13/5/52

ตอนที่ 1 :เมื่อพ่อเดินแล้วล้ม




บทนำเรื่อง "กว่าจะมาเป็นพ่อฉัน"


เรื่องมีอยู่ว่า พ่อฉันนั้นเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี อาจารย์มหาวัทยาลัย และมีกิจการพิเศษอีกอย่างคือเปิดร้านให้เช่าวีดีโอหลังรามฯ และที่อื่นๆ แต่ที่เป็นต้นกำเนิดการเป็นพ่อของฉันที่จะกล่าวถึงคือ ร้านวีดีโอหลังรามนี่แหละค่ะ .....เพราะเป็นสถานที่ๆทำให้พ่อรู้จักกับแม่ของฉันจนกลายมาเป็นพ่อของฉันได้ไงล่ะคะ
"เถ้าแก่ร้านวีดีโอ" เป็นชื่อที่คนย่านนั่นเรียกพ่อกับลูกน้องในร้านเรียกพ่อส่วนแม่ฉันจะเรียกแค่ "เฮีย" ตามที่ลูกค้าร้านวีดีโอเรียกกัน ในสมัยนั้นแม่เป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยเอกชนในย่านนั้น อยู่ที่หอพักใกล้ๆร้านวีดีโอที่พ่อเปิดอยู่ ส่วนพ่อฉันได้เปิดร้านอยู่ที่หอพักที่เพื่อนแม่ชื่อ "จ๋า" เช่าอยู่ เพื่อนชื่อจ๋าของแม่ ได้ชอบเอาเรื่องราวของเถ้าแก่ร้านวีดีโอมาเล่าให้แม่ฟัง แม่เล่าว่า ตอนนั้นเจ้าของหอพักที่จ๋าอยู่เป็นคนขี้งกมาก จุกจิก และใครๆในหอพักสังเกตุว่า เจ้าของหอพักสาว(แก่) จอมขี้งกคนนี้ได้มีความสนใจในตัวเถ้าแก่ร้านวีดีโอจอมขี้เหนียว ก็คือพ่อฉันนั่นเอง วันๆก็จะเอาอาหารที่ตนทำมาให้เถ้าแก่ร้านวีดีโอได้ชิมทุกวัน จ๋าก็เอาเรื่องราวเจ้าของหอพักมาเล่าให้แม่ฟัง แม่ฉันก็ฟังแล้วบอกว่า "ดีออก ขี้งกกับขี้เหนียวสมกันดีจริงๆ" แม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แม่ฉันไม่ได้ไปเช่าวีดีโอนะคะ แต่ไปเช่าหนังสือนิยายที่ร้านวีดีโออ่าน (ร้านวีดีโอของพ่อมีหนังสือให้เช่าอ่านด้วย) หนังสือนิยายในร้านพ่อค่อนข้างเก่ามาก ขาดทุกเล่ม ไม่ได้รับการดูแล แต่พอแม่เช่าปอ่านจะซ่อมกับมาให้ทุกครั้ง แม่ฉันเป็นคนต่างจังหวัด สมัยนั้นวีดีโอใช้อัดทับมาม้วนก็เก่าๆมักคุณภาพไม่ดี แม่ของฉันจะเช่าหนังไปให้ที่บ้านดู เลยมานั่งดูหนังที่ร้านก่อนเช่า หากวีดีโอม้วนไหนดีไม่เต้นแม่ฉันจึงจะเช่า นี่คือวิธีการเช่าหนังของแม่ คือดูก่อน
วันที่พ่อกับแม่เจอกันครั้งแรก แม่กำลังนั่งดูวีดีโอก่อนเช่าอยู่ เฮียเจ้าของร้านก็เดินเข้ามา แม่ว่าแม่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะไม่รู้จักว่าใครเป็นเจ้าของร้าน ส่วนพ่อฉันก็เล่าว่า พ่อสังเกตุว่าเด็กคนนี้มันนั่งดูนี่หว่าไม่มีทีท่าว่าจะเช่า พ่อก็เลยเดินเข้าไปปิดวีดีโอไม่ให้ดู เพราะคิดว่าหากเขาดูจบเรื่องเขาจะเช่ารึ พอปิดปุ๊บ
