24/5/52

ตอนที่ 7 : โภชนาการบำบัด




คราวนี้พ่อไม่ใช้ยาอะไรเลย และก็ไม่ไปนวดอะไรอีกแล้ว พ่อตัดสินใจที่จะให้วิธี “โภชนาการบำบัด” โดยถือหลักที่ว่าร่างกายจะดีแข็งแรงได้ต้องมาจากภายใน ดูสิคะพ่อฉัน เข้าใจพูดให้ดูดีเหมือนโฆษณาทีวีเปี๊ยบ แต่โฆษณานี้เพื่อแม่ของฉันคนเดียว เพื่อต่อต้านกระแสงอนของแม่นั่นเอง แม่ฉันไม่คิดว่าการที่คนเราทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในขณะที่ร่างกายไม่สมบูรณ์จะเป็นผลดี แม่ว่า “ร่างกายที่ป่วยต้องได้รับการซ่อมแซม และอาหารควรไปครบ 5 หมู่ ทานไม่ครบจะมีอะไรไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ล่ะป๊า ” นี่คือเหตุผลของแม่
ส่วนพ่อน่ะหรือ
“บริโภคเนื้อสัตว์มากๆมันก่อให้เกิดโรคมาก เพราะเนื้อสัตว์สมัยนี้มันฉีดโน่นนี่เข้าไปมาก อีกอย่างเป็นการไม่ทำร้ายสัตว์ด้วย” เริ่มคิดแบบชีวจิตซะแระพ่อฉัน
“แหมดูสิ ลืมไปเลยว่าขาหมูของโปรดเลยนะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเฮีย” แม่ขอเหน็บสักนิด
” ทุกทีผักไม่ค่อยกิน กินแต่หมูแต่เป็ดไก่ แหมป่วยคราวนี้ ทีอยากให้กินอาหารครบๆดันไม่กินซะนี่ คนเรานี่นะหาพอดีไม่ได้ ก่อนหน้านั้นเตือนว่ากินไก่มากไม่ดีมันมีสาร กินขาหมูมากไม่ดีเดี๋ยวคอเลสเตอรอล ให้ทานอาหารทะเลพวกปลา เพราะมันย่อยง่าย เพิ่งผักมากๆให้มันมีกากใย แม้ไม่เคยเชื่อ พอมาคราวนี้ หนอยจะมาทำเป็นสอนเรา” แม่เล่นเป็นชุดพวกเราสามคนเลยนั่งอมยิ้ม
ตอนนี้พวกฉันก็โตขึ้นแล้ว ฉันเองตอนนี้ก็ ย่าง 10 ปีแล้ว อยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 น้องชายอยู่ประถมศึกษาปีที่ 3 อายุได้ 8 ปีและน้องเล็กก็ขึ้นประถม 1 แล้ว ก็อายุ 6 ปี
ช่วงนี้ทางบ้านเริ่มขัดสนหนักกว่าเดิมมาก เพราะรายได้พ่อลดลงไปมาก เนื่องจากร้านปิดและพ่อต้องออกจากงานที่ทำ เนื่องจากไม่สามารถขับรถได้แล้ว มันอันตรายเกินไป แม่ฉันก็ยังขับรถไม่ได้ เพราะเคยขับแล้วไปชนเลยทำให้แม่กลัวจนไม่กล้าขับอีกเลย พ่อมีงานแค่เซ็นชื่อตามงบบัญชี โดยให้แม่เป็นคนตรวจบัญชีและพิมพ์งบดุลให้ จากนั้นพ่อตรวจสอบและเซ็นชื่อ และแม่ก็ยังคงทำงานแปลงวีดีโอของแม่ต่อไป แต่ตอนนี้ก็มีคู่แข่งมาก และต่างตัดราคากัน แต่งานที่แม่ทำ แม่ไม่เคยลดราคาลง แม่มั่นใจในคุณภาพของของตนและลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ยังสนแค่คุณภาพก็ยังอยู่กับแม่ต่อไป แต่กลุ่มที่สนแต่ราคาถูกก็คงจากไปเพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจโดยรวมก็ไม่ดีด้วย
ชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก จากบ้านที่มีคนรับใช้ ตอนนี้แม่ต้องทำทั้งงานบ้านและงานหารายได้เอง ฉันจะช่วยแม่ตอนกลับจากโรงเรียน แม่ก็มักจะบอกว่า”ให้ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อนเถอะพลอย” แม่อยากให้ลูกเต็มที่กับการเรียน แต่พวกเราก็ต้องคอยดูแลพ่อเวลาแม่ไม่อยู่ เวลาวันหยุด พวกเราก็ยังสนุกสนานกับการช่วยกับซักผ้า ปิดผ้า ตากผ้า พวกเราช่วยแม่ซักผ้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว ซักเสร็จก็เล่นน้ำต่อกันทุกที ความสุขเล็กๆของพวกเรา เพราะพวกเราไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย
พ่อผอมไปมาก ร่างกายขยับได้ลำบากมาก แต่ก็ยังเดินได้อยู่โดยใช้ไม้เท้า และคนพยุง เวลาไปไหนๆ พ่อต้องเกาะฉันไว้ เพราะแม่ต้องดูน้องสองคนและถือของ เรียกรถแท๊กซี่อีกสารพัด เช่นเวลาพาไปหาหมอ บ้านเรายังคงอยู่ศรีนครินทร์ และยังเรียนที่เดิม อย่าคิดแปลกใจว่าทำไมยังมีเงินเรียนที่โรงเรียนดีๆนะคะ รายได้ของมากเพียงพอขนาดนั้น แต่แม่บอกว่า” แม่ไม่อยากให้ลูกๆรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ” ตอนนั้น นอกจากได้รับการช่วยเหลือจาก พี่แป้นเรื่องค่าเล่าเรียนแล้ว ก็ยังมีคุณอาน้องของพ่อคนหนึ่งช่วยเรื่องค่ายา ค่าหมอของพ่อ “
ฉันจำได้ว่า ช่วงนั้น บางทีฉันป่วย (ฉันมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัวและโรคภูมิแพ้) ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าต้องค้างที่โรงพยาบาลเพราะอาการหนัก แม่จะน้ำตาไหลและเดินออกน้องห้องหมอเลย เพราะว่า แม่ไม่มีเงินรักษาลูก แม่จะกุมมือฉันไว้แน่น ไม่พูดอะไร น้องชายจะเงียบกริบเพราะเริ่มรู้ดีว่าเพราะอะไร ส่วนน้องเล็ก พี่ๆเงียบก็เงียบตาม
ฉันป่วยบ่อยมากในบางครั้งเช่นเวลาฝนตก ฉันเคยแพ้ฝนที่ตกลงมาโดนตัว ขนาดที่ผื่นนูนแดงขึ้นทั้งตัว ต้องหาหมอให้ดมยาแก้หอบขนาดวันละหกรอบ ที่แม่ต้องพาวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล
ครั้งนั้นแม่ก็ต้องโทรไปหาที่บ้านของแม่ พอแม่เอ่ยคำว่า “พลอยต้องเข้าโรงพยาบาล…………….”แค่นั้นจะได้รับคำตอบว่า “พอดียุ่งอยู่นะ เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่” และนั่นทำให้แม่รู้ดีว่าปลายสายหมายถึงอะไร
คนที่แม่บอกว่าไม่อยากโทรไปมากที่สุดก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนสนิท เพราะแม่เกรงใจมากที่สุด
คนอ่านอาจงงว่าทำไมแม่ของฉันมีเพื่อนน้อย แม่เล่าว่า “สมัยเรียนหนังสือ แม่ได้เงินแค่สองพันห้าร้อยบาทต่อเดือนในชีวิตมหาวิทยาลัย ที่ต้องทานข้าวสามมื้อ และไม่มีหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน สองพันห้าร้อยบาทมันรวมอยู่ในทุกค่าใช้จ่ายต่อเดือน หนังสือก็ต้องยืมเพื่อนอ่าน ก็พี่แป้นคนดีอีกนั่นแหละ ส่วนเวลาเพื่อนๆจะไปทานข้าวกลางวันกัน แม่ก็ต้องไม่ไป หลบเข้าห้องสมุดเสีย เพราะว่าแม่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน เพราะเงินทานข้าวก็ต้องเอามาเป็นค่าซีร๊อกหนังสือเรียนบ้างหรือเจียดซื้ออุปกรณ์การเรียน ของใช้ส่วนตัวเช่นสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ แม่มีเงินแค่อาหารมื้อเดียวหรือบางทีมีแค่มาม่าห่อเดียวด้วยซ้ำ เพราะครอบครัวของแม่เป็นแค่ข้าราชการ เมื่อทางบ้างต้องมาซื้อบ้านให้ลูกอยู่ที่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายก็มากโขแล้ว มหาวิทยาลัยที่แม่เรียนก็ได้ชื่อว่าแพง ก็เลยมีเงินค่าใช้จ่ายให้ได้แค่นี้ และน้องชายของแม่ก็เรียนโรงเรียนประจำที่ดี ก็รายจ่ายไม่น้อยเลย แม่จึงต้องตัดตัวออกจากสังคมเพื่อนฝูง จะมีก็แต่เพื่อนที่ไม่ดูถูกกันและชอบพอนิสัยกันจริงๆเท่านั้น” แม่เล่าเรื่องอดีตทีไรก็ต้องเสียงเครือๆทุกที แม่คงไม่ค่อยโอเคกับทางบ้านนักฉันนึก
และวันนั้น วันที่ฉันป่วยหนักก็จบลงด้วยแม่โทรหาพี่แป้นอยู่ดี
“เอาเข้าโรงพยาบาลไปเลยจ๊ะ” พี่แป้นตอบมา
“จ๊ะ” แม่รับคำ แต่พี่แป้นคงไม่รู้หรอกว่า ปลายสายร้องไห้ไปแล้ว แม่ฉันมักพูดว่า เพื่อนทำไมช่างดีกว่าญาติพี่น้อง แม่ก็มีแค่น้องชายคนเดียว แต่คงหมายถึง………………..ไม่บอกดีกว่านะ
ต่อเรื่องโภชนาการบำบัดของพ่อฉันล่ะนะอาหารอย่างแรกคือต้มผักโขมกับไข่ต้มคืออาหารจานหลักที่พ่อขอ พ่อว่าผักโขมมันดีมีเพื่อนพ่อไม่สบายแต่กินผักโขมทุกวันก็ดีขึ้น ในผักโขมมีธาตุเหล็กมาก และเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินบี-1 วิตามินบี-2 วิตามินบี-6 และสารแอนติออกซิแดนท์ที่สำคัญอีกหลายตัว พ่อฉันเลยกินอยู่อย่างเดียว กับ ไข่ต้ม อยู่ 7 วันเลย พ่อจะมีของหวานคือ ถั่วเขียวต้มน้ำตาลแดงใส่ขิงแก่เยอะๆ ขิงแก่แก้ท้องอืดเฟ้อ ส่วนถั่วเขียวมีประโยชน์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย อันนี้ต้องขอบอกว่าพวกเราก็แย่งกินเพราะอร่อยดี
อาหารทั่วไปไม่มีอะไรตื่นเต้นหรอกนะคะ แต่ที่น่าตื่นเต้นมีหนึ่งรายการสยอง อิอิอยากรู้ละจิ
เอาที่ไม่สยองก่อนแล้วกัน
เจ้านายพ่อฉันคือคุณป้าจิต ป้าจิตเอาเอ็นกวางมาให้ต้ม เข้าตำรายาจีนว่า อะไรเสื่อมก็กินอย่างนั้นก็จะมีสารที่แก้กัน เส้นเอ็นพ่อไม่ดีเลยอาจเป็นสาเหตุที่เดินไม่ดี
เอ็นกวางที่ดีมีราคาแพงหากไม่ได้ป้าจิตให้มาคงซื้อทานไม่ไหว เอ็นกวางที่ฉันเห็นเป็นเหมือนเนื้อแห้งๆ ต้องเอามาสับเป็นท่อนๆ เวลาต้มกลิ่นสาบดุจกลิ่นสัตว์อย่างไรอย่างนั้น กลิ่นสาบรุนแรงจนคนไม่ชินทนไม่ไหว
แม่ฉันแทบอาเจียร การต้มต้องเคี่ยวเอาน้ำแรกทิ้งก่อน เพราะมิฉะนั้นจะสาบจนกินไม่ลง แล้วจึงเปลี่ยนน้ำเคี่ยวให้เปื่อยและปรุงรสนิดหน่อยก็กินได้
แต่ที่น่าสยองคือ…………..เมนูแมลงสาบ
แมลงสาบที่ว่านี้ เราต้องไปซื้อมาจากร้านยาจีนนะคะ ไม่ใช่ไปดักเอาตามบ้าน แบบนั้นมันไม่สะอาด
ว่ากันว่า คนจีนใช้ขี้แมลงสาบหรือแมลงสาบมาผสมเป็นยามานานแล้ว สรรพคุณคือ บำรุงระบบประสาท
ทำให้ไม่ชักกระตุก ไม่เกร็ง ฉันฟังจากที่พ่อบอกนะคะ แหล่งข่าวไม่ทราบ ใครอยากลองกินต้องไปถามที่ร้านขายยาจีนนะคะ
“น้องไปซื้อแมลงสาบมาให้เฮียหน่อยสิ” พ่อบอกแม่ในวันหนึ่ง
“อะไรนะ ” แม่ร้องขึ้นอยากตกใจ ก็แม่ฉันเกลียดแมลงสาบมากขนาดไม่กล้าเหยียบ
แม่เล่าถึงสาเหตุการเกลียดว่า “สมัยก่อนอยู่บ้านแถวหลังรามฯ ไม่ค่อยทำครัว ท่อน้ำทิ้งมันก็แห้ง วันหนึ่งแม่เห็นแมลงสาบหนึ่งตัววิ่งลงท่อน้ำทิ้งหลังบ้าน แม่ก้ไปเอาไบกอนมาฉีดลงไปในรูท่อ แค่นั้นแหละ แมลงสาบเป็นร้อนๆวิ่งกรูออกมาจากท่อน้ำ แม่ต้องวิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูร้องให้คนข้างบ้านมาปราบ โดนฉีดยาฆ่าแมลงผ่านมุ้งลวด แม่ขยะแขยงสุดชีวิตเพราะมันกรูมาหาแม่จนต้องวิ่ง มันไม่กลัวคนเลย แถมบางตัวบินได้เสียอีก” แม่เล่าอย่างภาพความสยดสยองยังฝังอยู่ในใจ
“แมลงสาบหรือป๊าป๊า” น้องชายฉันถามขึ้นมาบ้าง
“เหยย แมลงสาบ ” ฉันร้องออกมาอย่างนึกขยะแขยง
“แมลงสาบกินได้ด้วยเหรอ” น้องเล็กถาม
“เอามาไมเนี่ย” แม่ถาม แล้วพ่อก็บอกสรรพคุณของมัน
“แหวะ” แม่ร้อง “ป๊ากล้ากินเหรอ กินแล้วตายท้องเสียจะว่าไงล่ะ” แม่ขัด
“ใครบอกว่ามันดี ฉันยอมตายดีกว่ากินมัน ” แม่ยังไม่ยอมง่ายๆ
“สกปรกจะตายเหม็นก็เหม็น กินลงด้วยเหรอ”
แม่เริ่มต่อรองด้วยความโปรแกรมว่าด้วยความสกปรกของแมลงสาบ แล้วบรรยายต่อด้วย
“ป๊าไม่เคยดูเหรอ หนังเรื่องโจอพาตเมนส์ มันสกปรกมาก กินเศษขยะ อาหารเน่าบูด มันขึ้นหมด …………..” แม่ยังคงพยายามต่อไป
แต่ในที่สุดวันนั้น แม่ต้องไปร้านขายยาจีนเพื่อซื้อ แมลงสาบ กับแคปซูลเปล่าๆ ซื้อสิ่งที่เกลียดที่สุด
พวกเราตามไปดูที่ร้านยาจีน “เถ้าแก่ แมลงสาบมีขายไหมคะ”
“มีลื้อจะเอาเท่าไหร่” เถ้าแก่ถาม
“ขายยังไง มีเยอะขนาดนั้นเลยหรือเถ้าแก่ ” แม่ยังสงสัย
แล้วแม่ก็ถามสรรพคุณแมลงสาบ ก็ได้ทั้งคำตอบและวิธีทำ แม่หน้าตาดูแย่มากในตอนนี้ แบบรับไม่ได้อย่างรุนแรง แต่ก็ต้องตกลงที่จะซื้อ 1 กิโล แมลงสาบที่เราเห็น ตัวไม่ใหญ่มาก แต่มันก็เป็นแมลงสาบแห้งๆ หนึ่งกิโล ราคาแมลงสาบไม่ใช่ถูกนะคะ ค่อนข้างแพงทีเดียวแต่ถูกกว่าเอ็นกวาง
แม่กลัวไม่กล้าหยิบถุงแมลงสาบ เลยบอกว่า “ใส่ถุงซ้อนๆกันได้ไหม”
นี่ขนาดตากแห้งนะคะ ยังกลัวขนาดนี้
กลับมาถึงบ้าน พ่อก็บอกให้แม่คั่วแมลงสาบแล้วตำจากนั้นก็บรรจุลงแคปซูลให้พ่อ
“อะไรนะ นี่ฉันต้องทำด้วยเหรอ” แม่โวยวาย สีหน้าไม่พอใจ
แล้วแม่ก็ไปตามป้าหมวยแม่บ้านแถวนั้นให้มาคั่วให้ พร้อมบดแมลงสาบเป็นผงตักใส่แคปซูลให้พ่อ
พวกเราอยากเห็นก็ตามป้าหมวยคั่วแมลงสาบและดูกรรมวิธีทำแมลงสาบ
“ป้าเอาแมลงสาบใส่กระทะครึ่งถุง ส่วนที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็นนะ”พ่อสั่ง
แม่ได้ยินก็โวยลั่นบ้าน “อะไรเนี่ยจะให้แมลงสาบไปใส่ในตู้เย็นเนี่ยนะ ไม่เอาๆ”
“แมลงสาบในตู้อาหารคนเนี่ยนะป๊า อ๊วก ใครจะกล้ากินน้ำ กล้ากินอาหารในนั้น ไม่เอา น้องไม่ยอม”
ป๊าเริ่มโมโหแม่ “ก็ห่อหลายๆชั้นสิ มันก็ไม่มีกลิ่น เอาไว้ช่องล่างสุดที่ใส่ผักแล้วอย่าให้เอาอะไรไปใส่ช่องนั้น”
“อะไรกันเนี่ย เชิญเลย อยากทำอะไรก็ทำ แต่นี้ไปฉันไม่กินของในตู้แล้ว จะซื้อน้ำมากินเอง ไปซื้อข้าวกินเอง ใครกินลงก็กินไป” แม่ไม่ยอมง่ายๆ แล้วแม่ก็โกรธพ่อจนเข้าห้องไปเลย
ป้าหมวยเอากระทะตั้งไฟร้อน ไม่ใส่น้ำมัน จากนั้นก็เทแมลงสาบลงคั่วครึ่งถุง กลิ่นแมลงสาบคละคลุ้งไปทั่วบ้าน ซึ่งตอนนั้นฉันและน้องๆเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เลยตามแม่เข้าห้องไปด้วย กลิ่นสาบของแมลงสาบช่างสมชื่อจริงๆ มันเหม็นสาบทั่วบริเวณบ้าน สะอิดสะเอียนชวนขนลุกและขยะแขยง
พอกลิ่นเหม็นได้ที่แล้ว พ่อก็บอกว่า “วางพักมันไว้ให้เย็นก่อนเอาไปบดและกรอกใส่แคปซูลนะป้า”
แม่ได้ยินอยู่ในห้อง “เครื่องปั่นน้ำผลไม้ของฉัน อะไรเนี่ย” แม่ร้องออกมาอยากอึดอัด พวกฉันเริ่มออกความเห็น น้องเล็กเริ่มถาม “แม่จ๋า แมลงสาบทำไมพ่อต้องกิน”
“ไปรู้พ่อเหรอ คนบ้าที่ไหนจะกินแมลงสาบ” แม่ยังมีโมโห
“พลอยไม่เอาด้วยหรอกให้กินแมลงสาบ ขยะแขยง” ฉันสนับสนุนแม่เต็มเปี่ยม
“เล็กก็ไม่กิน”
เรื่องแมลงสาบนี่มันแปลกตรงที่ว่า นับแต่การคั่วแมลงสาบครั้งนั้น ทำให้บ้านเหม็นไปด้วยสาบแมลงสาบ แต่ทำให้แมลงสาบตัวอื่นๆที่เคยมาเยือนบ้านเรา มันหายหน้าหายตาไปหมด
คงเป็นเพราะว่ามันคงได้กลิ่นวิญญาณแมลงสาบโดนพิฆาต ( โดยคั่ว) เลยไม่กล้าเหยียบบ้านเราอีก ฉันคิดเองนะ หากใครต้องการพิสูจน์คงต้อง ไปจับแมลงสาบมาคั่วเอง

