31/3/53

ตอนที่ 11 : ชีวิตกับความหวัง



ช่วงนี้พ่อของฉันดูมีกำลังวังชาขึ้น อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ได้ร้านที่ต้องการสมใจ มันคงเป็นแรงกระตุ้น

ผสมกับแรงจูงใจให้ชีวิตมีความหวังต่อไป

ร้านยังไม่ทันจะเปิด แม่คำนวณค่าใช้จ่ายและหนี้สิน แต่พ่อกลับคำนวณรายได้ ตั้งแต่ร้านเยี่ยมยังไม่เปิดกิจการ

" ป๊าทำไมชอบคิดแต่ว่าเปิดร้านมันจะต้องกำไรอย่างเดียว ไม่คิดว่าสมัยมันเปลี่ยนไป วีดีโอกำลังจะหมดยุค

ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะไปเล่นวีซีดีกัน ไม่คิดหรือว่า เราอาจขาดทุน ไม่คุ้มกับค่าปรับปรุงร้านที่ต้องลงทุนไป แค่ค่าดอกเบี้ยก็ไม่น่าจะคุ้มแล้วนะ" แม่ทักท้วงสีหน้าเปี่ยมสุข ที่มีหวังของพ่อ

" เฮียไม่เคยคำนวณอะไรพลาด วีซีดีคุณภาพไม่ดี ฝรั่งยังไม่ดูเลย คนรวยก็ข้ามไปดูดีวีดีกันหมด เชื่อสิ ไม่นานก็เลิกฮิต" พ่อของฉันเถียงอย่างมั่นใจ

แล้วก็ถึงวันที่ "ร้านเยี่ยมวีดีโอ " เปิดกิจการ

" ร้านเยี่ยมวีดีโอ" ตั้งอยู่แถวสะพานสี่ เลยสาธุประดิษฐ์ร้านเดิมไปแค่แยกเดียว อยู่บนอาคารค่อนข้างใหม่ เป็นตึกห้าชั้น สองห้องติดกัน ทาสีน้ำเงินขาวด้านนอกตึก มีป้ายไฟขนาดใหญ่หน้าร้าน ดูเด่นมาก

ผนังร้านภายในทาสีครีมอมส้ม ดูอบอุ่นและทันสมัย ประกอบกับชั้นวีดีโอสีเหลืองและขาว ทำให้ดูสะดุดตาสว่างไสว พื้นของร้านปูด้วยกระเบื้องยางสีเทาอ่อน แบ่งเป็นสองตอน ด้านหน้าวางวีดีโอภาพยนต์ต่างประเทศ วีดีโอจีน ไทย และการ์ตูน ที่ออกใหม่ๆ ไม่เกินหกเดือน แต่ชั้นสองของร้านจะเป็นวีดีโอที่สนุกเป็นเรื่องดีๆแต่ออกฉายนานแล้วและหนังจีนชุดมากมาย ทุกเรื่องที่มีเป็นวีดีโอ เรียกว่า ที่ไหนไม่มีเช่าแล้ว ที่นี่มีแน่นอน แต่ที่แตกต่างคือ ด้านล่างของร้านวีดีโอ แบ่งเป็นมุมเล็กๆ ให้บริการเช่าหนังสือการ์ตูนและนวนิยายด้วย เรียกว่า อะไรที่เป็นรายได้ พ่อของฉันก็เอาหมด พ่อยังคงรักษาคุณภาพของวีดีโอไว้เหมือนเคย แต่การรักษาคุณภาพนั้น มันทำให้เทปที่อัดเต็มร้าน ล้นไปหมด เพราะต้องใช้เทปใหม่อัดวีดีโอ ซึ่งร้านอื่นๆเขาจะอัดหนังใหม่ทับเรื่องที่ไม่มีคนดูแล้ว ทำให้ประหยัดต้นทุนได้ และสามารถอัดทับได้เรื่อยๆ หากเทปไม่เสีย เช่น ยับ ย้วย ขาด ขึ้นราเสียก่อน แต่ร้านของพ่อจะไม่ทำ ทำให้ต้นทุนร้านนั้นสูงกว่ามาก พ่อจะใช้เทปคุณภาพดี มันก็ทำให้มีราคาแพงกว่าคนอื่นอีกด้วย บางทีแม่ก็มองว่า เทปที่ไม่มีคนเช่าแต่วางรกร้านนี่ช่าง

ไม่คุ้มเลยจริงๆ เพราะม้วนวีดีโอมีขนาดใหญ่ เปลืองที่เก็บ บางเรื่องอัดเป็นร้อนม้วน เวลาคนไม่ดูแล้วก็กองเต็มร้าน จะมีจำนวนน้อยก็ไม่ได้ เพราะหนังชนโรงนั้น ความต้องการดูลูกค้าก็มีมากเวลาหนังออกเป็นวีดีโอใหม่ๆ คนก็แย่งกันเช่า หากไม่มีของให้เช่าลูกค้าก็หนีไปเช่าที่อื่น เผลอๆ ไม่กลับมาเช่าร้านเราอีกเลย

วันแรกของการสมัครสมาชิกร้าน ถึงแม้คนไม่มากมายเท่าที่ร้านสาธุฯ ที่เรียกว่าล้นหลาม แต่ก็ถือว่ามาก เพราะร้านเยี่ยมถือเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุดในย่านนั้น แม่ของฉันและพวกเราก็อดตื่นเต้นไม่ได้ คุณตาคุณยายก็มาจากชลบุรี อาม่า แม่ของพ่อ ก็มาจากคลองเตย ทุกๆคนล้วนลุ้นว่าจะมีคนเข้าร้านไหม และจะมีสมาชิกเท่าไหร่ในวันแรก แม่ไปตรวจดูความสะอาดและความเรียนร้อยของคอมพิวเตอร์ ฉันวางวีดีโอแต่เช้า ตลอดเวลาระหว่างเตรียมการเปิดร้าน แม่ต้องเป็นคนตีร์ชื่อหนัง ทำสต็อคหนัง ทำปก สติกเกอร์ ส่วนพนักงานก็ต้องอัดหนัง เช็คหนังที่อัดทุกม้วนเลยทีเดียว ส่วนพ่อฉันก็ไปทำงานกลางวันเหมือนเคย ดูๆไป ก็เหมือนแม่เปิดร้านมากกว่า เพราะคนทำคือแม่ฉันทั้งนั้น แม่ฉันยังหน้าตาเหนื่อยหน่าย แม่ไม่ยินดียินร้านกับร้านใหม่นี้ แต่แม่ก็ยังไปคอยต้อนรับลูกค้าที่มาสมัครสมาชิกร้าน ด้วยสีหน้าและถ้อยคำอ่อนหวานเหมือนเดิม พนักงานร้านเยี่ยม เครื่องแบบใส่กางเกงขายาว และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนสั้น ผูกเนคไท สีน้ำเงินมีลายการ์ตูรของวอลดิสนี่น่ารักๆ ดูทันสมัยลำลองกึ่งทางการ ดูทำให้ร้านของเรามีระดับขึ้นมาก ผนังร้านก็มีโปสเตอร์หนังสวยๆ ใส่กรอบตกแต่งผนังไว้ และยังมีเครื่องเสียงที่ต่อแบบโฮมเทียร์เตอร์ ทำให้เสียง