แม่ก็พูดทันทีว่า "ใครใช้ให้ปิด" พ่อว่า พ่อคิดงงๆว่า "ร้านใครหว่าเนี่ย"
ยังไม่ทันไรแม่ก็พูดต่อว่า "ยังดูไม่จบปิดทำไม"
พ่อก็ว่า"ดูจบแล้วจะเช่ารึ"
"เช่าสิ ไม่จบนั่นแหละจะเช่ายังไง" แม่ตอบ
ตอนนั้นพ่อบอกว่าพ่องงกะเด็กคนนี้มาก มีที่ไหนดูจบจึงเช่าพ่อเลยหันไปถามเด็กในร้านเขาก็พยักหน้าว่า "เช่า" พ่อเลยยอมเปิดให้ดูต่อ นั่นแหละคือเหตุการณ์ครั้งแรกที่พ่อกับแม่เจอกัน
แม่บอกว่า แม่ไม่ได้สนใจอะไรพ่อเลยสักนิด ก็คิดว่าเป็นเจ้าของร้านวีดีโอทั่วๆไป แม่เล่าว่าวันหนึ่งแม่เอาการบ้านไปทำที่ร้าน เพราะที่หอมันร้อน ที่ร้านวีดีโอเปิดแอร์เย็นสบาย ที่นี่เลยกลายเป็นสถานที่ทำการบ้าน พ่อก็มาตรวจร้านเช่นเคย พ่อมาดูการบ้านที่แม่ทำ แม่ไม่ชอบบัญชีและไม่เคยเรียนบัญชีมาก่อน แต่แม่เรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แม่กำลังนั่งงุนงงกับการบ้าน
พ่อก็เข้ามาเมียงมอง และถามว่า "สอนให้เอาไหม"
แม่ก็ตอบพ่อว่า "นี่คุณ นี่ไม่ใช่บัญชีรายรับรายจ่ายร้านวีดีโอนะ ขนาดฉันนั่งเรียนยังทำไม่ได้เลย"แม่ตอบอย่างดูถูกนิดๆ
"เอ้า อยากทำนักก็ทำไป"
แล้วก็ส่งโจทย์ให้พ่อแบบไม่คาดหวังอะไร แถมด้วยกระดาษรายงาน พ่อก็ไปอ่านและทำให้อย่างรวดเร็ว
แม่ว่า "แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด เพราะแม่ไม่รู้เรื่องเลยบัญชีนี่น่ะ" แม่เล่า
วันรุ่งขึ้นไปส่งอาจารย์จึงรู้ว่า การบ้านที่พ่อทำให้มันถูกหมดเลย
แม่เลยกลับไปถามเด็กในร้านวีดีโอที่ชื่อพี่น้อยว่า "พี่น้อยเถ้าแก่เจ้าของร้านนี่เป็นใครเหรอ"
พี่น้อยก็ว่า"เฮียเขาเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วย ร้านนี่แกเปิดเล่นๆสนุกๆ แกจบที่.............." ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐบาล
แม่ก็ฟังแต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ตรวจสอบบัญชีเป็นอย่างไรในตอนนั้น เพราะสำหรับแม่ เฮียร้านวีดีโอที่รู้จักก็แค่ คนจีนธรรมดาๆ ทำมาค้าขาย ก็คงไม่มีความรู้อะไรมากมายมากไปกว่ารู้จักบัญชีรายรับรายจ่ายเท่านั้นเอง