ส่วนน้องเยี่ยมน้องชายมักรักพ่อ ไม่ชอบว่าใคร ไม่ชอบออกความเห็นใดใดไม่ชอบพูดมักเงียบๆเสมอ ชอบรถตักและเล่นตุ๊กตากองทัพทหารสู้รบกัน ฉันสังเกตว่าน้องเยี่ยมสงสารพ่อ และอัดอัดที่พ่อป่วย และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะพ่อป่วยพ่อจึงไม่ให้พวกเราไปไหนเลย ต้องอยู่ใกล้ๆพ่อ บ้านของเรามีสองชั้นช่วงนั้นพ่อยังขึ้นลงบันได แม่ต้องดูเครื่องคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืน ตลอดคืน เลยให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนพ่อ เผื่อพ่อเข้าห้องน้ำกลางคืน หรือเผื่อพ่อล้ม ส่วนน้องสองคนนอนกับแม่ตรงที่แม่ทำงาน งานของแม่ทำให้แม่ต้องตื่นทุกๆ 70นาที เพื่อกดหยุดเครื่องวีดีโอ และน้องๆก็ติดแม่มากด้วย เคยนอนด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ ฉันด้วยที่อยากนอนกับแม่เหมือนเดิม แต่แม่ให้ไปนอนเป็นเพื่อนพ่อเรื่องนี้เคยทำให้ฉันน้อยใจแม่ถึงขนาดร้องไห้
“แม่ขา ทำไมพลอยนอนกับแม่ไม่ได้ พลอยก็ลูกแม่เหมือนกัน” ฉันร้องไห้
“พลอย ที่แม่ให้พลอยไปนอนกับพ่อ เพราะว่า แม่ทำงานน้องก็ยังเล็กไม่สามารถดูแลพ่อได้เลย น้องขี้เซา พ่อล้มจะได้ยินหรือลูก แม่ก็ต้องทำงานทั้งคืนหลับๆตื่นๆ กลางวันก็ต้องทำงานบ้านและดูแลพ่ออีก แล้วไหนยังต้องไปรับส่งลูก ไปส่งงาน สารพัด พลอยเป็นลูกคนโตกว่าทุกคน ช่วยแม่หน่อยไม่ได้เหรอลูก หากให้พ่อนอนคนเดียว พลอยไม่ห่วงพ่อหรือจ๊ะ ” แม่พยายามอธิบาย ยาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“ค่ะแม่” ฉันรับคำ
จากนั้นห้องที่พ่อนอนซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องฉันกับน้องเล็กเพราะมีสองเตียง ก็กลายเป็นห้องนอนของพ่อกับฉัน
พ่อเข้าห้องน้ำกลางคืนบ้างก็ต้องใช้ฉันพยุงตัวเดินไป บางทีก็ลุงไม่ขึ้นก็ฉันอีกที่ต้องดึงตัวพ่อขึ้น
บางคืนพ่อร้องขอกินน้ำ น้ำข้างเตียงที่เตรียมไว้พ่อกินหมดแล้ว ก็ปลุกขอน้ำดื่มอีก เมื่อกินน้ำก็ต้องฉี่อีก
เรื่องนี้ทำให้แม่ทะเลาะกับพ่อในวันหนึ่ง
“เฮียทำไมต้องปลุกลูกมาเอาน้ำดึกๆดื่นๆ” แม่ถามขึ้น
“ก็น้ำมันหมด หิวน้ำนี่ ก็ต้องปลุกสิ”พ่อตอบ
“น้ำก็เตรียมให้เป็นเหยือกๆ แล้วนี่ตอนกลางคืน”
“ก็กินหมดแล้ว” พ่อเถียง
“หมดก็อดทนสิ ตีสามนี่นะต้องปลุกลูก ลูกต้องไปเรียนแบบนี้จะนอนพอได้อย่างไร” แม่ว่า
“อ้าวก็คนมันหิวจะให้ทำไงล่ะ”
“หัดอดทนนะ และเกรงใจผู้อื่นบ้าง แค่หิวน้ำแล้วไม่ใช่ไม่มี มีเป็นเหยือกแต่กินหมดแล้ว ก็ต้องรู้จักพอ นี่เป็นเวลานอน แค่พลอยต้องลุกมาพาไปห้องน้ำมันก็มากพอแล้วนะ นี่กินน้ำ พอกินก็ปวดฉี่ คืนๆหนึ่งจะต้องให้ลูก
ลุกกี่หน ” แม่โวยวาย
“อย่าเอาแต่ใจนัก หัดเกรงใจลูกบ้าง เด็กต้องเรียน แบบนี้จะทำให้ลูกไปหลับในห้องเรียน” แม่ยังไม่ยอม
“แล้วการเรียนมันจะสำคัญกว่าพ่อมันหรือไง” พ่อเถียง
“พูดออกมาได้ ไม่คิด ที่พลอยยอมมานอนเป็นเพื่อนนี่ ยังมาว่าลูกแบบนี้อีกหรือ พูดแบบนี้อย่ามาพูดดีกว่า”
แม่ฉันไม่ได้ยอมพ่อง่ายๆ ในเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
บางครั้งเวลาฉันเดินให้พ่อเกาะ แล้วหันไปมองโน่นนี่บางตอนพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อก็ด่าฉันอย่างขึ้นมึงกู
ว่าให้เดินดีๆบ้างก็ตวาดและว่าอย่างรุนแรง
แม่ก็จะออกรับแทนว่า “นี่พ่อ เด็กมันอายุเท่าไหร่ แค่หันไปมองอย่างอื่นบ้างจะเป็นอย่างไรไปเชียว”
“ก็ถ้าเฮียล้มล่ะ จะเป็นอย่างไร” พ่อเถียง
“แล้วแค่หันหัวไปมองข้างๆนี่มันล้มไหมล่ะ ก็ไม่ล้มนี่ ก็ยังยืนเถียงอยู่ได้นี่นะ”
“อยากได้คนดูแลมืออาชีพก็จ้างพยาบาลส่วนตัวสิ”
พ่อเลยต้องหยุด
ตอนนี้การเรียนของฉันตกต่ำลง และของลูกทุกๆคนด้วย แม่ไม่มีเวลาสอนการบ้านให้พวกเรา แม่เลยใช้ระบบ พี่สอนน้องเป็นทอดๆกันไป ฉันสอนน้องเยี่ยม เยี่ยมสอนน้องเล็ก พวกเราต้องดูแลซึ่งกันและกัน
ระหว่างนี้ แม่ได้รับโทรศัพท์จากครูประจำชั้นของน้องเยี่ยมในวันหนึ่ง
“ขอเชิญคุณแม่ที่โรงเรียนนะคะ” คุณครูประจำชั้นของเยี่ยมโทรมาหาคุณแม่
“ค่ะ พรุ่งนี้นะคะ”
แล้วแม่ก็ไปที่โรงเรียน ตอนนั้นน้องเยี่ยมเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่3 เป็นเด็กที่เรียนดี เรียบร้อย คุณครูก็รักทุกๆคน แล้วคุณครูจะเรียกพบด้วยเรื่องอะไรกันนะ แม่เล่าว่า แม่คิดไปตลอดทาง
ที่โรงเรียนแม่ฉันกับได้รับคำบอกเล่าที่ทำให้แม่สุดจะทน
“น้องเยี่ยมอยู่ๆนั่งเรียนก็น้ำตาไหนค่ะคุณแม่” ครูพูด
“ครูไปถามก็เพิ่งทราบว่า คุณพ่อป่วย และพ่อไม่ให้ออกไปเล่นตอนเย็นๆเลย ให้อ่านแต่หนังสือ ไม่ให้ลุกไปไหน จริงไหมคะคุณแม่ “คำบอกเล่าของคุณครูทำให้แม่อึ้งพูดไม่ออก นี่แม่ลืมดูแลลูกไปได้อย่างไร แม่นั่งรถกลับบ้าน น้ำตาไหล สงสารลูกตอนนั้นนึกถึงลูกชายน่ารักที่แสนจะเอาใจแม่ แม่ครับๆอยู่ตลอดเวลา
แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่า ตลอดเวลาช่วงเย็นที่แม่รับพวกเรากลับมาจากโรงเรียน ทำกับข้าวเสร็จ และแม่ต้องออไปส่งงานลูกค้า กว่าจะกลับมาก็ยามค่ำ เพราะส่งงานตามห้างต่างๆหลายแห่ง แล้วยังรถติดอีก แม่ขึ้นรถเมล์ก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว ช่วงนั้น สมัยก่อน เมื่อเราทำการบ้านจัดกระเป๋าหนังสือเสร็จ เราจะมีเวลาออกไปตีแบทหน้าบ้านกัน บ้างก็ขี่จักรยานบ้าง
กับเด็กๆเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
พ่อที่ป่วยไปไหนไม่ได้ ใช้เวลาตอนนี้ ให้ท่องบทสนทนาภาษาอังกฤษ และคำศัพท์มากมาย ท่องและอ่านหนังสือจนแม่มานั่นแหละ พวกเราโดนกันทุกคนยกเว้นน้องเล็กที่แค่ประถมหนึ่ง และพ่อไม่สามารถบังคับน้องเล็กได้ เพราะน้องเล็กไม่ทำซะอย่างเดียว งอแง และพ่อก็ลุกไปตีไม่ได้อยู่ดี พ่อเลยบังคับลูกที่พอรู้เรื่องและรักมากที่สุดแทนก็คือน้องเยี่ยม
น้องเยี่ยมเป็นเด็กร่าเริงมีไมตรี เล่นกีฬาเก่ง เลยมีเพื่อนบ้านมาชวนไปเล่นด้วยเสมอ แต่เดี๋ยวนี้ทุกครั้งคือคำสั่ง ห้ามไปไหนต้องนั่งอ่านหนังสือต่อหน้าป๊า ด้วยความรักพ่อมากของน้องเยี่ยมจึงทำตามมาตลอด แม้ตนเองจะอยากเล่นเพียงใดก็ตาม
เหตุผลของพ่อคือ “พ่ออ่อนภาษาอังกฤษ เพราะพ่อเป็นผู้ชาย พ่อบอกว่าผู้ชายมักอ่อนภาษา พ่อไม่อยากให้เยี่ยมเป็นเหมือนพ่อ” พ่อชี้แจงกับแม่เมื่อแม่ถาม
“แต่เฮียต้องให้ลูกรู้จักพักบ้าง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“สมองเด็กมันก็เหมือนน้ำ หากมากๆเกินไปมันก็ล้นออกมา” แม่ให้เหตุผล
“อีกอย่างไม่เห็นด้วยเลยกับการเรียนภาษาโดยการท่องบทสนทนา คนเราไม่ได้พูดกับอยู่แค่นี้ หากเด็กทราบคำศัพท์ รู้จักการแต่งประโยค มันก็พูดได้เองแหละ” แม่เถียง
“น้องก็เรียนมาแต่เด็กๆ ก็ไม่เห็นต้องมาท่องเป็นประโยคๆ”
และเรื่องนี้ก็ทำให้พ่อดื้อรั้นต่อไป พ่อยังคงทำเหมือนเดิมคือบังคับเยี่ยมให้ท่องอังกฤษ
แม่เรียกเยี่ยมเข้ามาหาในตอนค่ำ แม่คุยกับน้องเยี่ยม แม่กอด แล้วบอกว่า “เยี่ยม มีอะไรลูกต้องบอกแม่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“พลอยเล็กก็เหมือนกัน มีอะไรหนูต้องบอกแม่นะ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เพราะว่าเราคือ แม่ลูกกัน”
แม่สั่ง แต่แม่ล่ะคะ เวลาแม่มีอะไรแม่จะบอกใคร ………………..
แต่ที่หนักกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องเพื่อนบ้าน
ป้าเดือน เพื่อนบ้านที่ใจดี ที่ฉันเคยกล่าวถึงมาแล้ว ที่มักทำอาหารมาให้เสมอๆ ป้าก็ยังทำเหมือนเดิม
ป้าเอาอาหารมาให้ที่บ้าง และชวนเด็กๆไปทานที่บ้านและเล่นที่บ้านบ้าง ป้ารักเด็ก และมีขนมมากมายที่ป้าทำเอง วันนั้น ………..
“ผม……………………นะครับ อยากบอกว่า ตั้งแต่นี้ไป คุณอย่ามาชวนลูกของผมไปบ้านอีก”
“ทำไมล่ะคะ แค่มาทานขนมและอาหาร บ้านเราก็อยู่แค่ตรงข้ามกัน มีอะไรหรือคะ เดือนน่ะรักหลานๆ เห็นแม่เขาไปส่งงานก็เลยอยากจะช่วยๆดูแลเด็กๆให้ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
ป้ายังคงตอบอย่างใจดีเช่นเดิม
“เปล่าครับ แต่เพราะการกระทำของคุณคือ การกระทำของคนที่แย่งลูกผมไปจากผม” พ่อตอบ
คำพูดนั้นทำให้ป้าเดือนห่างไปเลย ป้าไม่กล้ามาบ้านเราอีก แม้จะมีขนมมาฝากแต่ก็ไม่เคยชวนไปบ้านอีกเลย
กว่าแม่จะรู้ก็เป็นเดือนในวันหนึ่งที่เผอิญเจอป้าและป้าเล่าให้ฟังและบอกว่า
“น้อง พี่เดือนไม่ได้มีเจตนาอย่างที่แฟนน้องมาบอกพี่นะ” ป้าบอกแม่
“เรื่องอะไรคะ” แม่ถาม
ป้าเล่าเรื่องที่พ่อโทรไปหาป้าให้ฟัง แม่ฉันเลยขอโทษป้าเดือนเป็นการใหญ่ ป้าก็บอกว่า “น้องอย่าไปถือสาเขาเลย พี่ไม่ได้อยากมาฟ้องอะไรนะ แค่อยากบอกให้เข้าใจว่า พี่ยังเหมือนเดิม มีอะไรก็ยินดีช่วยเสมอ แค่ให้เข้าใจว่า ไม่มีเจตนาจะไปแย่งลูกใครเลย”
แม่ฉันกลับมาบ้านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่แม่เสียใจมากมายที่พ่อทำแบบนี้ แม่มาถามฉันและบ่นว่า “เพื่อนบ้านดีๆแบบนี้มีที่ไหน ทำไมป๊าของหนูต้องทำแบบนี้ด้วย”
พ่อฉันก็ยังคงกินอาหารมังสวิรัตหรือแนวชีวจิตเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำลูกยอสมุนไพรที่พี่แป้นเคยเอามาให้ลอง หรือสารพัดน้ำที่คิดว่าดี พ่อฉันทานหมด แม้แมลงสาบคั่วก็ยังกินจนหมดที่ซื้อมาด้วย
แต่โภชนาการบำบัดของพ่อ สร้างความโกรธให้แม่ก็เป็นที่ตัวสุดท้ายนี่เอง
“น้องช่วยหาซื้อกัญชาให้เฮียทีสิ มันช่วยรักษาและกระตุ้นเส้นประสาทได้” พ่อพูดขึ้น
“อะไรนะ กัญชา เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย” แม่โว้ย
“แล้วเรื่องอะไรจะมาให้ฉันเสี่ยงติดคุกเพราะมีกัญชาซะแล้ว”
“เกิดโดนจับมาจะทำอย่างไร”
“ไปซื้อที่ไหนก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมต้องให้ฉันไปติดต่อกับพวกค้ายาด้วย จะบ้าเหรอ”
“………………………………….”อีกเป็นชุด
สรุปคือ ไม่ซื้อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ซื้อให้ “เรื่องอะไรจะมาเป็นคนติดยาเสพติด ไอ้ที่ป่วยอยู่นี่ยังไม่พออีกเหรอ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายกับเรื่องกัญชาของพ่อ
และแม่ก็ยินยอมให้ได้แค่กินมังสวิรัติต่อไปเพียงอย่างเดียว
จากนั้นไม่นานเรื่องปวดหัวก็เกิดกับแม่อีก คราวนี้มาจากบ้านป๊ะป๊าเอง
“ให้พาหยี่เฮียไปรักษาหมอ………………ที่วัด……………………เขาว่าเก่งมากมีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรไป
ไปมาหายมาหลายรายแล้ว ให้ไปพรุ่งนี้เลยนา บอกเขาไว้แล้วลงชื่อแล้ว”
อาม่าของฉันโทรมาสั่ง
กว่าแม่จะมารู้ว่าหมอที่ว่าคือเจ้าเข้าทรงก็ถึงวัดเสียแล้ว

