอกาสเยี่ยมเยียนแพทย์แนวใหม่กันอีกครั้ง…………….

19/5/52

ตอนที่ 4 : หมอฝังเข็ม




หลังจากวันนั้น เราก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลอีกหลายหมอ กับ MRI อีกหลายรอบ คราวนี้มีเพื่อนของพ่อ แนะนำว่า ให้ไปหาหมอจีน เป็นหมอฝังเข็ม ที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง เมื่อเราไปถึงพอลงจากรถ ก็ได้กลิ่นยาคละคลุ้งไปทั่ว โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างเก่า แม้มือชื่อก็ตาม เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิของจีนแห่งหนึ่ง สภาพผิดจากโรงพยาบาลเอกชนในสมัยนี้มากมาย อาคารค่อนข้างเก่าเราต้องไปรับบัตรคิวรอตรวจ เพราะมีคนมากจริงๆ ห้องตรวจก็เหมือนทั่วๆไป
หมอคนใหม่ของพ่อนี้เป็นชาวจีน อายุมากแล้ว คงประมาณหกสิบได้ ว่ากันว่ามือหนึ่งของที่นี่ ถึงมีคนไข้ต่อคิวรอยาวทีเดียว หมอแก่ ผมสีเทาๆ หน้าเหมือนอาแป๊ะจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายใน ทำให้เราจิตนาการไปว่า หมอคงใช้พลังลมปราณขัดเคลื่อนคลายจุดตามจุดสำคัญต่างๆ ให้พ่อหายดีได้ ว่ากันว่า ศาสตร์การฝังเข็มนี้ เป็นเรื่องที่หมอสมัยปัจจุบันพยายามศึกษากันมากทางยุโรป เพื่อนำมาใช้ผสมผสานกับแผนปัจจุบัน คนรักษาต้องเชี่ยวชาญในการรู้สรีระของมนุษย์ และจุด เส้นเอ็มต่างๆ ทางกายภาพเป็นอย่างดีด้วย มิฉะนั้นอาจไปฝังโดนเส้นตายได้
วิธีการตรวจของหมอจีนแตกต่าง หมอเข้าไปกดตามจุดต่างๆ ดัดแข้งดัดขามากมาย เหมือนพ่อต้องเจ็บ แล้วก็บอกว่า เส้นเอ็นของพ่อนั้นมันเริ่มแห้ง หมอไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ไหม คุณมาหาช้าไปหน่อย หากมาแต่แรงน่าจะเอาอยู่ หมายถึงทำให้หายได้ จะลองดูไหม ฝังเข็มและลองทานยาหมอดู
หมอตรวจพ่อเสร็จก็ถึงคราวไปรอฝังเข็ม อันนี้เป็นอันตื่นตาตื่นใจ ห้องฝังเข็ม แบ่งเป็นล็อคๆยาวเหยียด มีม่านกั้นไว้เป็นสัดส่วนเฉพาะเตียง พ่อต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และรอหมอฝังเข็ม มาแล้วหมอคนเดิม…..ผู้เฒ่าจอมยุทธแห่งเขาเหลียงซาน ว่าเข้านั่น เพ้อเจ้อจริงๆฉัน
และแล้วจอมยุทธของฉันก็มาถึงเตียงพร้อมอาวุธครบมือ นั่นก็คือเข็มหนึ่งร้อยเล่ม (ฉันไม่ได้นับหรอกนะคะ แต่มาทราบตอนหลังว่ามีร้อยเล่ม) พอเปิดกล่องออกมา แม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆที่เป็นโรคกลัวเข็มอย่างที่สุดหน้าซีด ฉันเห็นแม่นิ่งอยู่ครู่แล้วก็เดินออกไปเลยไม่ดูแล้ว น้องเล็กเห็นเข็มก็สนใจมองนิ่งไปใกล้ๆ จนพยาบาลบอกว่าให้ถอยออกไป ห่างๆหน่อย
ฉันถามหมอจอมยุทธว่า “หมอ จะเอาเข็มจิ้มพ่อหมอทุกเล่มเลยหรือ” ฉันจ้องตาเขม็งที่เข็มทั้งหมดที่มีขนาดต่างๆกัน เรียกเป็นแนวตามขนาดและความยาว เข็มดูบางๆแต่ยาวต่างๆกัน
หมอยอมยุทธพูดว่า” เริ่มจากที่หัวก่อนนะ” พ่อพยักหน้ารับทราบ “เจ็บนิดหน่อย หากเจ็บมากให้ร้องออกมาเลย” หมอพูดต่อ “วันนี้หมอจะเริ่มที่ด้านหน้าก่อน เน้นด้านขวาเพราะคุณมีปัญหาที่ขาซ้าย และแขนขวา”
ที่หัวเป็นเข็มเล่มยาวๆบางมากมาก ฉันไม่ได้นับว่าที่หัวมันมากแค่ไหน พ่อทำหน้าเจ็บนิดๆ เวลาโดนเข็ม แต่ยังไม่มีร้องโอ้ยเลย เป็นฉันคงร้องโรงพยาบาลแตกไปแล้ว น้องชายคนกลาง กับน้องเล็ก ยืนนิ่งเงียบ ตาจ้องเหมือนฉัน แต่แม่หายไปเลย เข็มเล่มแล้วเล่มเล่า ทิ่มแทงพ่อจากหัว ใบหน้า ตามแขน ตามขา และลำตัว มากมาย จนฉันต้องถามว่า “กี่เล่มค่ะหมอ”
“100 เล่ม” หมอตอบ แล้วหมอก็อธิบายว่า