จากนั้นแม่ก็ยังคงมาที่ร้านตามปกติตากแอร์ประหยัดไฟบ้าน(หลังๆคุณยายซื้อบ้านให้แม่แล้วใกล้ๆมหาวิทยาลัย) แม่มานั่งร้านวีดีโอเสมอๆตั้งแต่อยู่หอพักจนกระทั่งซื้อบ้านที่แถวๆมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ แต่บ้านแม่ไม่ติดแอร์ แม่ก็ยังคงมานั่งตากแอร์ร้านนี้อยู่ดี
แม่เล่าต่อว่า เฮียเจ้าของร้านจะมาตรวจร้านแค่วันศุกร์ บางวันแม่มาที่ร้านเฮียก็อยู่ในร้านสูบบุหรี่แม่ก็เข้าไปในร้านแล้วบอกว่า "ใครมาสูบบุหรี่แถวนี้ เหม็นจะอ๊วก" และแล้วแม่ก็สังเกตุเห็นบุหรี่ที่มือเฮียเจ้าของร้าน
แม่ก็เดินเข้าไปดึงบุหรี่ออกแล้วเอาไปทิ้งข้างนอกร้าน พ่อเล่าตอนนี้ว่า พ่อคิดในใจว่า "อีกแล้วเจ้าเด็กคนนี้ร้านใครหว่า บุหรี่ก็บุหรี่เรา เจ้าเด็กคนนี้นี่มันแสนจะหาเรื่อง" แต่พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทำให้พ่อไม่กล้าสูบบุหรี่ในร้านอีกเลย
แม่บอกว่าแม่มาร้านนานจนสังเกตว่า พ่อจะเหงื่อออกเหม็นเวลาเข้าร้านจึงถามพ่อว่า"มาที่ร้านนี้ยังไงเดินมารึ เหม็นมาเชียว"
"เดินมาสิ" พ่อตอบ
"โตแล้ว การงานก็ดี ทำไมไม่ซื้อรถขับ" แม่ถามพ่อในตอนนั้น พ่อก็ไม่ได้ตอบว่าอะไรเพราะแม่ถามแบบไม่สนคำตอบ
แต่ต่อมาวันรุ่งขึ้น พ่อขับรถมาที่ร้านเป็นเปอร์โยสีน้ำตาลทองๆเป็นรถมือสอง มาจอดหน้าร้านวีดีโอ
"รถเฮียเหรอ" แม่ถาม "ใช่เพิ่งซื้อมา สวยไหม" พ่อถามอย่างภูมิใจในสายตาที่เลือก
"สีแก่เหมือนเจ้าของรถเลย" แม่ตอบทันควัน พ่อว่าพ่ออึ้งไปเลยนึกในใจว่า "ปากหรือนี่ เจ้าเด็กคนนี้มันช่างพูดจาตรงเผง ไม่สนคนฟังเลย ว่ารถไม่พอว่าตูอีก"พ่อว่า
วันรุ่งขึ้นพ่อไปเปลี่ยนรถมาใหม่เป็น BMW สีขาวสองประตู คราวนี้ขับไปที่ร้านอีก วันนั้นเป็นวันเสาร์
"เป็นไงคันนี้" พ่อถาม
"รถดูดีขึ้น แต่เจ้าของรถยังแก่อยู่ดี" แม่ว่า
แล้วก็บอกว่า "มานี่ ตามมา"
พ่อก็เดินตามไปก็ไม่รู้หรอกว่า เด็กคนนี้จะพาไปไหน แต่ก็เดินตามไป วันนั้นแม่พาพ่อไปร้านตัดผมวัยรุ่นแถวๆนั้น พอเข้าไปก็จัดการสั่งช่างว่า "ตัดผมรองทรงธรรมดานะ ไถท้ายทอยด้วย "
พ่อก็จำใจไปนั่งที่เก้าอี้ตัดผม พ่อนึกในใจว่า
"ดูเจ้าเด็กคนนี้มันยุ่งกะหัวตู ไม่สนเลยว่าเจ้าของหัวนี่จะยินยอมไหม"
แต่แม่ก็นั่งคอยจนพ่อตัดเสร็จ พอช่างตัดเสร็จแม่ก็ยิ้มพอใจ ตอนออกจากร้านก็บอกกับพ่อว่า