23/5/52

ตอนที่ 6 : ไปหาหมอจัดกระดูก





คราวนี้พ่อเราได้ลองของใหม่กันแล้ว เพราะการรักษาด้วยวิธี ไคโรแพรกติก”นี้มันใหม่มากในบ้านเรา เราไปถึงคลีนิคหมอแถวสุขุมวิทที่คลีนิคนี้แสนจะสวยงาม ทันสมัย สะอาดสะอ้าน แบบนี้ท่าทางจะแพงเอาการฉันคิด แม่และพ่อลงจากรถ แม่เข้าไปถามก่อน ที่นี่ไม่ต้องรอคิว คนน้อยอาจเป็นเพราะคนเรายังไม่รู้จัก แต่เราเช็คดูแล้วว่าทันสมัยที่สุดที่คลีนิคประเภทนี้มีมาในประเทศไทย
หมอเรียกพ่อฉันเข้าไปตรวจถามอาการ และคิดว่าน่าจะลองดู ราคามีทั้งแบบคลอสและแบบครั้งเพื่อการประหยัดและต่อเนื่อง แต่ขอบอกว่า ไม่ใช่ถูกๆเลย แพงมากๆ แต่แม่และพ่อก็ตัดสินใจที่จะลองดู
คราวนี้เราเจอหมอรูปหล่อดูสมาร์ท และดูดีกรีเป็นหนุ่มนักเรียนนอกอย่างแท้จริง หมอหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ เพราะแพทย์แขนงนี้คงต้องใช้กำลังวังชามากอยู่ หมอถามอาการและชี้แจงเรื่องการรักษาแบบ”ไคโรแพรกติก”อย่างละเอียด
หมอคนนี้น้องสาวคนเล็กของฉันยังพูดไม่ชัดดีจะเรียกว่า “หมอฟาโรห์” เนื่องจากตอนแรกเราไม่รู้ชื่อหมอ แม่ฉันเรียกตามศาสตร์ที่หมอรักษา จาก”หมอไคโรแพรกติก” เลยมาเป็น “หมอฟาโรห์”ของน้องเล็ก
หมอฟาร์โรอธิบายอย่างละเอียดว่า การรักษาแบบนี้ เป็นศาสตร์การดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้ยาหรือผ่าตัด โดยมีทั้งหลักการทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และปรัชญา ศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรกติกมีพื้นฐานเกี่ยวกับระบบประสาท,สมองและกระดูกสันหลัง ที่ควบคุมการทำงานของทุกๆเซลล์,เนื้อเยื่อ,อวัยวะและระบบต่างๆของร่างกายเรา ร่างกายของเราก็เปรียบเหมือนอินเตอร์เน็ตคือ สมองของเราเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์,ไขสันหลังเปรียบเหมือนโครงข่ายที่ให้ข้อมูลกระดูกสันหลังที่เป็นเหมือนบ้านของระบบเส้นประสาทนอกจากนี้ ยังมีเส้นเลือดแดง เส้นเลือดดำที่เป็นตัวเชื่อมต่อไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เช่นหัวใจ ปอด ลำไส้และอวัยวะต่างๆการถูกรบกวนของระบบเนื้อเยื่อหรืออวัยวะและการควบคุมระบบประสาท ที่เรียกว่า ส่วนประกอบของการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง ศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรกติกเป็นศาสตร์ที่ค้นพบชนิดความผิดปกติของกระดูกสันหลังนี้ ด้วยศาสตร์ การปรับรักษาและปรัชญาที่เป็นธรรมชาติ
1. การรักษาแบบศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติกนั้นเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการรักษาตนเองและควบคุมการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากระบบประสาททำงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีการรบกวน
2. ระบบประสาทเป็นตัวควบคุมการทำงานของร่างกายโดยแพทย์จะไม่ได้รักษาอาการของเราโดยตรงแต่จะเป็นตัวช่วยการกระตุ้นให้ร่างกายเราอยู่ในท่าและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายฟื้นฟูรักษาด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
3. การรบกวนการทำงานของระบบประสาทไม่ว่าจากสาเหตุใด ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายลดน้อยลงสาเหตุหนึ่งของการที่ระบบประสาทโดนรบกวน ซึ่งพบเห็นได้บ่อยครั้ง คือการคลาดเคลื่อนของกระดูกสันหลัง(Vertebral Subluxation) จากอิริยาบถที่ผิด การหกล้ม ถูกกระแทก อุบัติเหตุต่างๆ ท่านอนที่ผิดปกติ บาดเจ็บจากการเล่นกีฬา บุคลิกท่าทาง ความเครียด เป็นต้น
4. เป้าหมายหลักของแพทย์ไคโรแพรกติกคือการลดการแทรกแซงหรือการรบกวน เช่นการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง (Vertebral subluxation) ที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายลดน้อยลง
5. กระตุ้นส่งเสริมให้ร่างกายมีขีดความสามารถในการรักษาฟื้นฟูร่างกายอย่างเต็มประสิทธิภาพโดยการดูแลกระดูกสันหลังและโครงสร้างให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง จะเป็นการช่วยให้ท่านมีสุขภาพที่ดีและร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
พอฟังแล้วมันช่างดูดีเหลือเกิน แม้ราคาจะแพงแต่ก็ตัดสินใจเข้ารักการรักษา เป็นทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ในคลีนิคหมอจะมีหนังสือเกี่ยวกับแพทย์แขนงนี้มากมาย มีกระดูกไขสันหลังเทียมเป็นข้อๆติดอยู่ที่ผนัง บ้างก็วางไว้ ดูตื่นตาตื่นใจดี ตามหนังสือที่วางมักเป็นเรื่องราวของคนไข้ที่มารักษาด้วยแพทย์แขนงนี้แล้วหายเป็นปกติ หลังจากที่ทำการรักษามาหลายแบบ แต่อย่างว่าแหละนะคะ เคสของพ่อคงหนักเอาการ เล่นเอาหมอหนุ่มบอกว่า “ผมจะขอนัดให้อาจารย์ผมที่เก่งกว่านี้ตรงนะครับ เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม”
“แต่ผมเชื่อว่า หากคุณให้โอกาส เราคงวางแผนการรักษานี้ให้คุณได้” หมอหนุ่มพูด พ่อและแม่ก็ตกลงที่จะฝากฟิลม์ไว้ เพื่อให้อาจารย์หมอเขาตรวจอาการของพ่อดูอีกที
แล้วพวกเราก็ทิ้งฟิลม์ที่MRI ไว้ให้หมอ วันนี้จึงเป็นการตรวจวินัยฉัยเพื่อวางแผนการรักษา และพ่อไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไร
คราวต่อมา พ่อไปที่คลีนิคหมอฟาโรห์คนเดิม หมอได้อธิบายว่า กระดูกสันหลังของพ่อมีส่วนที่รับออกซิเจนไม่เพียงพออยู่รวมทั้งบางข้อคดงอและเคลื่อน ซึ่งหมอชี้และวงภาพให้ดูตามฟิลม์เอ็กซเรย์ ทำให้การทำงานของเส้นประสาทสันหลังไม่เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสาเหตุเกิดได้หลายวิธี เช่น การที่คุณเดินตัวงอ นั่งทำงานมากๆเป็นต้น หมออธิบาย ซึ่งเราฟังแล้วมันก็จริงอยู่นะ เพราะพ่อของฉันมักชอบนั่งทำงานนานๆและเวลาเดินก็มักติดที่จะหลังค่อมนิดๆ กระดูกสันหลังคงเป็นแบบที่หมอพูดว่าคือคดงอบางส่วน แม่พยักหน้า เข้าใจเหมือนจะยอมรับให้พ่อรับการรักษา จากนั้นพ่อก็ถูกพามาห้องที่ทำการรักษา ห้องรักษาจะมีเตียงเล็กมากๆ แค่พอดีตัว แต่ปรับได้หลายแบบ ให้หัวต่ำหัวสูง ขาต่ำขาสูง หรือตรงกลางลงหรือแอ่นขึ้น มีเครื่องมือที่มีสายไฟระโยงระยาง เรียกว่าอะไรไม่ทราบ จำไม่ได้เสียแล้วค่ะ แต่ไอ้เครื่องนี้มันจะมีแผ่นเล็กๆติดอยู่ ที่ปลายสายไฟ มันทำหน้าที่นำกระแสไฟฟ้าต่ำๆมากระตุ้นตามกล้ามเนื้อของเรา พ่อโดนให้นอนเฉยๆและใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้น 15 นาทีในเบื้องต้น “เวลากระแสไฟเข้า มันจะเหมือนมีเข็มทิ่มจี๊ดๆเหมือนเราโดนไฟดูดเบาๆ “พ่อเล่าในภายหลัง “แต่เมื่อเอาออกแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายดี เลือดลมเดินดีขึ้น ” พวกเราสามคนก็มองอย่างสนใจ เพราะพ่อเราเหมือนมนุษย์ในหนังวิทยาศาสตร์เลย ที่เขาเลี้ยงในหลอดแก้ว มีสายเต็มตามแขนขา และลำตัวไปหมด พอครบเวลา หมอฟาโรห์ก็เข้ามาและถอดสายต่างๆออก จากนั้นก็จับพ่อนั่ง หมอไปด้านหลังและดัดหลังพ่อเหมือนจัดกระดูกแบบหมอวัดโพธิ์ แต่หากถามว่าเหมือนกันไหมกับท่าฤษีดัดตนของหมอวัดโพธิ์ กับของหมอฟาโรห์ มันต่างกันอย่างไรก็ต้องไปถามน้องสาวตัวเล็กของฉันดู
“เล็ก พี่พลอยว่าเหมือนกับหมอวัดโพธิ์ที่ทำไหม” ฉันถาม
“ไม่เหมือนนะพี่พลอย” เล็กตอบ “ต่างกันตรงไหน เล็ก”
“ก็เสียงของกระดูกไงพี่พลอย ของหมอวัดโพธิ์มันกร๊อบทีละครั้งดังสนั่น แต่ของหมอฟาโรห์ มันกร๊อบเป็นทำนองต่อเนื่อง”เล็กอธิบาย
มันจริงตามนั้นที่เดียว เสียงกระดูกที่ถูกจัดแบบใหม่ของพ่อนั้น มันดังเหมือนกับว่ากระดูกสันหลังทั้ง 33 ชิ้น แต่ละข้อจะถูกจัดให้เข้าที่ทั้งหมดเสียงดุจตีระนาดเป็นจังหวะจะโคนเรียงกันทีเดียว มันดังต่อเนื่องกันตามจุดที่หมอดัด วิธีนี้ หมอบอกว่าเป็นวิธีที่จะช่วยให้กระดูกสันหลังเรียงเข้าที่เป็นระเบียบขึ้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับระบบหมุนเวียนของร่างกาย จะทำให้เลือดหมุนเวียนดี ของเสียก็ถูกขับออกง่ายขึ้น และระบบประสาทต่างๆก็จะซ่อมแซมและฟื้นฟูได้ด้วยตัวเอง
วันนั้นหลังจากการจัดกระดูกที่เสียงอันน่าพิศวงแล้ว พ่อของฉันเดินกลับบ้านอย่างตัวปลิวเบาหวิว แข้งขาดูจะแคล่วคล่องขึ้น จนเราสังเกตได้
“เป็นไงป๊า” แม่ถามเมื่อออกจากคลีนิคหมอ “ดีนะ รู้สึกว่าเดินได้ดีขึ้น” พ่อว่า
คืนนั้นที่น่าแปลกคือ เสียงกรนปานมอเตอร์ไซต์เด็กแว๊นซิ่งได้เบาลง พ่อนอนหลับสบายขึ้น ไม่อ้าปากปรื้นๆเหมือนทุกคืน ผลพลอยได้จากการจัดกระดูกก็คือ การนอนหลับสนิทโดนไม่กรนนั่นเอง
อาทิตย์ต่อๆมาเราก็ไปอีก นับได้สามเดือนแล้ว แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงในการรักษา ด้านคลื่นไฟฟ้าต่ำ และวิธีจัดกระดูก ตอนนั้นเราคิดว่าจะดีแล้วเชียว แต่พ่อกลับมาอาการกระตุกที่แขนเพิ่มขึ้นในเดือนที่ 6 พ่ออุปทานไปหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่พ่อไม่ไปรักษาอีกเลย ที่จริงการรักษาแบบนี้มันใช้เวลาเช่นกัน ไม่ใช่จะหายได้ในเร็ววัน แต่ไม่ทราบว่าเพราะแพงหรือเพราะแขนกระตุกพ่อจึงไม่ยอมไปที่นี่อีก พ่อบอกกับแม่ว่า
“น้องเฮียจะหยุดรักษาแล้วนะ จะลองทานมังสวิรัติดู” ป๊าฉับบอกกับแม่
“ร่างกายต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ แบบนี้มันจะช่วยได้อย่างไร มีแต่จะแย่ลงสิ” แม่เถียง
“น่าลองดู ป๊าอ่านหนังสือชีวจิตเขาว่ามันช่วยได้ หากเราเปลี่ยนการบริโภค”ป๊าฉันเถียงกลับ
แม่งอนและบอกว่า “ตามใจ คนเราน่ะจะรักษาโรคใช่ว่าจะหายปุ๊บปั๊บ ไม่มีอดทนเลย กายภาพก็ต้องใช้เวลา จัดกระดูกก็ต้องใช้เวลา”
“นี่อะไร รักษาตรงโน้นทีนี้ที ไม่เร็วทันใจก็หยุด”
“แบบนี้ก็แล้วแต่เฮียแล้วกัน ไม่สนแล้ว” แม่ฉันสรุปอย่างไม่พอใจ
แต่ก็ทำอาหารมังสวิรัติให้พ่อทาน คราวนี้เป็นการบำบัดด้วยอาหารกันทีเดียว
อาหารใดช่วยให้ดีขึ้นด้วยระบบประสาทก็จะหามาทาน…………………….
แล้วพ่อฉันก็กลายเป็นนักชิม

ตอนที่ 5 :ไปหาหมอนวด





อันนี้ต้องคงเรียกว่า “หมอนวด” ตามความคิดของเด็กอย่างฉันในตอนนั้น ที่แรกคือวัดโพธิ์ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการนวดแผนโบราณ นี่คือที่ๆประเดิมเป็นที่แรก
“วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” ตั้งอยู่ที่ท่าเตียน ก่อนไปฉันจินตนาการว่า คงมีแต่หมอแก่ๆที่นี่เพราะเห็นว่าเป็นที่เก่าแก่ด้านการนวดแผนไทนมาช้านาน แต่เปล่าเลยที่ฉันเห็นก็คือ เตียงที่เรียงเป็นแถวยาว คนนวดหรือหมอนวดแผนไทยนี้มีแต่วัยหนุ่มสาว แต่คนที่ไปนวดมีแต่สูงวัยเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหมอแก่ๆเลย แม่ขมวดคิ้วเมื่อไปถึง ทำหน้าเหมือนไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เราต้องรับบัตรคิว เพราะคนใช้บริการมากมายพวกเราไปเมียงๆมองๆคนอื่นที่นวดอยู่ ท่านวดแต่ละท่ามีมากมาย ดัดแข็งขากันดังกร๊อปๆ ดุจจะหัก ก่อนนวดต้องไปตรวจก่อน เขาจะถามอาการ และส่งไปนวด การนวดที่นี่จะใช้นวดโดยใช้ลูกประคบช่วย

ลูกประคบจะถูกนึ่งจนร้อนพอดีๆ ส่วนประกอบของลูกประคบก็จะมี ไพลสด ขมิ้นชัน ตะไคร้บ้าน ผิวมะกรูด ใบส้มป่อย พิมเสน การบูร เกลือ เป็นตัวหลักของลูกประคบ แม่เดินไปถามว่าหมอเก่าแก่มีบ้างไหมคะ ได้รับคำตอบว่า หมอแก่ไปเปิดร้านเองหมดแล้ว หรือไม่ก็ไปเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนศึกษามาจากตำราเดียวกันทั้งนั้น แม่ฟังแล้วก็เฉยๆ พอถึงคิวพ่อตรวจ คนตรวจก็บอกว่ารักษาได้แน่นอน ไม่ต้องห่วง ไม่กี่ครั้งก็หาย เชื่อสิ
พ่อยิ้มกริ่ม แต่แม่ก็เฉยๆตามเคย เราสังเกตว่า แต่ละคนก็นวดเหมือนๆกัน จะเน้นก็ตรงที่คิดว่าปวดมาก แต่พ่อฉัน ไม่เคยปวดที่ตรงไหน เขาดัดตัวพ่อตรงโน้นนี้ พลิกคว่ำหงายน่าเวียนหัว พวกเรายืนดูกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็ไปเดินเที่ยวกันกับแม่

ที่วัดโพธิ์มียักษ์ยืนเท่ห์มากเฝ้าประตูอยู่มีกายสีแดง ตัวใหญ่มากเลย พวกเราชอบมาก แม่จึงเล่าว่า อยากรู้ไหมว่ามีที่มาอย่างไรเราจึงไปอ่านตำนานยักษ์วัดโพธิ์กัน
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์ ๒ ตน ตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดโพธิ์ อีกตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์อยู่และมีหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้งก็อยู่และดูแลวัดแจ้ง หรือ วัดอรุณราชวรารามซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ยักษ์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่ง ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน จึงข้ามแม่น้ำไปขอยืมเงินยักษ์วัดแจ้ง และนัดวันที่จะนำเงินไปคืน เมื่อถึงวันนัด ยักษ์วัดโพธิ์ก็ไม่นำเงินไปคืนตามที่ได้สัญญาไว้ ยักษ์วัดแจ้งคอย และเห็นว่าเลยวันนัดไปหลายวันแล้ว ยักษ์วัดโพธิ์ก็ยังทำเฉยไม่ยอมคือเงินให้ ยักษ์วัดแจ้งจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำมาทวงเงินยักษ์วัดโพธิ์ แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ให้ ในที่สุดก็ทะเลาะกันและต่อสู้กันด้วย ยักษ์ทั้งสองมีร่างกายสูงใหญ่ มีกำลังมาก เพราะฉะนั้นเวลาสู้กันก็ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นล้มลง และถูกเหยียบตายหมด เมื่อเลิกต่อสู้กัน ก็ปรากฏว่าบริเวณนั้นราบเรียบไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยกลายเป็นท่าเตียน เมื่อพระอิศวรรู้เรื่องยักษ์ทั้งสองที่สู้กันจนทำให้ทั้งคน สัตว์ และต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้นเดือดร้อนก็โกรธมาก จึงลงโทษยักษ์ทั้งสองโดยสาปให้กลายเป็นหินยืนเฝ้าที่หน้าอุโบสถวัดโพธิ์และวัดแจ้งมาจนทุกวันนี้