วีดีโอที่เปิดดูกระหึ่มเร้าใจ น่าเช่าเรื่องนั้นๆยิ่งนัก

วันแรกของร้านรายได้ก็เป็นที่น่าพอใจ พ่อดีใจจนออกนอกหน้า และยังคงวาดฝันถึงรายได้ที่จะมาจ่ายค่ายาของพ่อเอง จ่ายค่าดอกเบี้ย และยังคิดไกลไปถึงจะไปรักษาที่เมืองนอกทีเดียว

วันรุ่งขึ้น พ่อยังคงหยุดงานต่ออีกหนึ่งวัน พ่อไปเปิดร้านแต่เช้า พร้อมๆพนักงาน เรารับคนงานใหม่ที่เคยอยู่เซเว่นมาทำงานด้วย และเอาพนักงานที่เป็นงานและเก่งจากร้านสาธุฯเข้าไปทำด้วยมีพนักงานหญิงห้าคน และพนักงานผู้ชายหนึ่งคน พ่อบอกว่า หากร้านไปดี พ่อจะได้ไม่ต้องไปทำงานข้างนอก เพราะไม่นานพ่อก็คงไม่สามารถขับรถได้ เพราะตอนนี้พ่อก็อาการมากขึ้นแล้ว


วันนั้น พนักงานร้านเยี่ยมชื่อ พี่นก บอกว่า พ่อเดินเข้าร้านมา และ..........หกล้มหงายหลัง

แม่ที่กำลังไปส่งฉันและน้องที่โรงเรียน ได้รับโทรศัพท์ระหว่างทาง ว่าพ่อฉันล้มหงายหลัง

" โชเฟอร์ กลับที่เดิมเลยค่ะ" แม่บอกคนขับแท๊กซี่ แล้วให้ไปส่งที่ร้านเยี่ยม พอเห็นป๊าแม่ก็บอกว่า

" ป๊า ไปโรงพยาบาลนะ " แม่เรียกแท๊กซี่ทันที พ่อพยักหน้า แต่ปากพูดว่า ไม่ต้องมั้ง พักหน่อยเดี๋ยวคงหาย

" ไม่ ไปโรงพยาบาลเลย แม่ยื่นคำขาด เราไม่ใช่หมอ หากข้างในเป็นอะไรจะไปรู้ได้ยังไง"