การฝังเข็ม นับเป็นศาสตร์แห่งการรักษาโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยแพทย์ของจีนโบราณมีการค้นหาจุดต่างๆ ตามสรีระที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือส่วนที่ทำให้ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือน และหาทางเยียวยารักษา จนในที่สุดก็คนพบวิธีการรักษาที่เรียก ว่าการฝังเข็ม การฝังเข็มมีบทบาทรักษาโรคและอาการผิดปกติต่างๆของร่างกายมาเป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี และโดยเฉพาะในรอบศตวรรษหลังที่วิชาเวชกรรมฝังเข็มได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก สำหรับประเทศไทยเองก็มีผลงานด้านการบำบัดรักษาด้วยเวชกรรมฝังเข็มมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว และในส่วนของจังหวัดเพชรบุรี โรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีมีทีมแพทย์ที่ให้ความสนใจเรื่องศาสตร์ แห่งการรักษาผู้ป่วยด้วยการฝังเข็ม มีการค้นคว้าและศึกษาข้อมูลที่ทันสมัยเหล่านี้มาเก็บรวบรวม จนทราบว่าการฝังเข็มสามารถรักษาผู้ป่วย ได้กว่า ๕๓ โรค เช่นโรคกระดูกกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดเส้นประสาท ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน หรือโรคอื่นๆอีกมากมาย
เข็มที่นำมาใช้ในการรักษาในปัจจุบันมีการพัฒนาโดยใช้เข็มเงิน เข็มทองและเข็มทองแดง ซึ่งเข็มทั้งหมดที่นำมาใช้จะเป็นเข็มที่ปลอดเชื้อทั้งสิ้น มีความปลอดภัยสูง ซึ่งเข็มเหล่านี้เมื่อปักไปตามตำแหล่งสำคัญของร่างกายแล้วจะมีการกระตุ้นด้วยมือหรือเครื่องอิเล็กทรอนิคส์ นาน ๒๐-๓๐ นาที เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมน เพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ตามสมดุลปกติ ซึ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการฝังเข็มและการกระตุ้นก็จะเป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษา ซึ่งเมื่อนำเข็มออกจากร่างกายผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ร่างกายจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


หมอพูดให้กำลังใจว่า เดี๋ยวพ่อกลับบ้านก็จะเดินได้แล้ว เอายาไปต้มกินตามที่หมอบอก แล้วอาทิตย์หน้ามาใหม่ตามที่หมอนัด เดี๋ยวพ่อหนูก็หาย ฉันยิ้มได้ น้องชายเริ่มเดินออกไปหาแม่ แต่แม่ไปไหนไม่รู้ หมอต้องเอาเข็มจิ้มไว้อย่างนี้ หนึ่งชั่วโมง
น้องเล็กเข้าไปมอง และถามพ่อว่า “พ่อเจ็บไหมคะ”
พ่อยิ้มน้อยๆไม่ตอบว่าอะไร แต่ฉันเดาว่ามันต้องเจ็บแน่ๆเลย ก็เวลาเราไปฉีดยาเรายังแทบร้องไห้ นี่เข็มเป็นร้อยไม่เจ็บได้อย่างไร แต่ความเจ็บหากหายป่วยได้มันคงคุ้มมากกว่า