น้องชายของฉันถึงกับชอบยักษ์เป็นนักหนาบอกว่าเท่ห์ดีตัวโตดี ที่วัดโพธิ์นี้มีคนมาเที่ยวมากมาย ส่วนมากเป็นฝรั่ง มีของไทยๆขายด้วย เช่น ข้าวแช่ห์หาบมาขาย สำรับดูน่าทานแท้ แม่ซื้อให้ลอง แต่เราชิมแล้วไม่ชอบเลย แต่ชอบกินกับข้าวมันมากกว่า เช่นเนื้อฝอยหวานๆอร่อยดี แต่ตัวข้าวเย็นๆแข็งๆไม่อร่อยรสชาดแปลกๆ เดินชมภาพฝาผนังและส่วนต่างๆจนเพลิน ก็ได้เวลาพ่อนวดเสร็จแล้ว พวกเราจึงเดินไปรับพ่อ

พอเจอพ่อ น้องฉลามก็เข้าไปบอกเสียงใสว่า “เราไปดูยักษ์มา ยักษ์ตัวโตด้วย” น้องชายยังมีทีท่าสนุกสนานอยู่ น้องเล็กก็แย่งกันเล่าตามประสามากมายฟังไม่ทัน พ่อยิ้มๆ แม่จึงเข้าไปถามว่า “เป็นไง” “ก็ดี” พ่อตอบ
พวกเราไปหาอะไรทานกันวันนั้นแล้วก็กลับบ้าน ระหว่างทางก็เป็นการเล่าเรื่องยักษ์ไปตลอด พอสิ้นเสียงก็เห็นน้องสองคนหลับไปแล้ว

เช้ารุ่งขึ้น พ่อตื่นมาพร้อมอาการปวดมากมาย คงเพราะการนวดดัดตนต่างๆทำให้พ่อรู้สึกปวดมาก พ่อไม่ไปหาหมอนวดวัดโพธิ์อีกเลย

ต่อมาความพยายามจะนวดให้หายของพ่อยังมีอยู่ พวกเราไปเดินตลาด เจอหญิงแก่ๆคนหนึ่งดูจนๆมาทักพ่อว่า ขายึดใช่ไหม เดินไม่สะดวกใช่ไหม ไม่มีอาการปวดใช่ไหม แค่นั้นเอง แล้วแกก็บอกว่า “ให้แกลองไหม แกคิดแค่หกพันค่ายาหม้อและไปนวดให้ถึงบ้านสิบครั้ง” พ่อตกลง แต่แม่ไม่ยินยอม มากระซิบถามพ่อว่า “ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าเชื่อถือเลย” พ่อก็ว่า “เอาน่าลองดู ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่เผื่อหาย”
สิบวันหลังจากนั้น ก็มียายคนนี้ไปต้มยา และนวดที่บ้าน ขาสกปรกๆ เหยียบตามตัวพ่อ ดูไม่ชอบเลย ยิ่งแม่แล้วยิ่งไม่พอใจ “เงินหกพันกับยายแก่คนนี้ ที่ดูสกปรกๆกับท่านวดใช้เท้าเหยียบนี่นะ” แม่บ่นพ่อจนเลิกบ่น
สิบวันผ่านไป อาการพ่อดูจะไม่ดีขึ้นเลย ปวดมากมายตามมา จากที่ไม่ปวด เลยปวดทั้งตัว
แม่เล่าให้พ่อฟังว่า “แถวบ้านแม่ หมอนวดที่ไม่ชำนาญมานวดๆจับเส้นนี่แหละ จับกันพลาดถึงตาย เฮียไม่ควรให้พวกนี้นวดนะ ถ้าพลาดมาจะทำไง แค่เขาบอกว่ารักษาได้ก็ยอมเขาแล้วนี้นะ เงินทองก็ใช่ว่าจะมีมากมาย”
“ถ้าหายเงินหาเมื่อไหร่ก็ได้น่า” พ่อเถียง แล้วหาว่า แม่ไม่อยากให้พ่อหายหรือไง
“พูดมาได้นะแบบนี้ “แม่โมโหเลยไม่พูดอีกเลย

ตอนนั้นด้วยอาการป่วย พ่อไปทำงานไม่สะดวกแล้ว บางที่เขาก็ไม่อยากจ้าง เพราะหลายๆบริษัทต้องไปตรวจที่ต่างจังหวัด พ่อเริ่มมีปัญหาเรื่องงานและกิจการ ตอนนั้นเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงเรื่องลิขสิทธิ์ และยุคที่วีดีโอคนนิยมน้อยลง ไปนิยมวีซีดีแทน การค้าเริ่มแย่ลง ปัญหาจับลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมีมากมายจนร้านของเราโดนจับ แม่ในฐานะชื่อเป็นเจ้าของต้องโดนตำรวจจับ เราไม่มีเงินสดมาประกันตัวแม่ เดือดร้อนถึงคุณตา ที่ต้องมาจากต่างจังหวัดมาเซ็นประกันตัว ครั้งนั้นเราเสียเงินไปมากมาย จนต้องปิดกิจการ อีกทั้งร้านที่เพิ่งลงทุนก็เจอปัญหาที่ผู้ให้เช่าเสียชีวิตลง และทายาทไล่ที่ บ้านที่พ่อซื้อเพื่อขายทีละหลายๆหลังขายไม่ออก เนื่องจากปัญหาตะวันออกกลาง รวมปัญหามาในทีเดียวกัน พ่อของเราโดนฟ้องล้มละลาย เพราะจ่ายดอกเบี้ยไม่ทัน ค่าป่วยที่ต้องจ่ายบ่อยครั้ง กลายเป็นรายจ่ายประจำ งานของแม่แค่เลี้ยงลูกได้ก็แทบแย่แล้ว แม่เริ่มไม่มีเงินพอกับค่าเล่าเรียนลูก และคนที่ช่วยเหลือให้ทุนเรามาเสมอก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนรักของแม่ บ่อยครั้งที่เงินค่าเทอมเราไม่มี แม่คนที่ไม่เคยยืมเงินใครเลย แต่ต้องไปเอาเงินเพื่อน อย่างที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้คืนได้ แม่เริ่มเก็บตัว ไม่สมาคม ทำแต่งานๆ ทั้งกลางวันกลางคืน เงินที่พ่อได้มา แค่ใช้ค่ายา ค่ากายภาพบำบัดของพ่อวันละพันก็หมดแล้ว ทางบ้านเริ่มขัดสนรุนแรง……….แต่การรักษาพ่อก็ยังต้องดำเนินต่อไป
จากยายแก่คนนั้น พ่อวิ่งเข้าศูนย์กายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ที่ศูนย์นี้ มีเครื่องมือกายภาพบำบัดมากมาย
พวกเราจะเห็นคนไข้ที่ผาตัดจากอุบัติเหตุไปหัดยืนบ้าง เดินบ้าง ทุกคนต้องใช้เวลากับการฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัด การกายภาพที่นี่จะไม่นานมาก เพราะว่าต้องไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป แรกๆก็ดูเหมือนขาพ่อจะเดินดีขึ้น แต่ก็เป็นได้ไม่นาน พ่อเข้าที่นี่ได้หกเดือนก็หยุดอีก

จากนั้นพ่อเอาถุงทรายมารัดขาเวลาเดิน เพื่อให้เหมือนกายภาพขา ระยะนี้ กล้ามเนื้อบริเวณน่องของพ่อดูลีบลงไปจนน่าตกใจ สองปีกว่าแล้วกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตามโรงหมอต่างๆแต่ความหวังยังเลือนลาง ทุกคนเริ่มไม่คาดหวัง……………….
“กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันหนึ่ง
คุณยายจากต่างจังหวัดโทรมาบอกว่า “มีหมอของสมเด็จคนนึ่งเก่งมาก รักษาคนเป็นอัมพาตยังหายเลย แต่คนเยอะมาก จะมารักษาแค่เดือนละครั้งที่วัดเขาจะไปลองดูไหม “
แม่ให้ไปบอกป๊าและถามว่าจะไปไหม”ไปไป” ป๊าตอบ

วันนั้นพวกเราไปชลบุรีกัน ห้าโมงเย็นไปที่วัดเขา วัดอยู่บนเขาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า ห้าโมงเย็นคนจะคิวยาวขนาดนี้ ค่ารักษาแค่สิบบาทเป็นค่าอุปกรณ์แค่นั้นเอง ใครไม่มีก็ไม่ต้องให้ เป็นหมอสมัยใหม่ที่เก่งด้านจัดกระดูก และดูเป็นหมอที่ดี ไม่ได้หวังค่ารักษาประการใด เราไปรับบัตรคิว โดนต่อแถวยาวเหยียด ยาวจริงๆ
บางรายก็ต้องอุ้มกันมา เช่นผู้ที่เป็นอัมพาต โปลิโอ คนเหล่านี้บอกว่า ท่านผู้นี้เก่งจริงๆนะ ลูกเขาหมอจัดไม่กี่ครั้ง ตอนนี้เริ่มเดินได้แล้ว แม่ถามคนโน้นนี้ทีระหว่างรอคิว ความหวังเริ่มมาอีกครั้ง รายไหนที่ดูหนัก และญาติเล่าว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แม่จะตื่นเต้น แล้ววิ่งมาเล่าให้พ่อฟัง เรารอตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนคุณยายที่มาด้วยโทรให้คุณตามารับพวกเรากลับบ้านไปก่อน แต่ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ เลยให้น้องสองคนกลับไป ครั้งนั้น พ่อกว่าจะได้รักษาคือตอนตีสาม
กว่าจะได้กลับบ้าน เกือบเช้าทีเดียว หมอบอกว่า ไม่รับปากว่าจะหายนะ เพราะตรวจไม่พบอาการผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุ การรักษาของหมอจัดกระดูกต้องใช้สองคน อีกคนร่างใหญ่กว่าหมอดูแข็งแรง จะมาช่วยจับพ่อให้นิ่งๆ แล้วหมอใหญ่ก็เข้าไปจัดกระดูกดังสนั่นเลย ดัดคอด้วย ฉันดูด้วยความอัศจรรย์ผสมกลัวมากตอนเสียงกระดูกลั่น เพิ่งทราบว่า การรักษาแบบนี้ก็มีด้วย

วันรุ่งขึ้นพ่อก็ไม่ได้บ่นว่าเจ็บปวดอะไร แต่ก็ไม่ได้บ่นว่าดีขึ้น แม่ถามว่า”แล้วจะไปอีกไหม”
“ไม่แล้ว” พ่อตอบ”คนมันเยอะ ลำบากรอนาน”
“ไม่เป็นไร หากป๊าคิดว่าดีขึ้น” แม่ว่า
“ไม่แล้วดีกว่า” พ่อบอก

จากนั้นก็มีผู้แนะนำหมอนวดให้พ่ออีกมากมาย แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย แต่พ่อก็ยังคงลองเปลี่ยนคนเสมอๆ ใครที่ว่าหมอดีที่ไหน เราไปนวดมาจนหมด
จนกระทั้งวันหนึ่งแม่ได้อ่านในหนังสือเรื่องการรักษาแบบ“ไคโรแพกทริก”
พวกเราจึงได้มีโอกาสเยี่ยมเยียนแพทย์แนวใหม่กันอีกครั้ง…………….

19/5/52

ตอนที่ 4 : หมอฝังเข็ม




หลังจากวันนั้น เราก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลอีกหลายหมอ กับ MRI อีกหลายรอบ คราวนี้มีเพื่อนของพ่อ แนะนำว่า ให้ไปหาหมอจีน เป็นหมอฝังเข็ม ที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง เมื่อเราไปถึงพอลงจากรถ ก็ได้กลิ่นยาคละคลุ้งไปทั่ว โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างเก่า แม้มือชื่อก็ตาม เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิของจีนแห่งหนึ่ง สภาพผิดจากโรงพยาบาลเอกชนในสมัยนี้มากมาย อาคารค่อนข้างเก่าเราต้องไปรับบัตรคิวรอตรวจ เพราะมีคนมากจริงๆ ห้องตรวจก็เหมือนทั่วๆไป
หมอคนใหม่ของพ่อนี้เป็นชาวจีน อายุมากแล้ว คงประมาณหกสิบได้ ว่ากันว่ามือหนึ่งของที่นี่ ถึงมีคนไข้ต่อคิวรอยาวทีเดียว หมอแก่ ผมสีเทาๆ หน้าเหมือนอาแป๊ะจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายใน ทำให้เราจิตนาการไปว่า หมอคงใช้พลังลมปราณขัดเคลื่อนคลายจุดตามจุดสำคัญต่างๆ ให้พ่อหายดีได้ ว่ากันว่า ศาสตร์การฝังเข็มนี้ เป็นเรื่องที่หมอสมัยปัจจุบันพยายามศึกษากันมากทางยุโรป เพื่อนำมาใช้ผสมผสานกับแผนปัจจุบัน คนรักษาต้องเชี่ยวชาญในการรู้สรีระของมนุษย์ และจุด เส้นเอ็มต่างๆ ทางกายภาพเป็นอย่างดีด้วย มิฉะนั้นอาจไปฝังโดนเส้นตายได้
วิธีการตรวจของหมอจีนแตกต่าง หมอเข้าไปกดตามจุดต่างๆ ดัดแข้งดัดขามากมาย เหมือนพ่อต้องเจ็บ แล้วก็บอกว่า เส้นเอ็นของพ่อนั้นมันเริ่มแห้ง หมอไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ไหม คุณมาหาช้าไปหน่อย หากมาแต่แรงน่าจะเอาอยู่ หมายถึงทำให้หายได้ จะลองดูไหม ฝังเข็มและลองทานยาหมอดู
หมอตรวจพ่อเสร็จก็ถึงคราวไปรอฝังเข็ม อันนี้เป็นอันตื่นตาตื่นใจ ห้องฝังเข็ม แบ่งเป็นล็อคๆยาวเหยียด มีม่านกั้นไว้เป็นสัดส่วนเฉพาะเตียง พ่อต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และรอหมอฝังเข็ม มาแล้วหมอคนเดิม…..ผู้เฒ่าจอมยุทธแห่งเขาเหลียงซาน ว่าเข้านั่น เพ้อเจ้อจริงๆฉัน
และแล้วจอมยุทธของฉันก็มาถึงเตียงพร้อมอาวุธครบมือ นั่นก็คือเข็มหนึ่งร้อยเล่ม (ฉันไม่ได้นับหรอกนะคะ แต่มาทราบตอนหลังว่ามีร้อยเล่ม) พอเปิดกล่องออกมา แม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆที่เป็นโรคกลัวเข็มอย่างที่สุดหน้าซีด ฉันเห็นแม่นิ่งอยู่ครู่แล้วก็เดินออกไปเลยไม่ดูแล้ว น้องเล็กเห็นเข็มก็สนใจมองนิ่งไปใกล้ๆ จนพยาบาลบอกว่าให้ถอยออกไป ห่างๆหน่อย
ฉันถามหมอจอมยุทธว่า “หมอ จะเอาเข็มจิ้มพ่อหมอทุกเล่มเลยหรือ” ฉันจ้องตาเขม็งที่เข็มทั้งหมดที่มีขนาดต่างๆกัน เรียกเป็นแนวตามขนาดและความยาว เข็มดูบางๆแต่ยาวต่างๆกัน
หมอยอมยุทธพูดว่า” เริ่มจากที่หัวก่อนนะ” พ่อพยักหน้ารับทราบ “เจ็บนิดหน่อย หากเจ็บมากให้ร้องออกมาเลย” หมอพูดต่อ “วันนี้หมอจะเริ่มที่ด้านหน้าก่อน เน้นด้านขวาเพราะคุณมีปัญหาที่ขาซ้าย และแขนขวา”
ที่หัวเป็นเข็มเล่มยาวๆบางมากมาก ฉันไม่ได้นับว่าที่หัวมันมากแค่ไหน พ่อทำหน้าเจ็บนิดๆ เวลาโดนเข็ม แต่ยังไม่มีร้องโอ้ยเลย เป็นฉันคงร้องโรงพยาบาลแตกไปแล้ว น้องชายคนกลาง กับน้องเล็ก ยืนนิ่งเงียบ ตาจ้องเหมือนฉัน แต่แม่หายไปเลย เข็มเล่มแล้วเล่มเล่า ทิ่มแทงพ่อจากหัว ใบหน้า ตามแขน ตามขา และลำตัว มากมาย จนฉันต้องถามว่า “กี่เล่มค่ะหมอ”
“100 เล่ม” หมอตอบ แล้วหมอก็อธิบายว่า

การฝังเข็ม นับเป็นศาสตร์แห่งการรักษาโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยแพทย์ของจีนโบราณมีการค้นหาจุดต่างๆ ตามสรีระที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือส่วนที่ทำให้ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือน และหาทางเยียวยารักษา จนในที่สุดก็คนพบวิธีการรักษาที่เรียก ว่าการฝังเข็ม การฝังเข็มมีบทบาทรักษาโรคและอาการผิดปกติต่างๆของร่างกายมาเป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี และโดยเฉพาะในรอบศตวรรษหลังที่วิชาเวชกรรมฝังเข็มได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก สำหรับประเทศไทยเองก็มีผลงานด้านการบำบัดรักษาด้วยเวชกรรมฝังเข็มมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว และในส่วนของจังหวัดเพชรบุรี โรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีมีทีมแพทย์ที่ให้ความสนใจเรื่องศาสตร์ แห่งการรักษาผู้ป่วยด้วยการฝังเข็ม มีการค้นคว้าและศึกษาข้อมูลที่ทันสมัยเหล่านี้มาเก็บรวบรวม จนทราบว่าการฝังเข็มสามารถรักษาผู้ป่วย ได้กว่า ๕๓ โรค เช่นโรคกระดูกกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดเส้นประสาท ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน หรือโรคอื่นๆอีกมากมาย
เข็มที่นำมาใช้ในการรักษาในปัจจุบันมีการพัฒนาโดยใช้เข็มเงิน เข็มทองและเข็มทองแดง ซึ่งเข็มทั้งหมดที่นำมาใช้จะเป็นเข็มที่ปลอดเชื้อทั้งสิ้น มีความปลอดภัยสูง ซึ่งเข็มเหล่านี้เมื่อปักไปตามตำแหล่งสำคัญของร่างกายแล้วจะมีการกระตุ้นด้วยมือหรือเครื่องอิเล็กทรอนิคส์ นาน ๒๐-๓๐ นาที เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมน เพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ตามสมดุลปกติ ซึ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการฝังเข็มและการกระตุ้นก็จะเป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษา ซึ่งเมื่อนำเข็มออกจากร่างกายผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ร่างกายจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