พอถึงโรงพยาบาลประจำ ที่มีหมอประจำ หมอคนนี้ชื่อ"หมอเอ" หมอต้องสั่ง MRIนั่นก็คือ

การตรวจกระดูกด้วยคลื่นแม่เหล็ก การตรวจนี้ สามารถทำให้เราเห็นตั้งแต่กระดูก เส้นเลือด และเส้นประสาท มีสองแบบคือ แบบฉีดสีและไม่ฉีดสี หากฉีดสีก็จะเห็นชัดเจนกว่า
" ปลายประสาทของคุณมันแย่ขึ้นนะ มันฝ่อ "
" ยังขับรถหรือเดินมากอยู่หรือเปล่า" หมอถาม
พ่อพยักหน้าหมอจึงบอกว่า " ควรหยุดได้แล้ว มันอันตรายต่อตัวคุณ ขับรถในสภาพร่างกายแบบนี้ แล้วหากใช้ขามาก มันก็จะล้า ควรออกกำลังกายแค่เบาๆ" หมอแนะนำ แล้วก็จัดยาให้เหมือนเคย เป็นยาที่ฉันจำชื่อได้ว่าชื่อ นิวรอนติน และนิวโรเบียน ยาที่ใช้ในโรคนี้ให้หายนั้นไม่มี จะมีแต่ยาที่รักษาสภาพไม่ให้การเสื่อมเร็วนัก และยาบำรุงเส้นประสาทเท่านั้น และมีราคาแพงมาก หมอของพ่อคนนี้มักจะถามว่า เบิกได้ไหม หากตอบว่าไม่ได้ หมอเอก็จะเขียนใบสั่งยาให้ไปซื้อที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่หมอประจำอยู่ และส่วนหนึ่งก็ซื่อที่โรงพยาลที่มารักษานี้ หมอเอ ผู้เห็นใจคนไข้ เพราะท่านคงทราบว่าโรคนี้มันกินเงินนัก และไม่มีทางหาย หมอเอ เคยเอายาที่ญาติผู้ป่วยของคนที่เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้ว แล้วเขาบริจาคยาราคาแพงนี้มาให้พ่อด้วย จากนั้นแม่ก็พาพ่อกลับไปพักที่ร้านที่สาธุฯ แล้วก็ไปซื้อยาที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง วันนั้นพวกเราไปกับแม่เหมือนเคย ยื่นใบสั่งซื้อยาแล้วรอเรียก ที่นี่เขาจะให้ยื่นใบสั่งยาก่อน แล้วก็รอเรียกเพื่อชำระเงิน แล้วถึงไปรับยาที่สั่งซื้อ ตอนที่เห็นราคาค่ายาที่ใบสั่งยา แม่กำเงินที่ถือในมือแน่น เพราะว่ามันคือ
เงินก้อนเดียวที่มีเหลือสำหรับเตรียมจ่ายค่าใช้จ่ายที่รอจ่ายอยู่ทั้งหมด เช่นค่าเทอมลูก ค่าเช่าร้านสาธุฯ มันไม่พอค่ายา และรายได้เมื่อวานก็หมดไปกับค่าตรวจหมดแล้ว รวมทั้งเงินค่าเทอมลูกบางส่วนด้วย...........
แม่รับใบจ่ายเงินมา ยังยืนนิ่ง ครุ่นคิด และกำเงินที่เหลือในมือแน่น เพราะแม่ไม่มีเงินพอ
" น้องคะ ฉันขอซื้อแค่ครึ่งเดียวได้ไหมคะ เอาเงินมาไม่พอค่ะ " แม่แจ้งเจ้าหน้าที่ห้องยา
เจ้าหน้าที่ได้ไปดำเนินการเปลี่ยนใบเสร็จ ตัดจำนวนลดลงแค่ครึ่งเดียว
แล้วเงินก้อนสุดท้าย ค่าเทอมลูกสามคนทั้งหมด ก็หมดไปกับค่ายาพ่อ
พวกเรากลับบ้านกันอย่างเงียบๆ ตลอดทาง แม่คงจูงมือน้องเล็กกะฉันพร้อมกัน อีกมือหนึ่งจะจูงน้องเยี่ยม แม้มีลูกสามคน แม่ก็จะจูงเราทั้งสามคนพร้อมๆกันเสมอ เราไปหาแท๊กซี่เพื่อกลับไปที่ร้าน
ระหว่างทางฉันชำเลืองเห็นน้ำตาคลอที่ดวงตาของแม่ ร้องไห้เงียบๆ คือแม่ของฉัน มือที่จับแม่อยู่ก็กำแน่นอย่างปลอบประโลมโดยไม่รู้ตัว แม้ฉันจะยังเด็ก แต่ฉันก็รู้สึกถึงอารมณ์แม่ดี และดูเหมือนน้องๆของฉันก็จะรับรู้ด้วย ถึงนั่งกันเงียบๆ จนถึงร้านสาธุฯ
" ป๊าเป็นไงบ้างดีขึ้นไหม" แม่ถามพ่อที่นอนพักอยู่ "อืม" พ่อตอบเคลียดๆ
แม่วางยาให้ข้างเตียงเงียบๆ
" ก็ทำตามที่หมอสั่แล้วกัน ร้านเยี่ยมน่ะปิดตีสอง ป๊าไม่ต้องอยู่ถึงตีสองหรอกนะ จะอยู่ทำไม จ้างคนแล้วก็ให้เขาทำไปสิ " แม่ว่า
" นายไม่อยู่มันก็เริงร่าสิ"
" แล้วจะให้ทำยังไง ในเมื่อคนเราก็มีมือ มีหัวแค่นี้ เมื่อคืนคืนแรกก็เหอะ แต่ต่อๆไป จะอยู่ถึงตีสองทุกคืนเลยหรือ จะนั่งเฝ้าเพราะกลัวพนักงานโกงนี่นะ ถ้าคนมันจะโกง กลางวันเราไม่ได้อยู่มันก็โกงได้"
พ่อนิ่งเงียบ แต่วันนั้นพอสักพักตอนค่ำๆ พ่อก็ไปดูแลร้านเยี่ยมอีก ไม่ฟังแม่เลย
พ่อของฉันจะตรวจบัญชี เคียร์เงินที่ได้กับคอมพิวเตอร์ว่าตรงกันไหมในตอนกลางคืน พ่อกะว่าจะอยู่จนตีสองทุกคืน พ่อจะกลับจากทำงานข้างนอกประมาณสามทุ่ม แล้วไปร้านเยี่ยมเลย พ่อซื้อข้าวทานแถวๆนั้น พวกเราช่วงนี้ แทบไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เพราะพวกเราไปโรงเรียนตอนหกโมงเช้าที่พ่อยังไม่ตื่น พ่อจะตื่นไปทำงานประมาณเจ็ดโมงเช้า ตอนเย็นหลังเลิกเรียน แม่จะไปรับพวกเรามีอาหารว่างมาฝากและดูลูกทำการบ้าน และสอนการบ้านพิเศษที่แม่จะเขียนโจทย์เตรียมใส่สมุดมาให้ฉันกับน้องเยี่ยมน้องเล็กทำ ใครทำเสร็จก่อนก็จะได้ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรเรียน หรือวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แม่จะทำแบบนี้ทุกๆวัน เพราะแม่เห็นใจที่ลูกๆอยู่บนตึกแถวที่ไม่มีบริเวณ ห้องก็ปิดหมดเพราะกลัวฝุ่นเข้า หน้าต่างที่ไม่มีวันเปิดเพราะอากาศที่เข้ามาจะมีแต่ฝุ่นแล้วก็ฝุ่นจากร้านค้าของเก่า แม่ว่า ฝุ่นของถุงซิเมนต์มันอันตรายมากกับระบบทางเดินหายใจ ที่ตึกแถว ไม่มีอากาศหายใจสบายๆเหมือนที่โรงเรียนนื้ที่ยังมีที่โล่งๆ และต้นไม้ พวกเราจะนั่งทำการบ้านที่ซุ้มกาละเวกที่โรงเรียน ผู้ปกครองที่นั่น มักจะดูพวกเราและชมเชยว่า มีความรับผิดชอบทำการบ้านก่อนไปวิ่งเล่น โดยเฉพาะน้องเยี่ยมที่เป็นเด็กผู้ชาย แม่ก็จะยิ้มๆ ที่มีคนชมว่าลูกแม่น่ารัก
แม่จะทำอย่างนี้ทุกๆวัน พวกเราจะกลับถึงบ้านก็ค่ำๆ บางครั้งฉันรู้สึกด้วยซ้ำว่า แม่ไม่อยากกลับเลย แม่จะตรวจการบ้านและเขียนการบ้านพิเศษสำหรับพรุ่งนี้เตรียมไว้ รอให้รถไม่ติดในย่านนั้นแล้วค่อยกลับ ซึ่งเป็นการประหยัดค่าแท๊กซี่ด้วย
เวลาที่เรากลับบ้าน พ่อก็ยังไม่กลับ เราสามคนแทบไม่เคยเจอหน้าพ่อหรือพูดกับพ่อ ยกเว้นเห็นหน้าพ่อตอนพ่อหลับอยู่ เราทานอาหารเย็นกันสี่คน นอนกันสี่คน ไปไหนๆกันสี่คน พ่อทำงานไม่มีวันหยุดเหมือนเดิม พ่อทุ่มเทให้กับร้านเยี่ยมมาก พ่อมีรายการชิงโชคไว้จูงใจสูงค้า แถมรางวัลใหญ่ก็เป็นตู้เย็น พ่อจะไปซื้อตู้เย็นมาตั้งเลย รางวัลก็ทำเป็นฉลากใส่ไว้เลย ไม่มีอมหรือหลอกลวง บางทีคนจับตู้เย็นรางวัลใหญ่ไปได้ พ่อยังไปซื้อรางวัลตู้เย็นมาอีกอัน กำไรก็น้อย จากค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น เพราะวีดีโอแตกตัวเป็นหลายค่าย พ่อกลับจูงใจลูกค้าแบบนี้ เรียกว่ากำไรแทบไม่มีเลย จนแม่ว่า แล้วจะทำทำไม จนเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ฉันทะเลาะกัน เมื่อวันหนึ่งแม่ไปที่ร้านเยี่ยมแล้วเห็นตู้เย็นอีก
" อ้าวนก ลูกค้าจับได้ตู้เย็นไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังมีตู้เย็นอีกล่ะ " แม่ถามพี่นกพนักงาน
" เฮียซื้อมาใหม่ค่ะ แล้วเพิ่มรางวัลที่ฉลาก"
แม่โทรไปหาพ่อฉันเลย
" ป๊าซื้อตู้เย็นมาทำไมอีก รางวัลที่หนึ่งเราตู้เย็นมันออกไปแล้วนี่"