"ค่อยดูดีหน่อย ไม่งั้นแก่ชมัด"
พอเข้าร้านเด็กในร้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า"โหเฮียหนุ่มขึ้นนะเนี่ย" แม่ก็พูดแค่ว่า "เนอะ"
วันนั้นพ่อขับรถไปส่งแม่ที่บ้านที่อยู่ห่างแค่ฟุตบาตเดียว แม่จึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่นั่งรถพ่อเลย
หลังจากวันนั้นพ่อก็คุ้นเคยกับแม่โดยเป็นครูสอนการบ้านให้ ส่วนแม่ก็ทำงานโดยรับแปลระบบบัญชีที่พ่อวางระบบจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ และแม่ก็กลายเป็นผู้ช่วยของพ่อตั้งแต่ยังเรียนอยู่แค่ปีหนึ่งเท่านั้นเอง
แม่เล่าว่า "พ่อนั้นเชยๆ เคยซื้อดอกไม้มาให้เป็นดอกกุหลาบดอกเดียวห่อด้วยพลาสติก บ้างก็เป็นดอกกุหลาบหนูเป็นช่อๆเหมือนเก็บมา แม่ถามก็ไม่บอกว่าเก็บมาจากไหน แม่ก็คิดว่าคงเก็บๆตามบ้านลูกค้ามาแน่ๆเลย แม่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพราะคิดว่า อย่างเฮียคนนี้ซื่อๆเชยๆ รู้จักเอาดอกไม้มาฝากก็ดีแล้วมั้ง ตอนหลังมารู้ว่า ดอกไม้ที่ได้รับมาตลอดเพราะมีเด็กมาขายตามสี่แยกเวลาติดไฟแดงนั้นเอง เพราะวันหนึ่งแม่นั่งรถไปทานข้าวกับพ่อแล้วผ่านแยกไฟแดงจึงเห็นเด็กขายดอกไม้เอาดอกไม้มาขายพ่อ
เลยถึงบ้างอ้อ "สงสัยติดไฟแดงย่านนี้ประจำ" นี่แหละพ่อของหนู จีบสาวเป็นที่ไหนเล่า
แม่เล่าว่าแม่ก็ไม่ได้คิดชอบอะไร สนิทก็แค่แบบเด็กกับผู้ใหญ่ แต่ก็แต่งงานกันเพราะพ่อขอแต่งงานเท่านั้นเอง"และเพราะแม้พ่อจะขี้เหนียวกับใครแต่ไม่เคยเป็นกับแม่เลย" แม่บอก
"พ่อซื้อหนังสือเรียนราคาแพงๆที่แม่ไม่มีให้ตลอดที่เรียนอยู่"แม่พูดอย่างเศร้าๆ
เพราะแม่เคยเล่าว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม่ไม่มีหนังสือเรียน เพราะหนังสือมันแพงมาก ที่บ้านแม่ไม่เคยซื้อหนังสือให้เลยสักเล่มเดียว แม่ไม่มีเงินพอซื้อหนังสือ ได้แต่ขอจากรุ่นพี่บ้าง ขอยืมเพื่อนสนิท คือ พี่แป้นเพื่อนรักของแม่อ่าน จนกระทั่งแยกย้ายคณะกันไปเรียนแม่ก็ไม่มีหนังสือเรียนอีกเลย พ่อจึงเป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลแม่ตลอดมา
ตอนที่ตัดสินใจแต่งงานกับพ่อก็แค่อยากหนีชีวิตที่เป็นอยู่ และที่สำคัญเชื่อว่า พ่อของฉันเป็นคนดี