หมอพูดให้กำลังใจว่า เดี๋ยวพ่อกลับบ้านก็จะเดินได้แล้ว เอายาไปต้มกินตามที่หมอบอก แล้วอาทิตย์หน้ามาใหม่ตามที่หมอนัด เดี๋ยวพ่อหนูก็หาย ฉันยิ้มได้ น้องชายเริ่มเดินออกไปหาแม่ แต่แม่ไปไหนไม่รู้ หมอต้องเอาเข็มจิ้มไว้อย่างนี้ หนึ่งชั่วโมง
น้องเล็กเข้าไปมอง และถามพ่อว่า “พ่อเจ็บไหมคะ”
พ่อยิ้มน้อยๆไม่ตอบว่าอะไร แต่ฉันเดาว่ามันต้องเจ็บแน่ๆเลย ก็เวลาเราไปฉีดยาเรายังแทบร้องไห้ นี่เข็มเป็นร้อยไม่เจ็บได้อย่างไร แต่ความเจ็บหากหายป่วยได้มันคงคุ้มมากกว่า


ระหว่างรอพ่อ พวกเราได้แอบดูตามรอยที่ม่านแหวกของเตียงคนไข้อื่นๆ บางรายมีเข็มที่หัวอย่างเดียวเป็นร้อยๆเล่ม ดูเหมือนในหนังเลย น่าสยองมาก แต่พ่อของฉันขนาดเข็มทิ่มอยู่อย่างนั้น ก็ไม่มีอุปสรรคในการนอนเลย พ่อนอนหลับสนิทเสียงกรนกึกก้องสนั่นเมือง จนพวกเราสงสารเตียงข้างๆ คงนอนกันไม่หลับ และไม่นาน การแข่งขันกรนก็เริ่มขึ้น เพราะมีคนไข้ฝั่งโน้นกรนมากอีกคน แต่ฉันประเมินดูแล้วว่า พ่อฉันชนะขาดลอย
ชั่วโมงผ่านไป พยาบาลก็เข้ามาเอาเข็มออก แม่เพิ่งโผล่หน้าเข้ามาตามเวลา พยาบาลบอกแม่ให้ไปเอายาที่หมอสั่ง พวกเราเลยเข็นพ่อไปเอายา คราวนี้ยาไม่ได้เป็นเม็ดๆ แต่กลับประกอบด้วยใบอะไรไม่รู้มากมาย แม่ซื้อหม้อต้มยาจีนไฟฟ้า เสียงเภสัชอธิบายให้ฟังถึงวิธีต้มยาว่า ต้องใส่น้ำสองส่วนต้มไปจนเหลือน้ำส่วนเดียวให้ทานหนึ่งชามตอนเช้าเย็น ห้ามทานไช้เท้า ฟัก พอวันต่อมาก็ให้เติมน้ำหนึ่งถ้วยและต้มต่อจนเดือด ทานเช้าเย็น ทำอย่างนี้จนครบอาทิตย์แล้วก็มาหาหมอตามนัด
กลับบ้านพวกเราก็ดูยาต้มของพ่อ กลิ่นใช้ได้ น้ำดำๆ วันนั้นพ่อบอกกับพวกเราว่า “พ่อว่าพ่อเดินคล่องขึ้นนะเนี่ย” แม่ได้ยินหันมามอง แล้วบอกว่า “ก็ดีแล้ว” แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

ฉันดูเหมือนว่า แม่คงไม่อยากให้พ่อฝากความหวังอะไรอีก และแม่ก็เช่นกัน เพราะหลายครั้งแล้วที่เรามีหวังแล้วก็หมดหวัง โดยการที่หมอบอกว่า “หมอไม่ค้นพบว่าคุณเป็นอะไร ต้องรอให้อาการชัดขึ้นกว่านี้”
พ่อรักษาหมอฝังเข็มอยู่ 6 เดือนเต็มเหมือนการทำกายภาพ แต่ก็อาการเหมือนดีขึ้นในช่วงแรกแล้วก็คงตัว ไม่มากขึ้นแต่ก็ไม่ดีขึ้น พ่อได้ทานยาทั้งจีนและยาปัจจุบันที่ทางโรงพยาบาลให้คู่กันไปตามปกติ
คราวนี้ พ่อบอกแม่ว่า
“น้องพี่ว่าจะหยุดแล้ว ลองไปนวดแผนโบราณดู” พ่อบอกในวันหนึ่ง
“ตามใจป๊า” แม่ตอบนิ่งๆ ไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกใดใด
ช่วงนี้แม่คงเหนื่อยมาก เพราะต้องตื่นเช้าดูแลพ่อ ทำอาหารให้ แล้วส่งเราไปโรงเรียน กลับมาก็ทำงานบ้าน และทำงานที่หารายได้ไปด้วย พอตกเย็นก็ต้องไปรับพวกเราอีก โรงเรียนกับบ้านก็ไกลกัน แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม้ไม่ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร บางวันพอเรากลับบ้าน ก็มีกับข้าวและขนมอร่อยๆให้ทานจากบ้านเพื่อนบ้าน
เพื่อนบ้านคนดีที่หนึ่งคนนี้ ชื่อป้าเดือน ป้าเดือนมีลูกชื่อพี่ฝน พี่นก พี่จิ๊บ สนิทกับครอบครับเรามาก เหมือนญาติมากกว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ป้าเดือนชอบทำขนมอร่อยๆ กับข้าวอร่อยๆ เผื่อพวกเราเสมอ ป้าคงนึกสงสารแม่ ที่ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน และแม่ก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็น อาหารของแม่มักมีแต่แกงจืด กับสารพัดนึ่งแบบอาหารเด็กเล็กง่ายๆ หรือไข่เจียว ลุงทินสามีป้าเดือนก็ทำอาหารอร่อยสุดๆ ด้วย ป้าช่วยเหลือโดยการทำอาหารให้เสมอ ช่วยดูแลเด็กเวลาแม่ไปส่งงาน แม่รักป้าเดือนมากๆ ทั้งบ้านนี้มีแต่คนที่มีน้ำใจทั้งนั้น…
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็มีสถานที่ใหม่ให้เข้าทัศนศึกษา นั่นก็คือ ศูนย์กายภาพบำบัด
จากฝังเข็มก็สู่ศูนย์กายภาพบำบัด………….

14/5/52

ตอนที่ 3 : ไปหาหมอด้านสมอง




คราวนี้ พวกเราย้ายแผนกกันซะแล้ว หมอคนใหม่ มือหนึ่งของโรงพยาบาลที่หมอคนเดิมฝากฝังมา
เป็นคุณหมออาวุโสท่านหนึ่ง ประสบการณ์คงมากโข เท่าที่ทราบ ท่านเป็นหมอมีชื่อของโรงบาลรัฐบาล
ที่เชี่ยวชาญด้านสมองมาช้านาน
พ่อก็เข้าไปแล้วเล่าอาการซ้ำๆแบบเดิมเหมือนทุกๆครั้ง จนพวกเราจำขึ้นใจแล้ว
คราวนี้หมอคนใหม่บอกว่า "ผมขอ MRI หน่อยนะครับ"
และใบสั่งMRI ก็เปลี่ยนจากกระดูกไขสันหลัง ไปเป็นที่สมองแทน อีกแล้วกับห้าหมื่นกว่า กับความอยากรู้
เงินตราคงไม่สำคัญเท่ากับอาการของพ่อ เพราะทุกคนอยากให้พ่อหาย
จากการMRI และรอคอยผล และก็มาถึงการวินิจฉัย
" หมอไม่พบความปกติด้านสมองนะครับ คงต้องรอให้อาการชัดกว่านี้ " หมออธิบายอะไรอีกมากมายยืดยาว
สรุปคือ อาการของโรคบางครั้งมันคล้ายๆกัน หากตรวจไม่พบในตอนนี้เราก็ต้องรอ เพราะผู้ป่วยไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า เจ็บปวดตรงไหนเลย และตรวจอย่างละเอียดก็ปกติดีทุกอย่าง
จากนั้นหมอก็ให้พ่อกลับบ้านได้ ไม่มีแม้ยา เหมือนพ่อไม่ได้เป็นอะไรเลย
ความหวังของพ่อกับแม่หมดลง
ไม่มีเสียงใดใด จนถึงบ้าน
พ่อและพวกเรายังคงใช้ชีวิตตามปกติ พ่อยังคงไปทำงานกลับดึกๆเช่นเดิม
แม่ยังคงพยายามเสาะแสวงหาหมอดีๆโดยถามไถ่จากผู้คนมากมายเช่นเดิม
พ่อเริ่มใช้ไม้เท้า เพราะเดินขัดขึ้น ล้มบ่อยขึ้น และจากขาซ้าย ก็เริ่มลามมาที่มือขวา
วันที่รู้ก็คือ
"โครม" เสียงช้อนตก กลางวงที่ทานข้าวในวันหยุดวันหนึ่ง
"มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าป๊า" แม่ถาม
"มือมันไม่มีแรง" พ่อบอก
แม่มาดูตามมือ ตามแขนพ่อ แล้วก็บอกว่า "อุปทานหรือเปล่าไม่รู้นะ เหมือนกล้ามเนื้อที่แขนมันลีบไป"
แม่ก็แนะว่า "เปลี่ยนหมอนะ หาหมอคนใหม่ คราวนี้เราไม่ต้องบอกว่าหมอคนเดิมวินิจฉัยอะไร เผื่อว่าจะมีอะไรใหม่" แม่ตัดสินใจ และบอกว่าให้ไปหาหมอคนไหน พร้อมรายชื่อหมอดัง โรงพยาบาลที่สังกัด เวลาที่เข้าตรวจ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ อย่างพร้อมมูล และให้พ่อเลือกเอา แม่มีแม้กระทั้งชื่อหมอที่ใครๆว่าเป็นหมอเทวดา ผ่าใครก็หายทุกรายไป หรือแม้แต่หมอของสมเด็จฯ ที่รับใช้เจ้านายเบื้องบนทีเดียว แต่ละท่านล้วนมีชื่อเสียง

แล้วรายการเยี่ยมเยียนหมอก็เกิดขึ้น...................
หมอคนใหม่ มีคนไข้รอแถวยาวเหยียด รับรองดีกรีความมีชื่อเสียง จากการสอบถามจากคนที่รอหน้าห้อง
ล้วนพูดว่า หมอคนนี้เก่ง ผ่าคนไหนหาย เขารักษามาตั้งหลายที่ มาหายกับหมอคนนี้
ทำเอาพ่อกับแม่ฉันเริ่มยิ้มออกมาบ้าง
ถึงคิวของพ่อ......
หมอคนนี้ ไม่แก่มาก อายุประมาณ สี่สิบได้ ดูสุขุมน่าเชื่อถือ สมคำเล่าลือ หมอถามอาการอย่างละอียด ระยะเวลาในการเป็นแต่ละขั้น ถามและตรวจพ่อเป็นชั่วโมง มากกว่าหมอท่านใด แต่สุดท้ายคือ
"ผมขอ MRI หน่อยนะ " หมอบอกเป็นอย่างสุดท้าย
เราถูกส่งไปที่ศูนย์ MRI ที่ รามาฯ ที่นี่มีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เพราะสั่งซื้อมาล่าสุดแต่ราคาถูกกว่าที่โรงพยาบาลเอกชนมาก เพราะเป็นของรัฐบาล แค่สองหมื่นกว่า แต่เราต้องเสียMRI สองจุด ทั้งที่กระดูกสันหลังส่วนบนและส่วนล่าง แต่ต้องรอจองคิว เราได้คิวอีกสามวันข้างหน้าตอนตีสาม แต่พวกเราทั้งห้าก็ไปไหนด้วยกันเสมอ เราห้าคนไปนอนรอจนหลับในห้องเด็ก รอตีสามที่พ่อจะไป MRI
พ่อดูกังวล แต่แม่กลับสนุกสนานในการสำรวจห้องต่างๆ และการทำงานของเครื่อง MRI แม่ไปดูหน้าจอตอนเขาทำให้คนอื่น ถามโน่นนี่ และมองมันทำงาน แม่พยายามทำให้พ่อเห็นว่า พวกเราไม่ได้ทุกข์อะไรในการหอบมาคอยพ่อตามโรงพาบาล เพราะเรามีกันห้าคน แม่มาพวกเราก็ต้องมา เพราะไม่มีใครดูแลเรา น้องๆหลับหมดแล้ว แม่ยังคงทรหดกัการรื้อหนังสือมาอ่าน กับการดูหน้าอเครื่อง MRI และฟังเจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นตามหน้าจอ
ตีสามแล้ว .....ถึงเวลาที่พ่อต้องเข้า MRI คราวนี้มีปัญหามาก การแสกนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง
คราวนี้ เจ้าหน้าที่มาบอกว่า พ่อไม่สามารถ MRI ได้ เพราะกรน จนร่างกายเคลื่อนที่ (ก็พ่อของฉันกรนขนาดเสียงมอเตอร์ไซด์เร่งเครื่องยังไงยังงั้นเลย) ต้องขอให้ยาสลบ ไม่เช่นนั้น MRI ไม่ได้
การให้ยา ทำให้พ่อต้องตรวจร่างกายเพิ่ม และใช้วิสัญญีแพทย์ ซึ่งพ่อต้องแอดมิดนอนที่โรงพยาบาลก่อน
แล้วรอผลการตรวจก่อนวางยา พวกเราเลยต้องย้ายไปนอนที่ห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลแทน คนไข้หนึ่งคน แต่ญาติผู้ป่วย สี่คน ที่จริงคงผิดกฎของโรงพยาบาล แต่แม่ก็ออกตัวไปว่า เรามีกันแค่นี้ ไม่มีใครดูแลเด็กๆ มาด้วยกันไปด้วยกันค่ะ ทางโรงพยาบาลคงเห็นใจ พูดไม่ออกเพราะพวกเราก็เด็กๆกันทั้งนั้น
ชีวิตของพวกเรา เลยกินนอนตามโรงพยาบาลนับแต่วันนั้น.....................




ตอนที่ 2: เมื่อขาพ่อเริ่มกระตุก




หกเดือนแล้วที่บ้านฉันมุ่งหาสาเหตุอาการล้มของพ่อ บ้างก็เถียงกันว่า วิธีการเดินของพ่อนั่นแหละผิด

"ใครเขาเดินเอาส้นเท้าลง เดี๋ยวก็กระดูกเข่าเสื่อมหรอก ต้องเอาปลายเท้าลงก่อนสิ จะได้รู้จักผ่อนน้ำหนัก"

เสียงแม่ร้องเตือนพ่อเป็นประจำทุกวัน

แม่ดูเป็นห่วงอาการของพ่อ รบเร้าให้ไปหาหมอคนใหม่ คราวนี้ได้หมอที่เคยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ จบจากเยอรมัน

ไปถึงร้านหมอ หมอถามอาการแล้วก็บอกว่า

"คุณต้องกายภาพนะ เพราะกระดูกทับเส้น ต้องมาดึงกระดูกทุกวันเสาร์และพุธ" คุณหมอนัด

จากนั้น ทุกๆวันพุธและวันเสาร์เราก็ไปที่คลีนิคหมอกัน

คุณหมอท่านนี้เคยรักษาคุณยายที่เคยกระดูกหักสามท่อน ให้เดินเป็นปกติ

รักษาเพื่อนคุณพ่อฉันที่ขับรถตกสะพาน แล้วคอขยับเขยื่อนไม่ได้ โดยไม่ต้องตัดกระดูกคอทิ้งหนึ่งข้อตามที่หมอบางท่านบอก ให้หายได้ ดีกรีนั้นยาวเหยียด เรียกว่า เราค้นหาสุดยอดหมอที่ดีที่สุดให้พ่อเลยทีเดียว

จากการถามคนรอบตัว ความหวังอันเต็มเปี่ยมของแม่ ที่จะให้พ่อหายได้

คลีนิคหมอมีเครื่องมือมากมาย มีคนไข้มาดึงส่วนต่างๆ ส่วนใหญ่เพราะเป็นโรคกระดูกทับเส้น

วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด พวกเราเข้าไปนั่งดูเครื่องโน้นนี้ จนรู้จักคุณป้า คุณยาย และอีกหลายๆคนไปทั้งห้อง

ทุกคนแลกเปลี่ยนเรื่องโรค อาการของตนกันอย่างครื้นเครง และพูดเรื่องหมอคนโน้นนี้กันมากมาย

ดูๆก็เป็นสังคมที่เอื้ออาทรต่อกัน

พ่อของฉันทำอยู่หกเดือนเต็ม แต่อาการของพ่อก็ไม่ดีขึ้นเลย พ่อหยุดไป แม่ก็บอกว่า "กายภาพมันต้องใช้เวลานะ บางคนเป็นปีๆ นี่หกเดือนจะหยุดซะแล้ว" เสียงแม่คงบ่นพ่อต่อไป

พ่อดูท้อถอย และบอกกับแม่ว่า "เฮียว่าอาการมันทรุดลง" พ่อบอก

"ทรุดลงยังไง" แม่หยุดบ่นและถามด้วยความห่วงใย

"รู้สึกว่าขามันอ่อนลง" พ่อพูดเสียงอ่อนๆ "หมอคงวินิจฉัยผิด"

"หมอคนนี้เขาเก่งนะ ใครๆก็หายมามาก ไม่ลองดูอีกสักพักหรือป๊า" แม่ถาม

"คงไม่แล้ว" พ่อบอก

"งั้นก็เปลี่ยนหมอ" แม่ตัดสินใจ

แล้วแม่ก็เริ่มมหกรรม ถามๆๆ อีกครั้งหนึ่ง

ค่ำนั้นพ่อฟังสารคดีของโมฮาหมัด อาลี เขาเป็นโรคพากิมสัน

"น้อง เฮียอาจเป็นโรคพากิมสันนะ "พ่อบอกแม่ พ่อฉันมักเรียกแม่ว่าน้องเสมอและใช้แทนตัวเองว่าเฮีย