"ก็ออกไปแล้วสิ ถึงต้องเพิ่ม เดี๋ยวลูกค้าไม่มีเช่าเพราะเห็นรางวัลใหญ่ออกไปแล้ว "
" อ้าว ก็รางวัลเล็กๆก็ยังมีนี่ เครื่องเล่นวีดีโอ ดูฟรี นาฬิกา มันก็มีอีกมากมาย จับได้แล้วก็แล้วไปสิ"
" น่า เรื่องของเฮีย ร้านของเฮีย น้องอย่ายุ่งน่า"
" เอ้อดี ทีลูกค้า อะไรๆก็ประเคนให้หมด ที่ลูกเมีย ไม่มีจะกิน จะซื้ออะไรทีกว่าจะเก็บเงินได้ " แม่บ่น
"ร้านคุณจำไว้นะ ฉันจะไม่ไปเหยียบอีก แล้วอย่าให้ฉันไปช่วยอะไรล่ะ"
" ได้ เฮียจะทำเองหมด อย่ามาห้ามไม่ให้ทำงานแล้วกัน"
แล้วตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่ไปร้านเยี่ยมอีกเลย พ่อก็กลับบ้านประมาณตีสามเพราะกว่าร้านจะปิด กว่าจะเคลียร์บัญชี
แล้ววันหนึ่ง พ่อก็มาบอกแม่ว่า
"เฮียว่าขาเฮียลีบลง ไม่มีแรง เฮียว่าคงต้องออกกำลังกาย ทำแบบหมอว่าไม่ได้ซะแล้ว คนไม่ออกกำลังกายแข้ขาจะมีแรงได้อย่างไร"
" ไม่รุ" แม่ตอบแบบไม่สนใจนัก "หมอบอกคุณยังไม่เชื่อเลย ฉันบอกคุณจะฟังหรือไง "
แม่ฉันลองว่าขึ้นคุณกับฉันคืออารมณ์ไม่ดี
แม่คงปลงแล้ว
เพราะพ่อมักไม่ค่อยทำตามหมอ
แล้วพ่อ ก็ไปหาถุงทรายมาผูกติดกับขา แบบทหารหรือนักเรียนรดฝึกทหาร แล้วพ่อก็ใส่มันเดินไปไหนต่อไหน โดยคิดว่า ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงานจะทำให้ขามีแรงขึ้น เวลานั่งพ่อก็จะยกขาที่ยกอย่างลำบากขึ้นๆลงๆ พ่อไปซื้อเครื่องปั่นจักรยานแบบนั่งปั่นเล็กๆมาถีบเวลานั่งดูทีวีเฝ้าร้านที่ร้านเยี่ยม
พ่อพยายามออกกำลักายเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่าจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อคืนมาได้
แต่ กล้ามเนื้อของพ่อที่ลีบไปแล้ว มันไม่เคยคืนกลับมาเลย ตอนนี้ เวลาพ่อเดินไปข้างนอก พ่อจะใช้ไม้เท้า และอีกมือหนึ่ง ยันหัวไหล่ฉันไว้กันล้ม ฉันต้องเดินช้าๆ หันหน้าไปที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะอาจทำให้พ่อเสียหลักแล้วล้มลงได้
เรื่องนี้ ทำให้ฉันมีเหตุทะเลาะกับพ่อหลายๆครั้งจนครั้งใหญ่สุดคือ
" พลอย กูบอกว่าห้ามหันหน้าไปไหนเวลาเดินยังไง"
แม่ที่เดินตามหลังที่มักจะคอยระวังหลังเสมอๆกับจูงน้องสองคน ถึงกับชงัก และฉันถึงกับโกรธมาก
ฉันไม่ตอบพ่อ รู้สึกโกรธจับใจ น้ำตาคลอ
" กูถามทำไมไม่ตอบ ฮึ"
ฉันยังคงนิ่ง
"คุณพูดกับลูกแบบนี้ได้ยังไง วาจาแบบนี้ ฉันไม่เคยพูดกับลูกหรือสั่งสอนให้ลูกพูดแบบนี้ "
" ทำไมจะพูดไม่ได้ คนอื่นเขาก็พูด " พ่อเถียง
" คนอื่นก็ส่วนคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่มาพูดกับลูกฉัน" แม่ไม่ยอม
แม่เคยเล่าว่าครอบครัวแม่ไม่นิยมการพูดจาหยาบคาย เพื่อนแม่ที่พูดหยาบคายก็ไม่มี แม่โตมาจากสิ่งแวดล้อมดีๆ โรงเรียนดีๆ เพื่อนดีๆ สังคมของแม่จึงมีแต่สิ่งแวดล้อมดีๆ
" อีกอย่างลูกยังเด็ก การที่เด็กคนหนึ่ง คอยเดินให้พ่อจับนี่ มันก็มากพอแล้ว แค่หันหน้าไปแค่นั้น มันจะเป็นไร ลูกก็ยังเดินช้าๆอยู่นี่"
" แล้วถ้าเฮียล้ม จะว่าไง"
" แล้วมันล้มไหมล่ะ ก็ยังมีปากพูดว่าลูกได้อยู่นี่"
พ่อไม่เถียงแม่ แต่หันมาเล่นงานฉันต่อ
" บอกมาทำไมถามไม่พูด "
" พลอยไม่พูดกับป๊า เพราะแม่เคยบอกว่าหากใครพูดกับเราไม่เพราะไม่ต้องไปพูดด้วย "
" และพลอยก็ไม่ชอบที่ป๊าพูดกับพลอยแบบนี้" ฉันตอบตรงๆ
" มีแม่ให้ท้ายก็ยังงี้" พ่อว่า
" นี่คุณ...! คุณนั่นแหละผิด จะว่าอะไรนึกดูบ้างสิ ลูกอายุเท่าไหร่ ทำเพื่อคุณอะไรบ้าง หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง นี่เด็กนะ เขาก็ต้องอยากเล่น สนใจสิ่งโน้นนี้บ้าง มันแปลกนักหรือ คุณน่ะแหละมันเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ลูกทำอะไรให้คุณตั้งมากมาย แล้วแค่ลูกหันไปมองอะไรบ้างแค่นี้ มันจะเป็นไรไปนัก ขนาดมาขึ้นมึงกูกะลูก "
แม่ใส่พ่อไม่เลี้ยง แม่จะพูดตรงๆและจะปกป้องเราเสมอหากมีการว่ากล่าวหรือลงโทษอย่างไม่ยุติธรรมแม่ฉันจะถือมาก
" จำไว้นะพลอย ไม่พูดอย่ามาพูด" พ่อยังไม่หยุด สายตาแม่ส่งมาหาฉันว่า ห้ามต่อปากต่อคำ ฉันจึงไม่พูดอะไร ยืนนิ่งๆให้พ่อจับหัวไหล่เวลาเดินต่อไป
การที่พ่อจับหัวไหล่ฉันนั้น ที่จริงมันเจ็บนะคะ เพราะหากนานๆ น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงมาที่หัวไหล่ข้างเดียว จะทำให้ปวดได้เหมือนกัน แต่ฉันก็ทนมาเสมอ เพราะพ่อคือพ่อของฉัน ฉันไม่เคยอิดออดที่จะช่วยเหลือพ่อ ไม่ว่าจะตอนกลางคืนเวลาพ่อจะเข้าห้องน้ำแล้วปลุกฉันกลางดึก หรือเวลาให้รินน้ำให้กลางดึก เพราะฉันรู้ดีว่า หากฉันไม่ทำ ภาระมันจะอยู่ที่แม่ฉัน
แต่พ่อ เริ่มพูดให้พวกเราคิดว่า พ่อสำคัญมากมายแค่ไหนที่พวกเราต้องเสียสละให้พ่อ บางทีที่แม่ไม่มีเงิน แล้วพ่อเอาไปรักษาหมอบ้าๆที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่นใครไม่รู้ที่มาทักอาการพ่อเวลาเดินที่ตลาด แล้วบอกว่าเขานวดให้หายได้ บางครั้งคลอสละเป็นหมื่น แม่ไม่พอใจที่จ่ายเงินให้กับคนที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่พ่อลองทุกทาง ถ้าแม่ไม่ให้เงินหรือทักท้วง พ่อก็จะว่า จะปล่อยให้พ่อตายไปเลยไหม พ่อไม่สำคัญหรือยังไง จนในที่สุดก็ทำให้แม่ไม่มีเงินค่าเทอมลูกบ่อยๆ จนต้องไปหยิบยืมเพื่อนมาจ่าย ที่จริงแม่บอกว่าจะเรียกว่าหยิบยืมคงไม่ได้ เรียกว่าขอคงเหมาะกว่า เพราะชาตินี้ไม่รู้เลยจะตายซะก่อนหามาคืนเพื่อนได้ไหม
.............................................
ชีวิตที่มีร้านค้าใหม่ใหญ่โต แต่เบื้องหลังคือหนี้สิน
ร้านค้าที่พ่อเอาใจใส่ ลูกค้าที่พ่อเอาใจ แต่เบื้องหลังคือ การละทิ้งครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันเสมอ
เวลาของพ่อ คือ เวลาของการทำงานและทำเงิน
หากฉันชื้อเวลาของพ่อให้ได้พักผ่อนได้คงดี
พ่อคงไม่ป่วยเพราะพักผ่อนไม่พอ แต่พ่อกลับมองว่า
พ่อป่วยเพราะพ่อไม่ได้ทำงานมากเท่าที่อยากทำ
พ่อเริ่มโทษแม่ที่คอยบอกให้พ่อกลับบ้านเร็วๆในอดีต
เริ่มโทษแม่ที่ คอยบอกให้หยุดทำงานบ้างวันอาทิตย์
โทษแม่ที่ทำให้พ่อไม่ร่ำรวยเพราะทำงานไม่เต็มที่
และโทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ไม่ใช่ตัวพ่อเอง...
อยากถามพ่อนักว่า "มันคุ้มไหมคะ ที่ทำงานหนักแล้วต้องจบลงด้วยป่วย
เพราะเคลียดและพักผ่อนไม่พอ เงินที่หาได้มาต้องเอามาจ่ายค่าหมอ ค่ายา ที่จ่ายเท่าไหร่
ก็ซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาไม่ได้".................