พ่อมาขอแต่งงานซื้อเรือนหอให้ก่อนวันหมั้น พ่อกับแม่ยังช่วยทาสีบ้านกันอยู่เลย เพราะความขี้งกของพ่อ ไปจ้างช่างที่ราคาถูก พอช่างรับเงินแล้วก็ทำพื้นบ้านเปื้อนไปด้วยสีไปหมด แล้วยังทิ้งงานไม่ทำต่อให้เสร็จ เบิกเงินแล้วก็ทิ้งงานหนีไปเลย กลายเป็นว่าพ่อกับแม่ต้องมานั่งทาสีบ้านเอง พื้นที่เปื้อนก็ล้างไม่ออก จนต้องให้ร้านทำพรมมาปูพรมหมดทั้งหลัง กลายเป็นว่าบ้านของเราบุด้วยพรมอ่อนนุ่มไปหมด
พอถึงวันแต่งงาน แม่ว่า แม่ร้องไห้ในวันแต่งงาน เกิดไม่อยากแต่ง เพราะพอรู้จักญาติพี่น้องของพ่อที่พูดกันแต่ภาษาจีน ก็รู้สึกว่า ตัวเองนั้นโดดเดี่ยวนัก จนเพื่อนๆของแม่ที่มางานมาปลอบใจกัน
แต่ก็ต้องแต่งต่อไปในเมื่อตัดสินใจแล้ว
แม่ยังบอกอีกว่าแม่แต่งงานเหมือนไม่ได้แต่ง พ่อทำงานๆๆๆๆไม่เคยทานข้าวด้วยกันสักมื้อ จนเกิดเหตุพฤษภาทมิฬแล้วย้ายการประท้วงไปแถวรามคำแหงแม่จึงย้ายไปด๔การประท้วงอย่างใกล้ชิด แม่จึงหอบผ้ากลับบ้านที่หลังรามฯ แล้วไม่กลับมาอีกเลย พ่อไปตามก็ไม่กลับจนพ่อต้องย้ายไปอยู่บ้านที่หลังรามฯของแม่แทน
แล้วแม่ก็มีฉัน.......เป็นเพื่อน
นี่แหละคือเรื่องราวย่อๆก่อนที่จะมาเป็นพ่อฉัน
........................................


จากนั้นพ่อก็ยังเป็นเหมือนเดิม ทำงาน ขยายกิจการจนไม่มีเวลาพักผ่อน เคลียดอยู่กับงานตัวเลขและการลงทุน พ่อกลับมาบ้านสิ่งที่ได้ยินคือจะถามแม่ว่า "วันนี้ร้านได้เท่าไหร่" ไม่มีคำถามว่าลูกเป็นไง แม่เป็นอย่างไร ทานข้าวหรือยัง นี่แหละพ่อฉัน
ตอนนั้นพ่อมีรายได้เดือนละสองแสนได้ แม่เคยทะเลาะกับพ่อและบอกว่า"ขอเวลาให้ฉันและลูกบ้างได้ไหม"
"ฉันไม่ได้ต้องการใช้เงินถึงเดือนละสองแสน ขอแค่แสนเดียวแล้วขอเวลาของครอบครัวแทนได้ไหม"
นี่คือสิ่งเล็กๆน้อยๆที่แม่เรียกร้องกับพ่อตลอดเวลา และแม่มักจะร้องไห้อย่างน่าสงสาร
แต่...............พ่อฉันไม่เคยให้ได้เลย
หากแม่บอกว่า "ไปทำงานต่างจังหวัด ไม่เห็นมีของฝากเลย" พ่อก็จะกลับมาพร้อมของฝากมากมายก่ายกองเช่นไปตรวจโรงงานกระเป๋า ก็จะมีกระเป๋ามาฝากประมาณสิบกว่าใบ จนแม่ถามว่า"ซื้อมาไมมากมาย"
"อ้าวก็ไม่รู้ว่าจะชอบแบบไหน ก็ซื้อมาหมดแหละ" พ่อตอบ และกระเป๋าทั้งหมดที่พ่อซื้อมาแม่ก็ไม่เคยใช้เลยเพราะไม่ชอบสักใบ แม่ฉันชอบเรียบๆแต่พ่อชอบแบบมีทองๆแนวจีนจ๋า พ่อฉันทำงานมากโดยไม่เคยสนใจว่า แม่ฉันหรือลูกชอบอะไร สนใจอะไร พ่อมีแต่งานและเงิน และคิดว่า เมื่อมีเงิน ปัญหาจะหมดไปได้