"เฮียว่า อาการมันเหมือนๆกัน ตอนนี้ขาเริ่มมีกระตุกๆ." พ่อลงความเห็น

"งั้นพรุ่งนี้ไปถามหมอ เปลี่ยนหมอแล้วกัน ลองดู" แม่แนะนำ

วันรุ่งขึ้น พวกเราก็พาพ่อไปหาหมอที่ใหม่

คราวนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของเมืองไทย แพงลิบ แต่ได้ชื่อว่ารวมหมอเก่งๆไว้

หมอคนใหม่ ให้เราไป MRI เป็นเครื่องใหญ่ๆ ที่ไว้ตรวจข้างในร่างกายคนเราโดยใช้คลื่นแม่เหล้กไฟฟ้า

ดูว่า มีกระดูกทับเส้น หรือเนื้องอกมาทับเส้นประสาทอะไรหรือเปล่า ค่าตรวจ ครั้งละห้าหมื่นกว่าทีเดียว

ถ้ารู้สาเหตุคงเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับเงินขนาดนี้

การ MRI จะมีเครื่องมือใหญ่ๆ ให้คนเข้าไปได้ คนป่วยต้องนอนเฉยๆไม่กระดุกกระดิก

แล้วเครื่องก็จะแสกนทุกมุม ครั้งแรกหมอสั่งให้แสกนกระดูกส่วนบนตั้งแต่คอลงมา

การแสกนมีสองแบบ แบบฉีดสีกับไม่ฉีดสี ฉีดสีจะทำให้เห็นชัดเจนขึ้น แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย

ด้วยความอยากรู้แน่ชัด พ่อเลยเลือกแบบฉีดสี และการรอคอยผลการตรวจ MRI ก็เริ่มขึ้น แม่ก็เริ่มหาข้อมูลจากคนไข้ที่มารอตรวจ บางรายก็ว่า เมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบพ่อ หาสาเหตุไม่เจอ พอดีไปอัลตร้าซาวที่สมอง

เลยพบว่าเส้นประสาทที่สมองมันสปาร์ก เหมือนซ็อต เลยสั่งการไม่ดี ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เดินได้แล้ว แม่เก็บข้อมูล ถามถึงหมอที่เก่งทางนี้ คนไข้บ้าง ญาติคนไข้บ้าง ก็แนะนำหมอจากโรงพยาบาลโน้นนี้กันไปตามเรื่อง ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

เสียงพยาบาลเรียกพ่อเข้าไปพบ

"หมอไม่พบความผิดปกติใดใดจากการMRI นะครับ" หมอบอกพ่อกับแม่

"หมอครับ ผมน่ะเป็นโรคพากิมสันหรือเปล่า ผมเริ่มมีอาการกระตุกๆนิดๆนะครับ"พ่อพูดกับหมอ

หมอเลยบอก ให้พ่อไปนั่งที่ขอบเตียงตรวจ แล้วก็เคาะๆ จากนั้นก็เอาเข็มไปจิ้มๆ แล้วถามพ่อว่าเจ็บไหม

ทุกๆอย่าง พ่อรับรู้ตามปกติ พ่อเจ็บ และตอบสนองอย่างที่คนปกติควรจะเป็นทุกอย่าง

สรุปคือ พ่อไม่ได้เป็นพากิมสันและไม่มีอาการบ่งชี้ของโรคอัมพาต

"ส่งคุณ.......ไปหาหมอด้านสมองนะ" นี่คือคำวินิจฉัยของหมอ

จากหมอกระดูก สู่หมอด้านสมอง..............................





13/5/52

ตอนที่ 1 :เมื่อพ่อเดินแล้วล้ม




บทนำเรื่อง "กว่าจะมาเป็นพ่อฉัน"


เรื่องมีอยู่ว่า พ่อฉันนั้นเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี อาจารย์มหาวัทยาลัย และมีกิจการพิเศษอีกอย่างคือเปิดร้านให้เช่าวีดีโอหลังรามฯ และที่อื่นๆ แต่ที่เป็นต้นกำเนิดการเป็นพ่อของฉันที่จะกล่าวถึงคือ ร้านวีดีโอหลังรามนี่แหละค่ะ .....เพราะเป็นสถานที่ๆทำให้พ่อรู้จักกับแม่ของฉันจนกลายมาเป็นพ่อของฉันได้ไงล่ะคะ
"เถ้าแก่ร้านวีดีโอ" เป็นชื่อที่คนย่านนั่นเรียกพ่อกับลูกน้องในร้านเรียกพ่อส่วนแม่ฉันจะเรียกแค่ "เฮีย" ตามที่ลูกค้าร้านวีดีโอเรียกกัน ในสมัยนั้นแม่เป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเอกชนในย่านนั้น อยู่ที่หอพักใกล้ๆร้านวีดีโอที่พ่อเปิดอยู่ ส่วนพ่อฉันได้เปิดร้านอยู่ที่หอพักที่เพื่อนแม่ชื่อ "จ๋า" เช่าอยู่ เพื่อนชื่อจ๋าของแม่ ได้ชอบเอาเรื่องราวของเถ้าแก่ร้านวีดีโอมาเล่าให้แม่ฟัง แม่เล่าว่า ตอนนั้นเจ้าของหอพักที่จ๋าอยู่เป็นคนขี้งกมาก จุกจิก และใครๆในหอพักสังเกตุว่า เจ้าของหอพักสาว(แก่) จอมขี้งกคนนี้ได้มีความสนใจในตัวเถ้าแก่ร้านวีดีโอจอมขี้เหนียว ก็คือพ่อฉันนั่นเอง วันๆก็จะเอาอาหารที่ตนทำมาให้เถ้าแก่ร้านวีดีโอได้ชิมทุกวัน จ๋าก็เอาเรื่องราวเจ้าของหอพักมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ฉันก็ฟังแล้วบอกว่า "ดีออก ขี้งกกับขี้เหนียวสมกันดีจริงๆ" แม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แม่ฉันไม่ได้ไปเช่าวีดีโอนะคะ แต่ไปเช่าหนังสือนิยายที่ร้านวีดีโออ่าน (ร้านวีดีโอของพ่อมีหนังสือให้เช่าอ่านด้วย) หนังสือนิยายในร้านพ่อค่อนข้างเก่ามาก ขาดทุกเล่ม ไม่ได้รับการดูแล แต่พอแม่เช่าปอ่านจะซ่อมกับมาให้ทุกครั้ง แม่ฉันเป็นคนต่างจังหวัด สมัยนั้นวีดีโอใช้อัดทับมาม้วนก็เก่าๆมักคุณภาพไม่ดี แม่ของฉันจะเช่าหนังไปให้ที่บ้านดู เลยมานั่งดูหนังที่ร้านก่อนเช่า หากวีดีโอม้วนไหนดีไม่เต้นแม่ฉันจึงจะเช่า นี่คือวิธีการเช่าหนังของแม่ คือดูก่อน
วันที่พ่อกับแม่เจอกันครั้งแรก แม่กำลังนั่งดูวีดีโอก่อนเช่าอยู่ เฮียเจ้าของร้านก็เดินเข้ามา แม่ว่าแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่รู้จักว่าใครเป็นเจ้าของร้าน ส่วนพ่อฉันก็เล่าว่า พ่อสังเกตุว่าเด็กคนนี้มันนั่งดูนี่หว่าไม่มีทีท่าว่าจะเช่า พ่อก็เลยเดินเข้าไปปิดวีดีโอไม่ให้ดู เพราะคิดว่าหากเขาดูจบเรื่องเขาจะเช่ารึ พอปิดปุ๊บ
แม่ก็พูดทันทีว่า "ใครใช้ให้ปิด" พ่อว่า พ่อคิดงงๆว่า "ร้านใครหว่าเนี่ย"
ยังไม่ทันไรแม่ก็พูดต่อว่า "ยังดูไม่จบปิดทำไม"
พ่อก็ว่า"ดูจบแล้วจะเช่ารึ"
"เช่าสิ ไม่จบนั่นแหละจะเช่ายังไง" แม่ตอบ
ตอนนั้นพ่อบอกว่าพ่องงกะเด็กคนนี้มาก มีที่ไหนดูจบจึงเช่าพ่อเลยหันไปถามเด็กในร้านเขาก็พยักหน้าว่า "เช่า" พ่อเลยยอมเปิดให้ดูต่อ นั่นแหละคือเหตุการณ์ครั้งแรกที่พ่อกับแม่เจอกัน
แม่บอกว่า แม่ไม่ได้สนใจอะไรพ่อเลยสักนิด ก็คิดว่าเป็นเจ้าของร้านวีดีโอทั่วๆไป แม่เล่าว่าวันหนึ่งแม่เอาการบ้านไปทำที่ร้าน เพราะที่หอมันร้อน ที่ร้านวีดีโอเปิดแอร์เย็นสบาย ที่นี่เลยกลายเป็นสถานที่ทำการบ้าน พ่อก็มาตรวจร้านเช่นเคย พ่อมาดูการบ้านที่แม่ทำ แม่ไม่ชอบบัญชีและไม่เคยเรียนบัญชีมาก่อน แต่แม่เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แม่กำลังนั่งงุนงงกับการบ้าน
พ่อก็เข้ามาเมียงมอง และถามว่า "สอนให้เอาไหม"
แม่ก็ตอบพ่อว่า "นี่คุณ นี่ไม่ใช่บัญชีรายรับรายจ่ายร้านวีดีโอนะ ขนาดฉันนั่งเรียนยังทำไม่ได้เลย"แม่ตอบอย่างดูถูกนิดๆ
"เอ้า อยากทำนักก็ทำไป"
แล้วก็ส่งโจทย์ให้พ่อแบบไม่คาดหวังอะไร แถมด้วยกระดาษรายงาน พ่อก็ไปอ่านและทำให้อย่างรวดเร็ว
แม่ว่า "แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด เพราะแม่ไม่รู้เรื่องเลยบัญชีนี่น่ะ" แม่เล่า
วันรุ่งขึ้นไปส่งอาจารย์จึงรู้ว่า การบ้านที่พ่อทำให้มันถูกหมดเลย
แม่เลยกลับไปถามเด็กในร้านวีดีโอที่ชื่อพี่น้อยว่า "พี่น้อยเถ้าแก่เจ้าของร้านนี่เป็นใครเหรอ"
พี่น้อยก็ว่า"เฮียเขาเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย ร้านนี่แกเปิดเล่นๆสนุกๆ แกจบที่.............." ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐบาล
แม่ก็ฟังแต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ตรวจสอบบัญชีเป็นอย่างไรในตอนนั้น เพราะสำหรับแม่ เฮียร้านวีดีโอที่รู้จักก็แค่ คนจีนธรรมดาๆ ทำมาค้าขาย ก็คงไม่มีความรู้อะไรมากมายมากไปกว่ารู้จักบัญชีรายรับรายจ่ายเท่านั้นเอง
จากนั้นแม่ก็ยังคงมาที่ร้านตามปกติตากแอร์ประหยัดไฟบ้าน(หลังๆคุณยายซื้อบ้านให้แม่แล้วใกล้ๆมหาวิทยาลัย) แม่มานั่งร้านวีดีโอเสมอๆตั้งแต่อยู่หอพักจนกระทั่งซื้อบ้านที่แถวๆมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ แต่บ้านแม่ไม่ติดแอร์ แม่ก็ยังคงมานั่งตากแอร์ร้านนี้อยู่ดี
แม่เล่าต่อว่า เฮียเจ้าของร้านจะมาตรวจร้านแค่วันศุกร์ บางวันแม่มาที่ร้านเฮียก็อยู่ในร้านสูบบุหรี่แม่ก็เข้าไปในร้านแล้วบอกว่า "ใครมาสูบบุหรี่แถวนี้ เหม็นจะอ๊วก" และแล้วแม่ก็สังเกตุเห็นบุหรี่ที่มือเฮียเจ้าของร้าน
แม่ก็เดินเข้าไปดึงบุหรี่ออกแล้วเอาไปทิ้งข้างนอกร้าน พ่อเล่าตอนนี้ว่า พ่อคิดในใจว่า "อีกแล้วเจ้าเด็กคนนี้ร้านใครหว่า บุหรี่ก็บุหรี่เรา เจ้าเด็กคนนี้นี่มันแสนจะหาเรื่อง" แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทำให้พ่อไม่กล้าสูบบุหรี่ในร้านอีกเลย
แม่บอกว่าแม่มาร้านนานจนสังเกตว่า พ่อจะเหงื่อออกเหม็นเวลาเข้าร้านจึงถามพ่อว่า"มาที่ร้านนี้ยังไงเดินมารึ เหม็นมาเชียว"
"เดินมาสิ" พ่อตอบ
"โตแล้ว การงานก็ดี ทำไมไม่ซื้อรถขับ" แม่ถามพ่อในตอนนั้น พ่อก็ไม่ได้ตอบว่าอะไรเพราะแม่ถามแบบไม่สนคำตอบ
แต่ต่อมาวันรุ่งขึ้น พ่อขับรถมาที่ร้านเป็นเปอร์โยสีน้ำตาลทองๆเป็นรถมือสอง มาจอดหน้าร้านวีดีโอ
"รถเฮียเหรอ" แม่ถาม "ใช่เพิ่งซื้อมา สวยไหม" พ่อถามอย่างภูมิใจในสายตาที่เลือก
"สีแก่เหมือนเจ้าของรถเลย" แม่ตอบทันควัน พ่อว่าพ่ออึ้งไปเลยนึกในใจว่า "ปากหรือนี่ เจ้าเด็กคนนี้มันช่างพูดจาตรงเผง ไม่สนคนฟังเลย ว่ารถไม่พอว่าตูอีก"พ่อว่า
วันรุ่งขึ้นพ่อไปเปลี่ยนรถมาใหม่เป็น BMW สีขาวสองประตู คราวนี้ขับไปที่ร้านอีก วันนั้นเป็นวันเสาร์
"เป็นไงคันนี้" พ่อถาม
"รถดูดีขึ้น แต่เจ้าของรถยังแก่อยู่ดี" แม่ว่า
แล้วก็บอกว่า "มานี่ ตามมา"
พ่อก็เดินตามไปก็ไม่รู้หรอกว่า เด็กคนนี้จะพาไปไหน แต่ก็เดินตามไป วันนั้นแม่พาพ่อไปร้านตัดผมวัยรุ่นแถวๆนั้น พอเข้าไปก็จัดการสั่งช่างว่า "ตัดผมรองทรงธรรมดานะ ไถท้ายทอยด้วย "
พ่อก็จำใจไปนั่งที่เก้าอี้ตัดผม พ่อนึกในใจว่า
"ดูเจ้าเด็กคนนี้มันยุ่งกะหัวตู ไม่สนเลยว่าเจ้าของหัวนี่จะยินยอมไหม"
แต่แม่ก็นั่งคอยจนพ่อตัดเสร็จ พอช่างตัดเสร็จแม่ก็ยิ้มพอใจ ตอนออกจากร้านก็บอกกับพ่อว่า
"ค่อยดูดีหน่อย ไม่งั้นแก่ชมัด"
พอเข้าร้านเด็กในร้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า"โหเฮียหนุ่มขึ้นนะเนี่ย" แม่ก็พูดแค่ว่า "เนอะ"
วันนั้นพ่อขับรถไปส่งแม่ที่บ้านที่อยู่ห่างแค่ฟุตบาตเดียว แม่จึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่นั่งรถพ่อเลย
หลังจากวันนั้นพ่อก็คุ้นเคยกับแม่โดยเป็นครูสอนการบ้านให้ ส่วนแม่ก็ทำงานโดยรับแปลระบบบัญชีที่พ่อวางระบบจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ และแม่ก็กลายเป็นผู้ช่วยของพ่อตั้งแต่ยังเรียนอยู่แค่ปีหนึ่งเท่านั้นเอง
แม่เล่าว่า "พ่อนั้นเชยๆ เคยซื้อดอกไม้มาให้เป็นดอกกุหลาบดอกเดียวห่อด้วยพลาสติก บ้างก็เป็นดอกกุหลาบหนูเป็นช่อๆเหมือนเก็บมา แม่ถามก็ไม่บอกว่าเก็บมาจากไหน แม่ก็คิดว่าคงเก็บๆตามบ้านลูกค้ามาแน่ๆเลย แม่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะคิดว่า อย่างเฮียคนนี้ซื่อๆเชยๆ รู้จักเอาดอกไม้มาฝากก็ดีแล้วมั้ง ตอนหลังมารู้ว่า ดอกไม้ที่ได้รับมาตลอดเพราะมีเด็กมาขายตามสี่แยกเวลาติดไฟแดงนั้นเอง เพราะวันหนึ่งแม่นั่งรถไปทานข้าวกับพ่อแล้วผ่านแยกไฟแดงจึงเห็นเด็กขายดอกไม้เอาดอกไม้มาขายพ่อ
เลยถึงบ้างอ้อ "สงสัยติดไฟแดงย่านนี้ประจำ" นี่แหละพ่อของหนู จีบสาวเป็นที่ไหนเล่า
แม่เล่าว่าแม่ก็ไม่ได้คิดชอบอะไร สนิทก็แค่แบบเด็กกับผู้ใหญ่ แต่ก็แต่งงานกันเพราะพ่อขอแต่งงานเท่านั้นเอง"และเพราะแม้พ่อจะขี้เหนียวกับใครแต่ไม่เคยเป็นกับแม่เลย" แม่บอก
"พ่อซื้อหนังสือเรียนราคาแพงๆที่แม่ไม่มีให้ตลอดที่เรียนอยู่"แม่พูดอย่างเศร้าๆ
เพราะแม่เคยเล่าว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม่ไม่มีหนังสือเรียน เพราะหนังสือมันแพงมาก ที่บ้านแม่ไม่เคยซื้อหนังสือให้เลยสักเล่มเดียว แม่ไม่มีเงินพอซื้อหนังสือ ได้แต่ขอจากรุ่นพี่บ้าง ขอยืมเพื่อนสนิท คือ พี่แป้นเพื่อนรักของแม่อ่าน จนกระทั่งแยกย้ายคณะกันไปเรียนแม่ก็ไม่มีหนังสือเรียนอีกเลย พ่อจึงเป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลแม่ตลอดมา
ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับพ่อก็แค่อยากหนีชีวิตที่เป็นอยู่ และที่สำคัญเชื่อว่า พ่อของฉันเป็นคนดี
พ่อมาขอแต่งงานซื้อเรือนหอให้ก่อนวันหมั้น พ่อกับแม่ยังช่วยทาสีบ้านกันอยู่เลย เพราะความขี้งกของพ่อ ไปจ้างช่างที่ราคาถูก พอช่างรับเงินแล้วก็ทำพื้นบ้านเปื้อนไปด้วยสีไปหมด แล้วยังทิ้งงานไม่ทำต่อให้เสร็จ เบิกเงินแล้วก็ทิ้งงานหนีไปเลย กลายเป็นว่าพ่อกับแม่ต้องมานั่งทาสีบ้านเอง พื้นที่เปื้อนก็ล้างไม่ออก จนต้องให้ร้านทำพรมมาปูพรมหมดทั้งหลัง กลายเป็นว่าบ้านของเราบุด้วยพรมอ่อนนุ่มไปหมด
พอถึงวันแต่งงาน แม่ว่า แม่ร้องไห้ในวันแต่งงาน เกิดไม่อยากแต่ง เพราะพอรู้จักญาติพี่น้องของพ่อที่พูดกันแต่ภาษาจีน ก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นโดดเดี่ยวนัก จนเพื่อนๆของแม่ที่มางานมาปลอบใจกัน
แต่ก็ต้องแต่งต่อไปในเมื่อตัดสินใจแล้ว
แม่ยังบอกอีกว่าแม่แต่งงานเหมือนไม่ได้แต่ง พ่อทำงานๆๆๆๆไม่เคยทานข้าวด้วยกันสักมื้อ จนเกิดเหตุพฤษภาทมิฬแล้วย้ายการประท้วงไปแถวรามคำแหงแม่จึงย้ายไปด๔การประท้วงอย่างใกล้ชิด แม่จึงหอบผ้ากลับบ้านที่หลังรามฯ แล้วไม่กลับมาอีกเลย พ่อไปตามก็ไม่กลับจนพ่อต้องย้ายไปอยู่บ้านที่หลังรามฯของแม่แทน
แล้วแม่ก็มีฉัน.......เป็นเพื่อน
นี่แหละคือเรื่องราวย่อๆก่อนที่จะมาเป็นพ่อฉัน
........................................