29/3/53

ตอนที่ 10: ชีวิตบนตึกแถว



วันแรกของชีวิตบนชั้นสองของร้านวีดีโอ
พวกเรา5คนพ่อแม่ ฉัน และน้องชาย อยู่ร่วมกันบนห้องในชั้นสองของร้านวีดีโอ
ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ24ตารางวาได้ ห้องก็กว้างขวางพอควร
พื้นเป็นหินอ่อนสี่ขาว ในห้องมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบเล็กๆและฟูกขนาด7ฟุต1อัน โต๊ะทำงานคอมพิวเตอร์อีก1ตัว
แค่นั้น มีผ้าม่านหนึ่งผืนที่แบ่งกั้นห้องระหว่างส่วนนอนกับส่วนทำงานของแม่
แค่นั้น..............
ในชั้นเดียวกันมีห้องน้ำและส่วนของครัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่มีบรรยากาศของบ้านเหมือนเคย.....แต่ยังดีที่ ยังมี "เรา"
ครอบครัวของเรา พ่อแม่และน้องอีกสองคน
ที่สาธุฯนี่ไม่ไกลจากโรงเรียนเรามากนักเพราะโรงเรียนของเราอยู่คลองเตยไปมาก็ค่อนข้างสะดวกร้านใกล้ตลาดมีอาหารเยอะแยะ ที่จริงพวกเราก็ไปๆมาๆเสมอแค่เพียงไม่เคยคิดว่าต้องมาอยู่อย่างถาวรเพราะไม่มีบ้านอีกแล้ว
ช่วงแรกแม่ติดต่อรถรับส่งให้มารับที่ร้านตอนเช้า แต่รถรับส่งมารับตั้งแต่ตีห้าและน้องชายฉันก็เพิ่งอยู่อนุบาล
ไม่นานแม่ก็ทนไม่ไหวต้องไปรับส่งลูกเองเพราะสงสารลูกที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาแต่งตัวคอยรถตั้งแต่ตีห้า
ตอนเช้าแม่จึงไปส่งฉันกับน้องชายทุกเช้าและหอบพ่วงน้องเล็กตามไปด้วยทุกๆวัน
อาหารเช้าที่โรงเรียนเหมือนเคย....ก่อนจะกลับมาดูร้านเปิดร้านตอนเช้า ถ้าแม่กลับช้าบางทีลูกน้องก็มักตื่นสายไม่เปิดร้านแต่เช้า พวกเราจะตื่นตีห้าหรือตีห้าครึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จประมาณ6โมงเช้า แล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปโรงเรียน แม่คงนั่งรถเมลืไม่ได้หรอก มีมือแค่สองมือต้องจูงลูกขึ้นรถเมล์สามคนคงทำไม่ได้แน่ เพราะรถเมล์บ้านเราใช่ว่าจะดีนัก เคยมีครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่ฉันขึ้นรถปุ๊บรถเมล์ออกรถไป แม่ยังไม่ทันขึ้น แม่ต้องจูงน้องวิ่งตามรถเมล์แม่แทบขาดใจพอรถจอดแม่ไม่ยอมขึ้นแต่อุ้มฉันลงจากรถเพราะตอนนั้นฉันก็แค่สี่ขวบ
แม่โอบกอดฉันไว้อย่างตกใจที่สุด ตั้งแต่ครั้งนั้นแม่ไม่ยอมพาพวกเราขึ้นรถเมล์อีกเลยแม่ว่าตราบใดที่แม่ไม่ได้มีสามมือพอที่จะจูงลูกได้สามคน แม่จะประหยัดด้านอื่นเพื่อให้ฉันได้ขึ้นรถแท๊กซี่ไปโรงเรียน
น้องเล็กน้องของฉันจึงถูกเลี้ยงมาในร้านวีดีโอมากกว่าในบ้าน
น้องเล็กจึงน่าสงสารที่สุด เกิดมาช่วงพ่อแม่ลำบากแล้ว จึงไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือมีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหมือนฉันกับน้องชายเมื่อก่อน เสื้อผ้าของน้องเล็กส่วนใหญ่ก็ซื้อตามตลาดแถวๆร้าน ที่แม่จะพยายามเลือกที่ดูดีหน่อยแม้ไม่ใช่เสื้อผ้าในห้างแต่แม่ฉันก็จะเลือกที่ดูดี น่ารักๆน้องของฉันผิวขาวแม้ไม่สวยแต่ก็เกลี้ยงๆแต่งอะไรก็น่ารักแถมฉลาดมากๆ น้องเป็นคนช่างสังเกตุจะคอยสังเกตุว่าใครเก็บอะไรไว้ตรงไหนหากหาไม่เจอนะคะถามน้องเล็กจะตอบได้หมด น้องเล็กจะมีที่นอนหลังเค้าเตอร์ด้านล่างที่แม่นั่ง เวลาเฝ้าหน้าร้านที่น่าขำคือขนาดแม่เลี้ยงลูกหน้าร้านก็ยังมีลูกค้าตาถั่วไม่รู้ว่าแม่เป็นภรรยาเจ้าของร้านคิดว่าเป็นลูกสาวและนั่งเลี้ยงน้องมีคนบอกป๊าว่า"เฮียนี่โชคดีมีลูกทันใช้ " แถมยืนจีบแม่ซะอีก
เรื่องขำๆของลูกขาคนที่ขี้ม้อก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งลูกค้าขี้ม้อที่ยืนจีบแม่บ่อยๆก็เข้ามายืนคุยเล่นเหมือนเคย
วันหนึ่งก็มีลูกค้าที่เป็นเด็กวัยรุ่นมาสะกิดแม่บอกว่า
" พี่ๆลูกค้าคนที่พี่คุยอยู่เนี่ยเขาไม่ได้รูดซิบกางเกง พี่บอกเขาหน่อยสิ"
" ไม่กล้าบอกหรอก น้องบอกสิ" แม่ว่า
แล้วพี่วัยรุ่นคนนั้นก็ชำเลืองไปมองแล้วทำตายิ้มๆใส่ลูกค้าชายคนนั้น
พอลูกค้าชายเห็นคนทำท่าซุบซิบแล้วมองมาที่ตน ก็ถามว่า
"นินทาไรผมครับ"
"พี่ไม่ได้รูดซิบกางเกงน่ะ"พี่วัยรุ่นบอกทันควัน
แต่ที่ฉันเห็นพี่ผู้ชายไม่ได้เขินสักนิดเลย ก้มไปดูแล้วบอกว่าจริงด้วยแล้วก็รูดซิบพร้อมหัวเราะพูดว่า
"แหมมันคงอึดอัดอยากมาหายใจ" ทำเอาแม่และพี่วัยรุ่นและพนักงานสาวๆคนอื่นเขินแทน
........................
มาว่ารื่องน้องเล็กกันต่อ
"น้องเล็ก" เป็นน้องที่ตั้งแต่เกิดก็มีชีวิตในร้านวีดีโอ น้องเล็กต้องชื่อว่า "น้องเล็ก" เพราะไม่มีใครตั้งให้ เลยเรียกกันว่าน้องเล็กเรื่อยมาจนโต ส่วนชื่อจริงของน้องเล็กก็ยังแปลได้ ว่าชื่อน้องคนสุดท้องอีกคิดๆแล้วก็น่าสงสารที่ภาระหน้าที่ และเศรษฐกิจในครอบครัวทำให้พ่อแม่ทำเหมือนละเลยน้องคนสุดท้องไป
น้องเล็กไม่ได้เรียนเนสเซอรี่หรือเรียนเตรียมความพร้อมเหมือนพวกเราแต่เข้าอนุบาลหนึ่งเลยเหตุผลเพราะแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน
น้องเล็กมักถูกดูแลโดยลูกจ้างที่ร้านในตอนแรก เพราะภาระหนักอึ้งของแม่และพ่อจนกระทั้งวันหนึ่งที่แม่เห็นเหาที่หัวน้องเล็กทั้งๆที่น้องเล็กวัยแค่สามเดือน พี่เลี้ยงที่มาเลี้ยงน้องเล็กมาจากต่างจังหวัดมาทำงานที่ร้านและไม่สะอาด หัวพวกเขาก็มีเหาเสมอแม่เล่าว่า ตอนที่แม่เห็นแมลงอะไรไม่รู้อยู่บนหัวน้องเล็กแม่ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคือ"เหา"เพราะแม่ไม่เคยเป็นพอทราบว่าเป็นเหา แม่ต้องเรียกพนักงานทั้งหมดมาสำรวจเหาและจัดการใส่ยาฆ่าเหาให้หัวพนักงาน แม่บอกว่ารู้สึกแย่มากที่มีตัวเหามาขึ้นหัวลูกวัยสามเดือนได้ ตั้งแต่นั้นมาน้องเล็กก็มานอนรวมกับพวกเราในห้องชั้นสองและแม่ดูแลเอง แม่บอกว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่แม่กอดน้องเล็กและแปลกที่เหมือนน้องเล็กจะรู้ว่านี่คือแม่ พอแม่อุ้มก็จับมือแม่ไว้และพอแม่จะวางก็ร้องไห้เสียงดังจนแม่ตัดสินใจเลี้ยงน้องเล็กเอง แม่ว่าน้องเล็กเลี้ยงง่ายไม่เหมือนฉันและน้องเยี่ยม พอโตขึ้นหน่อยน้องเล็กก็ไม่ทานข้าวบด แต่ทานข้าวเหมือนพวกเราเลย ไม่ยอมให้ป้อนแต่จะทานเอง โดยยิ้มอาหารเข้าปากเลย แม่ก็ปล่อย วางอาหารไว้ให้บนโต๊ะเด็กจะเปื้อนจะเลอะก็ไม่ว่าและสอนให้ใช้ช้อนตักเข้าบ้างไม่เข้าบ้างหกบ้างแม่ก็ไม่ว่า พอน้องเล็กเดินได้ น้องเล็กก็เดินไปนั่งกระโถนฉี่เองเลียนแบบพี่ๆ ไม่ฉี่เปื้อนเลยน้องเล็กชอบไปโรงเรียนส่งพี่ๆ แถมเปิดปิดวีดีโอทีวีเป็นตั้งแต่เล็กๆและชอบดูวีดีโอ"กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม" วนไปวงมาไม่รู้กี่รอบ
ตอนที่เราอยู่ที่สาธุฯพ่อยังคงต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงานน้ำตาลที่กาญจนบุรีอยู่ แม้การเดินของพ่อจะไม่สะดวกช่วงนั้นฉันจำเหตุการณ์ได้ครั้งหนึ่งฉันอาเจียรไม่หยุดแม้จะทานยาแล้วที่จริงฉันไม่สบายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พ่อไม่ได้พาไปโรงพยาบาลแต่ให้แม่พาไปร้านหมอใกล้ๆ หมอไม่ใช่หมอเด็ก เป็นหมอผู้ใหญ่ทั่วๆไป พอตรวจเสร็จก็จ่ายยาให้ ฉันก็กลับบ้านแล้วแม่ก็ป้อนยาตามปกติแต่ก็อาเจียรตลอด ตกเช้าก็ยังเป็นแบบเดิมก่อนพ่อจะออกไปทำงานแม่ก็ว่าพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมดูอาการไม่ดีขึ้นเลย พ่อก็ว่าเดี๋ยวก็หายน่ากินยาไป พอกลางวันอาการก็เหมือนเดิม แต่ที่แย่คือ ฟันของฉันที่เริ่มโยก แม่เล่าว่า แม่สังเกตุเห็นฟันฉันมันเหมือนเหบินออกมาผิดปกติ เอามือไปจับ ฟันทุกซี่โยกหมดเลย แม่ตกใจมาก โทรหาพ่อพ่อก็ว่าไม่เป็นอะไรมั้ง แต่ครั้งนี้แม่ไม่สนพ่อแล้ว แม่อุ้มฉันขึ้นรถไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า อาการที่เห็นคือฉันแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเหงือกบวม ฟันโยก พอพ่อกลับมาแม่เล่าให้ฟังพ่อจึงบอกว่า
"พ่อเห็นพยาบาลหน้าห้องที่คลีนิคตำยาใส่ขวดตอนที่เขาทำยาให้พลอย"
"แล้วทำไมเพิ่งมาบอก" แม่เสียงแข็ง "ถ้าทราบก็ไม่ให้ลูกทาน หรือพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว"
" แล้วป๊าก็ยังจะให้ลูกทานยาหมอนี่อีกนะ " แม่พูดอย่างโกรธๆ
การแพ้ยาครั้งนั้นได้เป็นบทเรียนที่เป็นข้อเตือนพ่อแม่ทุกคนแล้วว่าอย่ามักง่ายพาลูกไปหาหมอที่ไม่ใช่หมอเด็ก เพราะมันเสี่ยงต่อการที่ลูกคุณจะได้รับยาไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก
การอยู่ที่ร้านนี้ทำให้ฉันป่วยบ่อยมาก เพราะฝุ่นจากร้านขายของเก่าข้างๆ บางวันฉันมีอาการหอบวันละ6ครั้ง แม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกพาฉันไปโรงพยาบาล จากหน้าต่างธรรมดา ก็ต้องมีเทปใสติดตามช่องหน้าต่างทุกช่องที่แม่คิดว่าฝุ่นจะเข้าถึงลูกได้ ในห้องนอนของเราต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศถึง3เครื่องหนักๆเข้าคุณอาของฉันที่เป็นหมอเลยซื้อเครื่องพ่นยาแบบพกพาให้เพื่อความสะดวกไม่ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลวันละหลายๆครั้งชีวิตในห้องแถวช่วงนี้จึงไม่ได้สุขสบาย ส่วนพ่อฉันก็เริ่มการคิดหาการลงทุนอีก เพื่อจะได้มีเงินเข้ามาหากพ่อทำงานข้างนอกไม่ได้ ช่วงนี้พ่อเริ่มออกหาทำเลที่จะตั้งร้านอีก และเริ่มหาการลงทุนด้านอื่นๆ พ่อไม่มีเงินหรอกพ่อเองก็โดนศาลสั่งล้มละลายพ่อต้องไปหยิบยืมเงินจากอาหมอน้องชายมาลงทุน หลายๆคนไม่เห็นด้วยรวมทั้งแม่ แม่ไม่อยากให้พ่อถลำลึกลงไปอีก หรือทำอะไรเกินตัว
แต่พ่อก็พูดจนอาหมอรับปากจะให้ยืมเงินไปทำร้านวีดีโออีกแห่ง
ครั้งนั้นพ่อที่เริ่มมีอาการเดินขัดและนิ้วก็เริ่มกำของเล็กๆไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ขับรถเวียนไปมาเพื่อหาทำเลสำหรับร้านวีดีโอใหม่อีก
พอไปเจอทำเลแถวสามแยกที่ใกล้แมคโดนัล แต่พอไปถามใครๆตอนนั้นยังไม่ทราบใครเป็นเจ้าของบ้าน แต่ไปถามราคาเช่าร้านแถวๆนั้นก็ตกห้องละสามหมื่นห้า แต่พ่อก็ยังติดใจตึกแถวหลังนั้นอยู่ดี จึงพยายามถามไถ่หาเจ้าของตึกจนได้
ตึกแถวหลังนั้นเป้นห้องร้างสองห้องติดกัน มีห้าชั้น แต่ปิดร้างไว้นานมาก สอบถามว่า เมื่อก่อนเป็นโรงรับจำนำเก่า แต่ปิดไปแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเช่าต่ออีกเลย ปิดไว้เฉยๆ สอบถามไปมาก็ทราบว่าเจ้าของตึกก็คือคนๆเดียวกับเจ้าของตึกแถวในย่านๆนั้น ชื่ออาจารย์พยอมเป็นศาสตราจารย์ที่มหวิทยาลัยเดียวกับที่พ่อจบมา และบ้านอาจารย์ก็อยู่แถวๆนั้น พ่อจึงกลับมาหาแม่แล้วชวนแม่และพวกเราไปหาอาจารย์เข้าของห้องแถวสองห้องนั้นที่บ้าน
" ป๊าก็ไปเองสิอยากทำอะไรก็ไปเอง" แม่พูด
"น้องต้องไปด้วยสิ เวลาน้องติดต่ออะไร ดูมันราบรื่นดีทุกครั้ง" พ่อบอก
"เฮ้อ"แม่ฉันถอนหายใจ