ระหว่างรอพ่อ พวกเราได้แอบดูตามรอยที่ม่านแหวกของเตียงคนไข้อื่นๆ บางรายมีเข็มที่หัวอย่างเดียวเป็นร้อยๆเล่ม ดูเหมือนในหนังเลย น่าสยองมาก แต่พ่อของฉันขนาดเข็มทิ่มอยู่อย่างนั้น ก็ไม่มีอุปสรรคในการนอนเลย พ่อนอนหลับสนิทเสียงกรนกึกก้องสนั่นเมือง จนพวกเราสงสารเตียงข้างๆ คงนอนกันไม่หลับ และไม่นาน การแข่งขันกรนก็เริ่มขึ้น เพราะมีคนไข้ฝั่งโน้นกรนมากอีกคน แต่ฉันประเมินดูแล้วว่า พ่อฉันชนะขาดลอย
ชั่วโมงผ่านไป พยาบาลก็เข้ามาเอาเข็มออก แม่เพิ่งโผล่หน้าเข้ามาตามเวลา พยาบาลบอกแม่ให้ไปเอายาที่หมอสั่ง พวกเราเลยเข็นพ่อไปเอายา คราวนี้ยาไม่ได้เป็นเม็ดๆ แต่กลับประกอบด้วยใบอะไรไม่รู้มากมาย แม่ซื้อหม้อต้มยาจีนไฟฟ้า เสียงเภสัชอธิบายให้ฟังถึงวิธีต้มยาว่า ต้องใส่น้ำสองส่วนต้มไปจนเหลือน้ำส่วนเดียวให้ทานหนึ่งชามตอนเช้าเย็น ห้ามทานไช้เท้า ฟัก พอวันต่อมาก็ให้เติมน้ำหนึ่งถ้วยและต้มต่อจนเดือด ทานเช้าเย็น ทำอย่างนี้จนครบอาทิตย์แล้วก็มาหาหมอตามนัด
กลับบ้านพวกเราก็ดูยาต้มของพ่อ กลิ่นใช้ได้ น้ำดำๆ วันนั้นพ่อบอกกับพวกเราว่า “พ่อว่าพ่อเดินคล่องขึ้นนะเนี่ย” แม่ได้ยินหันมามอง แล้วบอกว่า “ก็ดีแล้ว” แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

ฉันดูเหมือนว่า แม่คงไม่อยากให้พ่อฝากความหวังอะไรอีก และแม่ก็เช่นกัน เพราะหลายครั้งแล้วที่เรามีหวังแล้วก็หมดหวัง โดยการที่หมอบอกว่า “หมอไม่ค้นพบว่าคุณเป็นอะไร ต้องรอให้อาการชัดขึ้นกว่านี้”
พ่อรักษาหมอฝังเข็มอยู่ 6 เดือนเต็มเหมือนการทำกายภาพ แต่ก็อาการเหมือนดีขึ้นในช่วงแรกแล้วก็คงตัว ไม่มากขึ้นแต่ก็ไม่ดีขึ้น พ่อได้ทานยาทั้งจีนและยาปัจจุบันที่ทางโรงพยาบาลให้คู่กันไปตามปกติ
คราวนี้ พ่อบอกแม่ว่า
“น้องพี่ว่าจะหยุดแล้ว ลองไปนวดแผนโบราณดู” พ่อบอกในวันหนึ่ง
“ตามใจป๊า” แม่ตอบนิ่งๆ ไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกใดใด
ช่วงนี้แม่คงเหนื่อยมาก เพราะต้องตื่นเช้าดูแลพ่อ ทำอาหารให้ แล้วส่งเราไปโรงเรียน กลับมาก็ทำงานบ้าน และทำงานที่หารายได้ไปด้วย พอตกเย็นก็ต้องไปรับพวกเราอีก โรงเรียนกับบ้านก็ไกลกัน แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม้ไม่ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร บางวันพอเรากลับบ้าน ก็มีกับข้าวและขนมอร่อยๆให้ทานจากบ้านเพื่อนบ้าน
เพื่อนบ้านคนดีที่หนึ่งคนนี้ ชื่อป้าเดือน ป้าเดือนมีลูกชื่อพี่ฝน พี่นก พี่จิ๊บ สนิทกับครอบครับเรามาก เหมือนญาติมากกว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ป้าเดือนชอบทำขนมอร่อยๆ กับข้าวอร่อยๆ เผื่อพวกเราเสมอ ป้าคงนึกสงสารแม่ ที่ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน และแม่ก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็น อาหารของแม่มักมีแต่แกงจืด กับสารพัดนึ่งแบบอาหารเด็กเล็กง่ายๆ หรือไข่เจียว ลุงทินสามีป้าเดือนก็ทำอาหารอร่อยสุดๆ ด้วย ป้าช่วยเหลือโดยการทำอาหารให้เสมอ ช่วยดูแลเด็กเวลาแม่ไปส่งงาน แม่รักป้าเดือนมากๆ ทั้งบ้านนี้มีแต่คนที่มีน้ำใจทั้งนั้น…
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็มีสถานที่ใหม่ให้เข้าทัศนศึกษา นั่นก็คือ ศูนย์กายภาพบำบัด
จากฝังเข็มก็สู่ศูนย์กายภาพบำบัด………….