จากนั้นพ่อก็ยังเป็นเหมือนเดิม ทำงาน ขยายกิจการจนไม่มีเวลาพักผ่อน เคลียดอยู่กับงานตัวเลขและการลงทุน พ่อกลับมาบ้านสิ่งที่ได้ยินคือจะถามแม่ว่า "วันนี้ร้านได้เท่าไหร่" ไม่มีคำถามว่าลูกเป็นไง แม่เป็นอย่างไร ทานข้าวหรือยัง นี่แหละพ่อฉัน
ตอนนั้นพ่อมีรายได้เดือนละสองแสนได้ แม่เคยทะเลาะกับพ่อและบอกว่า"ขอเวลาให้ฉันและลูกบ้างได้ไหม"
"ฉันไม่ได้ต้องการใช้เงินถึงเดือนละสองแสน ขอแค่แสนเดียวแล้วขอเวลาของครอบครัวแทนได้ไหม"
นี่คือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่แม่เรียกร้องกับพ่อตลอดเวลา และแม่มักจะร้องไห้อย่างน่าสงสาร
แต่...............พ่อฉันไม่เคยให้ได้เลย
หากแม่บอกว่า "ไปทำงานต่างจังหวัด ไม่เห็นมีของฝากเลย" พ่อก็จะกลับมาพร้อมของฝากมากมายก่ายกองเช่นไปตรวจโรงงานกระเป๋า ก็จะมีกระเป๋ามาฝากประมาณสิบกว่าใบ จนแม่ถามว่า"ซื้อมาไมมากมาย"
"อ้าวก็ไม่รู้ว่าจะชอบแบบไหน ก็ซื้อมาหมดแหละ" พ่อตอบ และกระเป๋าทั้งหมดที่พ่อซื้อมาแม่ก็ไม่เคยใช้เลยเพราะไม่ชอบสักใบ แม่ฉันชอบเรียบๆแต่พ่อชอบแบบมีทองๆแนวจีนจ๋า พ่อฉันทำงานมากโดยไม่เคยสนใจว่า แม่ฉันหรือลูกชอบอะไร สนใจอะไร พ่อมีแต่งานและเงิน และคิดว่า เมื่อมีเงิน ปัญหาจะหมดไปได้
ตอนที่พ่อเริ่มเป็นโรค ALS ฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อายุได้แปดปี น้องชายคนกลางอายุได้ 6 ปี อยู่ฉันประถม 1 ส่วนน้องเล็กเรียนอยู่อนุบาล 1 น้องของฉันสองคนเรียนเก่ง น้องชายฉันสอบได้ที่ 1 น้องเล็กก็ได้ที่ 2 ส่วนฉันก็มักได้อยู่ในอันดับไม่เกินที่ 5 เสมอๆ
พอนึกถึงน้องชายของฉัน "น้องฉลาม" มีเรื่องเล่าให้ฟังอยู่เรื่องหนึ่งคือ น้องฉลามนั้นเป็นน้องชายที่หน้าตาน่ารักทีเดียว เหมือนอาเสี่ยน้องแก้มแดง สมัยนั้นน้องฉลามอยากขึ้นเครื่องบินมาก แม่ฉันเลยบอกว่า "หากสอบได้ที่ 1 จะพาไปขึ้นเครื่องบิน" ในปีนั้น น้องฉลามดันสอบได้ที่หนึ่งเสียจริงๆ แม่เลยต้องทำตามคำพูด แม่แอบพาน้องไปขึ้นเครื่องบินในตอนสายๆวันหนึ่ง แม่ฉันผู้เป็นคนหลงทางเป็นชีวิตจิตใจ ไม่เคยเดินทางไปไหนเลยแม้ในกรุงเทพก็มักไปกับพ่อและเพื่อนสนิท แม่คิดว่าจะพาน้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เพราะเป็นต่างจังหวัดแห่งเดียวที่แม่เคยไปตอนทำงาน แม่เล่าว่า แม่โทรไปหาพี่แป้นเพื่อนสนิท เล่าให้พี่แป้นฟังว่ากำลังจะพาลูกชายตัวแสบไปขึ้นเครื่องบิน ตอนนั้นแม่ก็คิดว่า ขึ้นไปถึงแล้วก็ซื้อตั๋วกลับแค่นั้นเอง พี่แป้นเพื่อนรักของแม่ฉันก็แนะว่าไปทำไมที่เชียงใหม่ ไปภูเก็ตสิ แล้วพี่แป้นก็ฝากฝังให้พี่อู๊ด น้องชาย ไปรับแม่กับน้องฉลามที่สนามบิน
น้องของฉันกลับมาเล่าอย่างตื่นเต้นว่า "เครื่องบินลำใหญ่ๆ ได้ไปภูเก็ตแฟนตาซีด้วย พี่อู๊ดพาไปเล่นเกมส์"
แม่ไปบ้านพี่แป้นก่อน ไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของพี่แป้น ที่พวกเราเรียกว่า ป๋ากะมะ ตอนน้องฉลามเที่ยวเสร็จแล้วจะกลับบ้าน ป๋าพี่แป้นถามน้องชายว่า "สนุกไหมมาเที่ยวภูเก็ต"
น้องชายฉันก็ตอบว่า "สนุกครับ พรุ่งนี้จะมาใหม่ จะชวนพี่พลอยกับน้องเล็กมาด้วย"
ป๊าและทุกคนที่ได้ฟังเลยหัวเราะกันใหญ่แล้วถามต่อว่า "ภูเก็ตไกลไหม"
"ไม่ครับ แป๊บเดียวเอง" น้องชายตอบ ผู้ใหญ่ทุกคนก็ยิ้มและหัวเราะกันยกใหญ่
นี่แหละน้องฉัน สมัยนั้นน้องก็ยังเด็กมา ไม่เข้าใจว่ามันไกลแต่เพราะนั่งเครื่องบินเลยใกล้ต่างหาก
น้องชายฉันคนนี้ต่อมาพ่อฉันเปลี่ยนชื่อเป็น "น้องเยี่ยม" เพราะพ่อบอกว่า อยากให้น้องเป็นเยี่ยมในทุกๆเรื่อง น้องเยี่ยมก็เลยเยี่ยมสมกับที่พ่อต้องการ น้องชายฉันเป็นเยี่ยมด้านกีฬาอย่างโดดเด่น จะจับจะเล่นอะไรก็เป็นไวมาก คิดดูนะคะ ตอนฉันประถมปีที่6 น้องชายฉันประถม4 ฉันตัวโตครูพละอยากให้เล่นบาสเกตบอล ขนาดสอนให้ฟรีหลังเลิกเรียน ส่วนน้องชายประถม2 ตัวนิดเดียวเอง แม่ต้องไปขอร้องให้ครูพละสอนเพราะน้องชายอยากเรียนมาก ไปฝึกแป๊บเดียวน้องชายจากเริ่มต้นได้ขึ้นไปอยู่ระดับสาม ส่วนฉันยังอยู่ระดับเริ่มเรียนอยู่เลย ชูทลูกบาสยี่สิบลูกไม่เข้าสักลูกเดียว แต่น้องชายตัวนิดเดียวเข้าตั้งห้าลูก และกีฬาทุกประเภทน้องชายก็เล่นได้ดีหมดทุกชนิด โดยเฉพาะว่ายน้ำเร็วปานฉลามเลยทีเดียว เคยได้รับเหรียญมาก็หลายเหรียญ
พ่อรักน้องชายมากเลย ฉันรู้ดีเพราะ ฉันเคยประเดิมเอาค้อนเด็กเล่นไปทุบหัวน้องชายตอนน้องอายุครบหนึ่งเดือนแถมเป็นวันตรุษจีนพอดิบพอดี แต่ตอนนั้นฉันสองขวบ ฉันก็เลยโดนพ่อไล่ออกจากบ้านตั้งแต่อายุได้สองขวบ นึกแล้วก็ขำ จำได้รางๆว่า ตอนนั้นน้องชายฉันร้องไห้ ฉันก็คิดว่าเอาค้อนตีหัวแล้วคงหยุดร้อง แต่หัวเด็กทารกยังอ่อนเลยเลือดซึม เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าปล่อยเด็กเล็กๆอยู่ด้วยกันตามลำพังนะคะ

ส่วน"น้องเล็ก" ตอนพ่อป่วยอยู่อนุบาลหนึ่ง น้องเล็กคนนี้ ชื่อเล็กเพราะเป็นลุกคนสุดท้าย ฉลาดมาก ชอบลักจำจากที่พี่ๆท่องหนังสือ สมัยน้องเล็กยังไม่เข้าโรงเรียน พวกเราท่องศัพท์ในรถทุกวัน ตอนนั้นฉันชอบจำคำว่า Building ที่แปลว่าตึกไม่ได้ พ่อถามฉันหลายรอบฉันก็ลืมได้ทุกวัน
แต่น้องเล็กคงรำคาญหนักก็พูดว่า"ก็แปลว่าตึกยังไงเล่าพี่พลอย" เล่นเอาพวกเราต้องหันไปมองน้องกัน
น้องเล็กเป็นเด็กที่สร้างความขำได้บ่อย อย่างเช่นตอนที่จะไปสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนอนุบาล
เราต้องมีการซ้อมกันก่อน ฉันก็ถามน้องเล็กว่า "What is your name?"
"My name is Small" เล็กตอบ "เล็กทำไมตอบอย่างนี้ละ พี่พลอยสอนแล้วไง" ฉันดุ
"อ้าวพี่พลอย ก็ Small มันแปลว่าเล็กไม่ใช่เหรอ เป็นภาษาอังกฤษก็ต้องแปลจากเล็กเป็นSmallสิ"เล็กเถียง
นี่แหละน้องสาวของฉัน แม่เลยต้องอธิบายว่า "ไม่ต้องแปลชื่อ"
พอคำถามต่อไป "Where do you come from?" ฉันถามน้องเล็ก
"I come from NoteBookPen." เล็กตอบ
"หาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรกันเล็ก" พวกเราร้องออกมาพร้อมๆกัน
"อ้าวก็บ้านเราอยู่สมุดปากกาไม่ใช่เหรอ" เล็กแย้ง "สมุดก็NoteBook ปากกาก็Pen ไม่ถูกหรือคะ"
บ้านฉันอยู่สมุทรปราการค่ะ แต่ว่าน้องเล็กคงไม่เข้าใจฟังเพี้ยนไปเพราะน้องแค่สามขวบ แกได้ยินสมุทรปราการเป็นสมุดปากกา พอถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ น้องของฉันก็เลยแปลมันหมดทุกอย่าง
สมัยไปโรงเรียนวันแรกน้องเล็กก็ไม่เคยร้องไห้งอแงเหมือนเด็กทั่วไป น้องเล็กอยากไปโรงเรียนแต่พอวันที่สองเป็นมีเรื่อง "เล็กไม่อยากไปโรงเรียน" น้องเล็กประกาศลั่น
"อ้าว ทำไมละคะ เมื่อวานก็ไม่เห็นงอแงเลยนี่นาเล็ก" แม่ฉันถาม
"โรงเรียนไม่เห็นสนุกนี่คะ มีแต่เพื่อนๆแข่งร้องไห้กัน เล็กเลยไม่อยากไปแล้ว" เล็กบอกเหตุผล ที่ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว
เห็นไหมละคะน้องฉัน มีเหตุผลดีซะด้วย
พอไปโรงเรียนเล็กก็มีปัญหามาถามแม่อีกจนได้ เพื่อนน้องเล็กบางคนมีปานแดง เล็กก็กลับถามว่า
"แม่ขา ปานมีกี่สีคะ" แม่ฉันก็นับตามที่เคยเห็น "สีดำ สีแดง สีเขียว สามสีนะที่แม่เคยเห็น"แม่ตอบ
"แล้วปานกลางล่ะคะสีอะไร" เล็กถามต่อ แล้วแม่ฉันจะรู้ไหมเนี่ย
นี่แหละน้องเล็กของฉัน ผู้ซึ่งชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์อย่างโดดเด่น เหตุผลคือ เขียนน้อยดี
แต่ชอบอ่านหนังสือวิทยาศาตร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เวลาอ่านหนังสือวิทยาศาตร์นะคะเรียกไปเหอะไม่ได้ยินหรอก สมาธิแน่วแน่ น้องเล็กสนใจวิทยาศาตร์มาก แต่ชอบคณิตศาสตร์เพราะไม่ต้องเขียนคำตอบมาก เพราะน้องฉันชอบเขียนหนังสือแบบที่ต้องส่องกระจกแล้วจึงจะอ่านรู้เรื่องทั้งภาษาไทยและอังกฤษ น้องเล็กมักแก้ปัญหาได้ดีมาก เช่น ตอนหลงทางในห้าง เวลาคนมากๆ ตอนนั้นเราไปห้างกันหลายคน เลยไม่รู้ว่าใครจูงใคร คนแยะมากเบียดกันแน่น มีคนที่จูงน้องเล็กปล่อยมือน้อง น้องเล็กคลาดกับคนจูงก็ยืนเฉยๆ แล้วแหกปากตะโกนลั่นไม่ไปไหนว่า "แม่จ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เสียงดังจนแม่ได้ยิน แม่จำเสียงน้องได้เลยสงสัยหันไปถามคุณป้า คุณยายว่าจูงน้องเล็กอยู่หรือเปล่า ปรากฎว่าไม่มีใครจูงเลย แม่ตามเสียงเรียกไป อ้อ..!!!ลืมไป น้องชายฉันก็เคยหลงทางในห้างด้วยนะคะ เหตุเพราะแม่พาน้องชายไปในร้านทำผมที่แม่ไปสระผม ที่ร้านสระผมมีที่กั้นเวลาลูกค้าสระผม น้องชายชั้นเล่นเพลินเงยหน้ามาไม่เห็นแม่ จึงเดินตามหาไปทั่วพอไม่เจอ น้องชายก็ไปหาประชาสัมพันธ์และบอกเบอร์โทรที่บ้านตามพ่อมารับกลับบ้าน ปล่อยให้แม่วิ่งหาทั่วห้าง ตอนนั้นน้องเยี่ยมอายุ5ขวบเอง