แล้ววันรุ่งขึ้นพวกเรา ห้าคนก็เดินทางไปบ้านอาจารย์พยอม บ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้เก่าๆ อยู่ติดถนนใหญ่แถวๆสะพานสี่ เนื้อที่กว้างขวางมีบ้านไม้แบบสมัยเก่าอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสองหลัง รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆดูร่มรื่น ทั้งไม้ผลเช่น มะม่วง ชมพู ขนุน และไม้ดอกต้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง หอมไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นดอกปีปที่หล่นมาจากต้นสูงๆ หรือดอกมะลิที่เป็นพุ่ม ออกดอกขาวหอมไปทั่วบริเวณ จนฉันนึกชื่นชมที่เห็นบ้านไทยๆแบบโบราณแต่ดูอบอุ่น ท่านกลางใจกลางย่านชุมชนสะพานสี่แห่งนี้ไม่ได้
อาจารย์พยอมเป็นสตรีสูงวัย อายุประมาณหกสิบเศษๆ ร่างท้วมหน้าตาอ่อนโยน ผมสีเทาๆ พวกเราสามคนยกมือไหว้ท่านพร้อมๆกัน สร้างรอยยิ้มอ่อนโยนที่มองดูพวกเราทำให้เราสามคนรู้สึกชอบคุณยายคนนี้มากๆ คุณยายถามไถ่เรื่องที่พ่อกับแม่มาขอพบท่าน และเหลือบดูการเดินของพ่อเล็กน้อย พ่อฉันตอนนี้ถิอไม้เท้าแล้ว และเดินกระย่องกระแย่ง
"เราสนใจจะถามเรื่องการเช่าห้องแถวที่เป็นโรงรับจำนำเดิมที่สามแยกครับ" พ่อบอก

จากนั้นเมื่อพ่อกับแม่นั่งคุยธุระกับอาจารย์พวกเราก็เดินดูต้นไม้ วิ่งเล่น ดูปลากันสนุกสนาน ไม่นานคุณยายก็ถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำพาพวกเรามาที่ห้องแถวที่พ่ออยากเช่า ซึ่งอยู่ห่างไปแค่สามห้องตึกแถว
ในห้องแถวหลังนี้ ติดกันสองห้องเจาะทะลุกัน พอเปิดเข้าไป สภาพเหลือจะรับได้ สภาพห้องมีน้ำท่วมขังสูงประมาณหัวเข่าผู้ใหญ่ ในห้องมืดทึบมองภายในเป็นผนังโล่งๆ มีเค้าเตอร์แบ่งกั้นห้องไว้มีเหล็กดัดเหนือเคาเตอร์ คุณยายบอกว่า สภาพก็ยังเหมือนโรงรับจำนำเหมือนเดิม
" ที่นี่ไม่ได้ให้ใครเช่ามาสิบปีแล้ว และมีน้ำท่วมเวลาหน้าฝนนะ" คุณยายบอกพ่อ
"น้ำไฟถูกตัดไปหมดแล้วตั้งแต่คนเก่าย้ายไป" เสียงคุณยายเล่าต่อ
"ทำไมเขาย้ายไปล่ะครับ"พ่อถาม
"อยู่ๆเขาก็หายไปเลย ไม่บอกกล่าว ทะเบียนบ้านชื่อก็ยังคาอยู่"
พ่อกวาดตาไปทั่วห้องสีหน้าพ่อเหมือนคำนวณอะไรอยู่ ครุ่นคิด แต่พอใจ
แต่แม่น่ะ ดูแล้วก็เมินกับสภาพภายใน ที่สะดุดตาแม่ คงเป็น ห้องใหญ่ๆ ห้องหนี่ง ที่โดดเด่นอยู่หลังเค้าเตอร์ภายใน แล้วแม่ก็ชวนพวกเราเดินไปแมคโดนัลที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่นานพ่อก็เดินกลับมาจากการดูตึกแถวห้าชั้นนั้น
" พ่อจะเซ้งตึกหลังนั้นนะ มันถูกมากเลย ไม่ว่าจะค่าเซ้งและค่ารายเดือน" เสียงพอตื่นเต้นแววตาสุกใส
"อืม"แม่ตอบ
แม่ไม่สนใจอะไรมาก คงวางเฉย ให้พ่อหายืมเงิน เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะค้านอย่างไร พ่อก็ไม่ฟังแม่หรอก
ไม่นานเมื่อพ่อวางเงินคุณยายพยอมแล้ว พ่อก็ติดต่อให้ลุงหนวดช่างรับเหมาเพื่อนสนิทมาดูร้านเพื่อประเมินราคาปรับปรุงร้าน
การปรับปรุงร้านครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เพราะเป็นตึกห้าชั้นสองห้อง แถมต้องยกพื้นสูงกันน้ำท่วมขึ้นมาอีกประมาณบรรไดสี่ขั้น และที่สำคัญต้องทุบเคาเตอร์ที่กั้นรวมทั้งห้องขนาดใหญ่มหึมาที่หลังเคาเตอร์
ไม่นานลุงหนวดก็ส่งคนงานมาวิดน้ำที่ท่วมออก และติดต่อขอน้ำประปาและไฟฟ้า พอวิดน้ำแล้วพวกเราก็ไปที่ตึกนั้นอีกครั้ง ห้องขนาดใหญ่ที่ล็อคแน่นหนาใส่กุญแจมันยังติดตาแม่มาก
"ป๊า คนเช่าเก่าที่หายไป ไม่ใช่อยู่ในห้องนี้นะ ดูสิ ห้องทำไมมันผนังหนามากเลย" แม่กระซิบถามพ่อกลัวลุงหนวดได้ยิน
เสียงลุงหนวดสั่งงัดกุญแจห้องนั้น ซึ่งถูกปิดตายด้วยกุณแจและโซ่คล้องขนาดใหญ่มาก จนคีมตัดที่มีไม่สามารถตัดได้ ต้องหากันใหม่ ลุงหนวดเคาะๆผนังห้องนั้น แล้งบอกว่า ห้องนี้ผนังปูนหนาเป็นเมตร เล่นเอาแม่ยิ่งสงสัยหนัก
"เฮียหนวด ผนังนี่หนาเป็นเมตรเลยเหรอ" แม่ถามเสียงหวั่นๆ
" ไม่ใช่ทุบแล้วมีศพนะหรือผีดุ ตึกนี้เลยล้างมาสิบปี"
"อาจเป็นได้นะเนี่ย" ลุงหนวดพูดขำๆ ในใจคงนึกเหมือนแม่เหมือนกัน
" ไม่ลองไม่รู้ ต้องทุบดู" แล้วลุงหนวดก็สั่งช่างไปซื้อคีมอันใหม่มา แล้วเอาค้อนทุบผนัง เครื่องเจาะผนังมา เพราะมันหนามากเลยต้องมาทำต่อวันหลัง เนื่องจากคนงานทดลองใช้ดอกสว่านขนาดเจาะผนังธรรมดาไม่สะเทือนเลย เห็นว่านอกจากหนาแล้วยังเป็นคอนกรีตอีก เล่นเอาห้องปริศนายังคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเราอยู่...................
แม่กลับมาบ้าน ก็ลงมือวาดผัง ตามขนาดที่วัดมา แล้วออกแบบตำแหน่งวางชั้นวีดีโอ เคาเตอร์ จดรายการที่ต้องปรับปรุง คำนวณจำนวนชั้น และงบประมาณทั้งหมดแบบคร่าวๆ
แม่ไม่เห็นด้วยในการเปิดร้านนี้ แต่ก็อดที่จะช่วยพ่อไม่ได้อยู่ดี เพราะพ่อต้องไปทำงาน ไม่มีแม่คอยคิด คอยคุมงานพ่อจะทำอะไรได้ แม่ว่านิสัยพ่อบางทีทำอะไรเกินตัว คำนวณไปมาร้านนี้ค่าก่อสร้างและปรับปรุง รวมทั้งค่าอุปกรณ์และค่าลิขสิทธิ์ร้านวีดีโอ ค่าเซ้งร้าน ค่าเช่ารายเดือนล่วงหน้า รวมแล้วประมาณ สามสี่ล้านบาททีเดียว ไม่ใช่เงินน้อยๆ แม่มองจำนวนตัวเลขแล้วก็มีสีหน้าไม่สบายใจ จนฉันต้องเข้าไปถามว่า แม่เป็นไรไปคะ
"แม่ไม่ชอบเป็นหนี้เลย" เสียงแม่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แม่ฉันก็แบบนี้ ไม่ค่อยพูดหากไม่เหลืออดจริงๆ แต่หากแม่พูดเมื่อไหร่ แม่จะพูดตรงๆจึงดูเหมือนรุนแรงแต่แม่จะจริงใจในความรู้สึก และความคิดเห็นเสมอ แบบว่าไม่มีอ้อมค้อม บางครั้งเราจึงดูเหมือนว่า พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะความคิดเห็นของพ่อกับแม่ค่อนข้างต่างกันไกลมาก เช่น เรื่องการลงทุน
"ป๊าน่ะ ไม่เข็ดหรือไง ลงทุนหมดตัว ขาดทุนมาจะมีไรกินทำไมไม่เอากำไรมาขยายกิจการ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป นี่อะไรมีแต่หนี้ๆไม่ทันจะปลอดหนี้ก็หาทางสร้างหนี้อีกแล้ว"
" ลงทุนทั้งทีก็ต้องทุ่มให้สุดตัวสิ รู้ดีรู้ชั่วกันไปเลย ทำทำไมครึ่งๆกลางๆ"
" ไม่เอาด้วยคนหรอก คนเราต้องแบ่งไว้บ้างสิคิดไว้เลยว่าจะลงทุนเท่าไหร่ หากหมดก็หมดกันแค่นั้น ไม่ใช่เอาส่วนอื่นไปโปะแบบนี้เวลาขาดทุนก็ไม่จบสักทีลากอย่างอื่นไปด้วย เห็นไหมว่า มีบ้านอยู่ดีๆ ก็เอาไปจำนองธนาคารจนไม่มีบ้านอยู่ " แม่ย้อนให้
แม่จึงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับพ่อ และไม่เคยที่จะไปเซ็นค้ำการกู้ยืมเงินของพ่อเลย
แม่ว่า "แม่ไม่ชอบเป็นหนี้ครอบครัวแม่เป็นข้าราชการ สอนมาเสมอว่าชีวิตไม่มีหนี้ดีที่สุด มีน้อยใช้น้อย ทำมากรวยมากก็ตายเอาไปไม่ได้ ทำงานจนพักผ่อนไม่พอ จนป่วยแบบพ่อ ถามหน่อยเถอะมีความสุขหรือไง"
แต่แม่ก็มักกลุ้มใจเสมอที่ เวลามีปัญหามา แม่เอาเงินพี่แป้นเพื่อนสนิทมา แต่ไม่มีปัญญาใช้คืนเลยสักครั้งเดียว เพราะลำพังเงินที่หามาได้ ก็แทบไม่พออยู่แล้ว หากมีเหตุเช่น รถเสีย ลูกป่วย แม่ก็จะแย่มากมาย ไม่มีเงินพอค่าเล่าเรียนของลูก ยิ่งพ่อที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยธนาคารเดือนละเก้าหมื่นกว่าทำให้เงินกำไรที่ได้มาไม่หลือเลย จ่ายดอกเบี้ย ค่าเช่าบ้าน ค่าลิขสิทธิ์ ค่าพนักงานหมดทุกๆเดือน ไม่เคยพอเลยแม่เอาเงินที่อดออมมาออกมาใช้ จนหมดเกลี้ยง .........................................

แม่ชอบดำรงค์ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเรื่องใครแม้แต่พ่อ แม่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบริษัทที่พ่อทำงานแต่ละที่มีอะไรบ้างอยู่ที่ไหนบ้าง ชีวิตแม่ที่ฉันเห็นสนใจอย่างเดียวคือ ลูกๆ เหมือนแม่ลืมอยู่เพื่อตัวเองมานานแล้ว...........

ไม่นานร้านวีดีโอใหม่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และห้องลึกลับก็ไม่มีศพอยู่แต่อย่างใด
ร้านใหม่นี้ พ่อให้ชื่อร้านว่า "ร้านเยี่ยมวีดีโอ"