เล่าเรื่องน้องทั้งสองมาหมดแล้ว คราวนี้ก็เป็นเรื่องของฉันบ้าง ฉันชื่อ"พลอย" ซึ่งเกือบมีชื่อว่า "จุ่นศรี" เพราะแม่ว่า อยากทำให้ท้องของแม่จุ่นนักตอนตั้งท้อง เลยจะแกล้งตั้งชื่อลูกว่า จุ่นศรี กลั่นแกล้งที่ทำให้ท้องแม่ไม่สวยและสะดือจุ่น ตอนฉันเกิดมีน้ำหนักแรกเกิดคือหนึ่งกิโลสองขีด เหตุผลที่หนักแค่นี้เพราะ แม่ฉันขี้เกียจอุ้มท้องแล้ว แม่ครรภ์เป็นพิษปวดท้องเสมอๆ และท้องแม่ไม่โต ทำให้ฉันถีบแม่แรงหรือเวลาขยับตัวในท้องมันทำให้แม่อึดอัด เพราะเวลาฉันขยับตัวท้องแม่จะมีปุ่มๆมากมาย แม่เล่าให้ฟังนะคะ
จนแม่ไปถามหมอว่า "หมออัลตร้าซาวแน่แล้วนะ ลูกในท้องไม่มีแขนขาเกินสองข้าง"
แล้วแม่ก็จะถามหมอทุกครั้งว่า "หมอคะ ดูดีๆนะคะ ว่าลูกในท้องมีแค่สองมือสองเท้า"
แล้วจากนั้นแม่ก็เร่งวันคืนจนหมอรำคาญผ่าฉันออกมาก่อนกำหนด แล้วฉันก็กำเนิดมา แรกเกิดเหมือนอีทีตัวเหี่ยวย่นผอมแห้ง ตาโตเบิกโพรง แขนเหมือนปีกไก่ยังไงยังงั้นเลย ตามที่เห็นจากรูปถ่ายในวัยเด็ก
แม่เล่าว่า"ตอนแม่ผ่าหนูออกมานะ มีคนมาเยี่ยมตามปกติ ญาติๆน่ะแหละ แต่ไม่มีใครพูดหรือถามถึงเด็กที่เพิ่งเกิดเลยสักคนเดียว ตอนนั้นแม่คิดว่า "หนึ่งลูกตาย สองลูกพิการ สามลูกปัญญาอ่อน" ดูนะแม่ฉัน ช่างคิดได้
แม่บอกว่า "ตอนแม่ท้องแม่ก็ร้องไห้เสียใจ เพราะแม่เพิ่งจบจากมหาลัยไม่นาน มีลูกเร็วเพราะคุมกำเนิดไม่เป็น ไม่มีคนแนะนำ แต่พ่ออยากมีลูกมากๆด้วย เนื่องจากพ่ออายุห่างกับแม่มาก แม่ร้องไห้เพราะไม่รู้จะเลี้ยงลูกอย่างไร ตอนที่ทราบว่าท้อง แม่ไม่เคยเลี้ยงเด็กเลย แถมไม่ชอบเด็กอีกต่างหาก" แต่คุณพ่อ ก็คือคุณตาของฉันบอกว่า จะเลี้ยงให้เลยหยุดร้องไห้ได้
ฉันเกิดมาตอนพ่อมีฐานะ แม่ซื้อเสื้อผ้าสวยงามให้ฉันเหมือนเล่นตุ๊กตา เสื้อผ้าของฉันจะสวยงาม มีหมวก ผ้ากันเปื้อน ถุงเท้ารองเท้าเข้าชุด แม่ไม่ได้คิดฉันเป็นลูกอะไรเท่าไหร่ แต่คิดว่าเป็นตุ๊กตาแน่เลย ตั้งแต่ฉันจำได้ เราแม่ลูกเหมือนเพื่อนกันมากกว่า แม่เล่าว่าฉันเลี้ยงยากเพราะมีปัญหาเรื่องการกินนม ตำราการเลี้ยงลูกน่ะต้องปิดไปเลย ไม่สามารถใช้ได้เลย ฉันกินนำครึ่งออนใช้เวลาสามชั่วโมง กินเสร็จอ๊วกอีกต่างหาก
"หากทำตามตำราล่ะก็ ลูกคงต้องกินทั้งวันคืน" แม่ว่า
ฉันทำวีรกรรมไว้มากมายในตอนเด็ก เช่น ตอนอนุบาลหนึ่ง เคยเอาลูกปัดเล็กๆใส่หูเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนสนิทฉันนอนอยู่ข้างกัน ชื่อ "เนย" ฉันเก็บลูกปัดสวยๆได้ ตอนนั้นนึกไปถึงหนังแขกเขามีลูกปัดสวยๆใส่ที่จมูกนึกอยากให้เพื่อนสวยแบบหนังแขกบ้าง
จึงบอกเนยว่า "เนยเอาลูกปัดใส่ในจมูกนะ"
ตอนนั้นคิดว่าต้องใส่ในจมูกมันถึงจะงอกออกมาเป็นแบบในหนังแขก แต่เนยสิบอกว่า
"ไม่ได้พลอยเดี๋ยวเนยหายใจไม่ออก เอาใส่ที่หูดีกว่า" แล้วฉันก็เอาลูกปัดใส่ในหูเนยแทน
แล้วเนยก็ลืมไปเลย กลับถึงบ้านตอนค่ำเนยปวดหู แม่ของเนยเลยเอาสำลีพันแล้วแคะหูให้เนย แคะจนลูกปัดลึกไปถึงแก้วหู เนยปวดหูหนังขึ้นจนพ่อแม่เนยต้องเอาเนยส่งโรงพยาบายถึงสามโรงพยาบาลเพื่อหาโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ เพราะเนยเพิ่งนึกได้ว่ามีลูกปัดอยู่ในหูและเพิ่งบอกแม่ นี่แหละวีรกรรมของฉัน
ฉันมีพี่เลี้ยงประจำตัว มีคนรับใช้ จนโต ฉันไปไหนกับแม่เสมอ มีครั้งหนึ่งฉันสี่ขวบแม่ไปเซ็นทรัลมิดไนท์เซลเอาฉันไปด้วย แม่เดินเพลินไปหน่อย มือหนึ่งถือถุง มือหนึ่งจูงลูก เดินไปเดินมาลูกล้มบ่อยๆ
แม่ก็ดุว่า "เดินดีๆสิพลอย" แล้วก็จูงเดินต่อไป แล้วฉันก็เดินล้มอีก
แม่เล่าว่าคราวนี้แม่นึกได้ จึงดูนาฬิกา "อ้าวจะเที่ยงคืนแล้ว" จึงก้มมาดูลูก เห็นลูกหลับตาเดิน ที่จริงคือลูกหลับไปแล้ว แม่ช๊อปปิ้งจนลืมดูเวลา ที่ล้มก็เพราะลูกหลับแต่ฝืนเดินไม่งอแง แม่บอกว่าครั้งนั้นรู้สึกผิดจับใจที่ดุลูก ก้มไปอุ้มลูกพาดบ่า มืออีกมือถือถุงและพากลับบ้าน
แม่บอกว่า ฉันไม่เคยเป็นเด็กร้องเอาของเล่นใดใด สมัยเด็กๆตอนวัยหัดพูด ฉันพูดไม่ได้เลยพูดช้ากว่าเด็กทั่วๆไป ก็ฉันจะพูดได้อย่างไรเล่าคะ วันๆฉันอยู่กับแม่แค่สองคนในบ้าน แม่ฉันชอบอ่านหนังสือ และไม่พูด ไม่ชอบดูทีวี หรือไม่ก็นั่งตรวจบัญชี ฉันจึงไม่รู้ภาษาเลย แต่พอแม่เอาฉันไปฝากที่บ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด ตอนแม่ไปทำงาน กลับมาถึงลูกเรียกแม่ได้เลย
พอฉันเข้าโรงเรียนก็เป็นเด็กที่เรียนดีช่วยเหลือตัวเองได้ดี เพราะด้วยความที่แม่ฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นเลยมักสอนให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองเสมอเท่าที่วัยเด็กอย่างฉันจะสามารถทำได้ เช่น หากฉี่เลอะพื้น ไม่ไปเข้าห้องน้ำเองจะให้เช็ดเอง แม้แม่จะมาเช็ดอีกรอบก็ตามแต่จะให้เช็ดเองก่อน จนฉันไม่เคยฉี่เรี่ยราด หรือนอนฉี่รดที่นอน แม่จะสอนให้พับผ้าเช่นกางเกงชั้นในใส่ตามล็อคให้เรียบร้อย จัดหนังสือ ดินสอสีของ เหลาดินสอของตัวเองเป็นต้น หากทานอาหารหก ก็ต้องเช็ดเองด้วย แล้วแม่จะมาเช็ดต่ออีกที แม่ไม่ชอบป้อนข้าวเด็ก ฉะนั้นแม่จะมีเก้าอี้เด็กแล้วให้ฉันละเลงกินเองตามความสามารถในวัยที่จับช้อนได้แล้ว ลูกของแม่ไม่มีคำว่าเลือกทาน แม่สอนให้ทานผักแต่เด็กๆ ทานอาหารเหมือนคนทั่วๆไป แม่บอกว่าหัดทานทุกอย่างที่คนกินได้ อยู่ที่ไหนจะได้ไม่ลำบาก เวลาเข้าครัว แม่จะให้ลูกคอยเด็กผัก พอโตหน่อยก็หัดหั่น ลูกๆทุกคนของแม่ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะต้องทำได้หมด แม่ว่าหญิงหรือชายก็ควรทำเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องช่วยเหลือตัวเองเล็กๆน้อยๆเป็น จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น
แม่ว่า วิธีการเลี้ยงลูกของแม่คือ "เลี้ยงอย่างแม่ขี้เกียจเลี้ยงลูก คือ เลี้ยงให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด แล้วคนเป็นแม่จะสบาย" นี่แหละคือแม่ฉัน
ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ถูกเลี้ยงมาค่อนข้างดี ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ไม่เคยสมบุกสมบันยกเว้นตอนเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องทำงานกับเรียนไปด้วย จบมาก็ทำงานกับพ่อเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยขับรถ ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบสมาคมกับใคร เก็บตัว และไม่ชอบเลี้ยงเด็ก
แต่วันนี้แม่ต้องรับภาระเพียงคนเดียวกับลูกสามคน แม่เป็นคนดุ เด็ดขาด
กฎของแม่คือ "ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และลูกๆจะไม่โดนดุเลย"
หลักการสอนคือ "สอนให้ลูกคิดให้เป็น คิดดี ทำดี อนาคตอยากเป็นอะไรต้องวาดฝันและทำให้ถึงฝันด้วยตัวเอง เพราะแม่ไม่สามารถเลี้ยงพวกหนูจนตายได้"
แม่ไม่ใช่แม่ประเภทที่ว่า ฉันรักลูกนะ ลูกอยากได้อะไรต้องหาให้หมด ถ้าแบบนั้นล่ะก็ไม่ใช่แม่ฉันแน่เลย
เพราะหากฉันอยากได้บ้าน แม่จะบอกว่า "เรียนเก่งๆ จะได้มีงานดีๆทำ ไม่ลำบาก ทำงานเก็บเงินซื้อบ้านได้แน่"
แม่ฉันไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรเพื่อตัวเองเลย มีแต่ของลูกทั้งนั้นเท่าที่รู้จักแม่มา แม่ไม่ชอบแสดงออกว่ารักลูกมากมาย แต่ฉันรู้ว่าแม่รัก แม่เลี้ยงลูกอย่างเพื่อน หากเราจะไปไหนบอกแม่ อยากเล่นอะไรก็บอกแม่ แม่จะพาพวกเราไปเท่าที่ทำได้ เราสี่คน มีกินก็กินด้วยกัน อดก็อดด้วยกันเสมอมา ฉันรู้ว่าแม่เหนื่อยมากมายตอนพ่อฉันป่วยและทำงานไม่ได้ และพวกเราก็เล็กเกินกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้ นอกจากเป็นลูกที่ดี ตั้งใจเรียนแค่นั้นเอง
ที่จริงชีวิตพวกเราก็ค่อนข้างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่ง..........................





"โครม " เสียงดังจากในห้องน้ำ ทำให้ทุกคนในบ้านวิ่งมาดูกัน
ป๊ะป๊า จับกบเหรอ เสียงแม่ร้องถาม ขณะที่วิ่งมาดู และผลักประตูห้องน้ำเข้าไป
เสียงแม่เรียกบอกว่า
."พลอยๆๆ มาช่วยแม่หน่อย แม่ฉุดไม่ไหว"
พวกเราวิ่งเข้าไปช่วยพยุงพ่อให้ลุกขึ้น
พวกเราก็มีแม่ ฉัน ที่เรียนชั้นประถม 4 น้องชาย ชื่อ ฉลาม เรียนชั้น ประถม 2
น้องเล็ก อยู่ชั้นอนุบาล3 ช่วยกันสมานสามัคคี ฉุดพ่อขึ้นมาจากการล้มที่พื้นห้องน้ำ
แล้วพยุงเข้าไปพักในห้องนอน
แม่เอายามานวดๆให้ป๊า พวกเราก็ช่วยด้วย คนละไม้คนละมือ
แม่ถามพ่อว่า "ไปให้หมอดูหน่อยไหม"
"ไม่ต้องมั้ง" พ่อตอบ "แค่ล้มเองเดี๋ยวก็หาย ขาขัดๆนิดเดียวเอง"
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อล้ม และนั่นเป็นอาการเริ่มต้น ของโรค ALS เส้นประสาทไขสันหลังเสื่อมอย่างที่ไม่มีใครรู้เลย ว่านี่คือผลของโรคนี้ จนคร่าชีวิตพ่อฉันไป
ตอนนั้นพ่ออายุได้ 45 ปี ทำงานทางด้านวางระบบบัญชี และเปิดร้านวีดีโอ เป็นอาชีพเสริม พ่อเป็นคนขยัน ทำแต่งาน ออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กว่าจะกลับก็ตีสอง เสาร์อาทิตย์พ่อก็ไม่เคยพักเลย พ่อเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีบริษัทมากมาย ได้รับความไว้วางใจ เพราะพ่อเป็นคนซื่อสัตย์ และขยัน รอบคอบ พ่อจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย
พ่อเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กของพ่อลำบาก ชีวิตตั้งแต่วัยรุ่นมาก็ทำแต่งาน พ่อเล่าว่าบ้านพ่อไฟไหม้ ต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยทางบ้าน เพื่อให้น้องคนอื่นๆได้เรียน พ่อจึงมาได้เรียนเมื่อโตแล้ว พ่อจึงมุมานะในการเรียนและการทำงานมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ พ่อจบบัญชีมาก็มุ่งจะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี จากนั้นเมื่อพ่อเก่งกล้าจนเป็นผู้วางระบบบัญชี พ่อได้เป็นที่ปรึกษาบริษัทต่างๆมากมาย พ่อก็ไม่หยุดแค่นั้น พ่อเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในตอนเย็นๆ พ่อเปิดร้านวีดีโอหลายร้าน ร้านอาหาร และยังชอบซื้อบ้านไว้ขาย พ่อไม่เคยมีวันหยุดมีแต่วันทำงาน พ่อไม่เคยหัวเราะ จุดหมายของพ่อที่บอกเราคือ พ่ออยากมีเงิน 100ล้าน อยากรวย พ่อจะทำการค้าโดยลงทุนหมดตัว พ่อบอกว่าคนเราหากจะตั้งใจทำอะไร ก็ลงให้มันถึงที่สุดไปเลย ซึ่งเรื่องนี้ต่างกับแม่เสมอ แต่แม่ไม่เคยทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้ แม่ว่า เงินของเขาอยากทำอะไรทำไป อย่ามาเอาของเราไปก็แล้วกัน แต่แม่ก็ใจอ่อนให้พ่อเอาบ้านไปจำนองจนได้ พ่อฉันนั้นมักไม่มีเวลาให้ครอบครัว หากแม่ต่อว่า คำตัดสินของพ่อก็คือ ทำบัตรเครดิตให้ จนแม่เองเบื่อที่จะซื้ออะไร พ่อฉันเป็นพวกไม่เข้าใจจิตใจของคน คิดว่าเงินคือทางออกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะไม่เคยเข้าใจจิตใจแม่ฉันเลย ( ฉันไม่ได้ตำหนิพ่อนะคะ แค่อยากถ่ายทอดความจริงในมุมมองที่ลูกคนหนึ่งมองเท่านั้น เพื่อให้คุณพ่อท่านอื่นๆที่ได้อ่านได้เข้าใจผู้หญิงที่เป็นภรรยา หรือลูกของคุณเองด้วย)
พ่อของฉันเป็นคนประหยัดสุดๆ สมัยเปิดร้านและรู้จักกับแม่ใหม่ๆ แม่เล่าว่า พ่อไปทำงานโดยขึ้นรถเมล์ ทานข้าวเช้าที่บ้านตัวเอง ทานข้าวกลางวันที่บริษัท และกลับมาดูร้านที่หลังรามฯ ขึ้นรถเมล์มาตามเคยและเดินทะลุรามฯมาที่ร้านวีดีโอ และทานข้าวเย็นที่หลังรามซึ่งราคาถูกมาก และกลับบ้านด้วยรถเมล์ สองบาทไปคลองเตย แม่คำนวณว่าวันหนึ่งๆพ่อคงใช้เงินวันละห้าสิบบาทเท่านั้น มีลูกน้องมากมาย แต่ที่ร้านวีดีโอบอกว่าทุกเทศกาลทำงานกับพ่อมานาน ไม่มีเงินแต๊ะเอียหรือเลี้ยงข้าวลูกน้องเลย นี่แหละพ่อฉัน “ขยัน ประหยัด อดทน” สมเป็นพ่อตัวอย่างจริงๆ
ส่วนแม่ฉันตอนนั้นช่วยพ่อดูแลกิจการที่ร้านและรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกทุกๆคน พ่อกับแม่อายุห่างกันได้ 13 ปี ขนาดที่ใครๆคิดว่าแม่ของฉันเป็นลูกสาวคนโตก็บ่อยไป มีครั้งหนึ่งลูกค้าที่ร้านวีดีโอมายืนจีบแม่ แถมบอกกับพ่อฉันว่า
“เฮียนี่โชคดีจังนะครับ มีลูกสาวโตทันใช้” พ่อแทบสำลัก แต่แม่ขำๆ เพราะคงชินแล้วกับการโดนทักแบบนี้
หรืบางทีเราไปซื้อของเล่นกัน คนขายมาบอกแม่และฉันว่า “ไปบอกพ่อสิน้องให้ซื้อให้”
พวกเราจึงมีแต่แม่เป็นเพื่อนตลอดมา เพราะแม่เป็นคนที่พาลูกไปโรงเรียน ไปรับกลับบ้าน สอนหนังสือให้พวกเรา ทำอาหารให้ทาน และเล่นด้วยกันทุกๆอย่าง เรียกว่าแม่ไปไหน พวกเราก็ไปด้วย
แต่สำหรับพ่อ พ่อกลับบ้านตอนพวกเราหลับแล้ว ไปทำงานก็ตอนที่พวกเราไปโรงเรียนกันแล้ว เพราะเราจะออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า เผื่อรถติด เราเรียนที่คลองเตย แต่บ้านเราอยู่สำโรง ก็ไกลอยู่ นั่นคือชีวิตประจำวันของพวกเรา

แล้วเราก็ลืมเรื่องพ่อล้มกันไปเลย เพราะคิดว่า คงเหมือนพวกเราที่ล้มกันเป็นประจำ หายเจ็บเดี๋ยวก็หาย ไม่มีอะไรต้องวิตก แม่ก็ไม่ได้พูดถึง แค่ถามๆบ้างว่า ขาหายยังเท่านั้นเอง แล้วก็วางยาไว้ให้ทา

ผ่านไปสักเดือน พ่อก็บอกแม่ว่า ยังขาขัดๆอยู่เลย แม่เลยพาพ่อไปหาหมอ หมอก็ให้มาแค่ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบ และยาทา ซึ่งมันก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก และพ่อก็ยังเดินขาขัดๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บอะไรเลย

จนพ่อบอกกับแม่ว่า "สงสัยขาพ่อคงไม่เท่ากัน หรือไม่ก็รองเท้าสึก ส้นเท้าไม่เท่ากัน เลยทำให้เหมือนเดินขากะเพรกๆ "

"บ้า แล้วป๊ะป๊า" แม่ว่า

"ถ้าจะไม่เท่ากันแบบที่ป๊าว่า คงเดินกะเพรกมานานแล้วล่ะ ไมเพิ่งมาเป็น" แม่เถียง


แล้วพ่อแม่ฉันก็เริ่มเยงกัน ว่าด้วยเรื่อง ขาสั้นข้างยาวข้างซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการหกล้มของพ่อในระยะหลัง แล้วพ่อก้ไปร้านรองเท้า ตัดรองเท้าคู่ใหม่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หากคิดแบบนั้นก็ทำไป แค่รองเท้าใหม่คู่เดียว แต่อาการหกล้มของพ่อ ก็ยังเกิดขึ้นเสมอๆ พ่อก็ยังไม่มีอาการเจ็บตรงไหน แต่ขาก็ยังเดินขัดๆ จนล้มได้อยู่ดี

พ่อบอกว่า เหมือนขามันไม่ก้าวตามสั่ง

พอพ่อก้าวแล้วขามันก็ขัดแล้วก็ล้มลง