ตอนที่พ่อเริ่มเป็นโรค ALS ฉันเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อายุได้แปดปี น้องชายคนกลางอายุได้ 6 ปี อยู่ฉันประถม 1 ส่วนน้องเล็กเรียนอยู่อนุบาล 1 น้องของฉันสองคนเรียนเก่ง น้องชายฉันสอบได้ที่ 1 น้องเล็กก็ได้ที่ 2 ส่วนฉันก็มักได้อยู่ในอันดับไม่เกินที่ 5 เสมอๆ
พอนึกถึงน้องชายของฉัน "น้องฉลาม" มีเรื่องเล่าให้ฟังอยู่เรื่องหนึ่งคือ น้องฉลามนั้นเป็นน้องชายที่หน้าตาน่ารักทีเดียว เหมือนอาเสี่ยน้องแก้มแดง สมัยนั้นน้องฉลามอยากขึ้นเครื่องบินมาก แม่ฉันเลยบอกว่า "หากสอบได้ที่ 1 จะพาไปขึ้นเครื่องบิน" ในปีนั้น น้องฉลามดันสอบได้ที่หนึ่งเสียจริงๆ แม่เลยต้องทำตามคำพูด แม่แอบพาน้องไปขึ้นเครื่องบินในตอนสายๆวันหนึ่ง แม่ฉันผู้เป็นคนหลงทางเป็นชีวิตจิตใจ ไม่เคยเดินทางไปไหนเลยแม้ในกรุงเทพก็มักไปกับพ่อและเพื่อนสนิท แม่คิดว่าจะพาน้องนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ เพราะเป็นต่างจังหวัดแห่งเดียวที่แม่เคยไปตอนทำงาน แม่เล่าว่า แม่โทรไปหาพี่แป้นเพื่อนสนิท เล่าให้พี่แป้นฟังว่ากำลังจะพาลูกชายตัวแสบไปขึ้นเครื่องบิน ตอนนั้นแม่ก็คิดว่า ขึ้นไปถึงแล้วก็ซื้อตั๋วกลับแค่นั้นเอง พี่แป้นเพื่อนรักของแม่ฉันก็แนะว่าไปทำไมที่เชียงใหม่ ไปภูเก็ตสิ แล้วพี่แป้นก็ฝากฝังให้พี่อู๊ด น้องชาย ไปรับแม่กับน้องฉลามที่สนามบิน
น้องของฉันกลับมาเล่าอย่างตื่นเต้นว่า "เครื่องบินลำใหญ่ๆ ได้ไปภูเก็ตแฟนตาซีด้วย พี่อู๊ดพาไปเล่นเกมส์"
แม่ไปบ้านพี่แป้นก่อน ไปสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ของพี่แป้น ที่พวกเราเรียกว่า ป๋ากะมะ ตอนน้องฉลามเที่ยวเสร็จแล้วจะกลับบ้าน ป๋าพี่แป้นถามน้องชายว่า "สนุกไหมมาเที่ยวภูเก็ต"
น้องชายฉันก็ตอบว่า "สนุกครับ พรุ่งนี้จะมาใหม่ จะชวนพี่พลอยกับน้องเล็กมาด้วย"
ป๊าและทุกคนที่ได้ฟังเลยหัวเราะกันใหญ่แล้วถามต่อว่า "ภูเก็ตไกลไหม"
"ไม่ครับ แป๊บเดียวเอง" น้องชายตอบ ผู้ใหญ่ทุกคนก็ยิ้มและหัวเราะกันยกใหญ่
นี่แหละน้องฉัน สมัยนั้นน้องก็ยังเด็กมา ไม่เข้าใจว่ามันไกลแต่เพราะนั่งเครื่องบินเลยใกล้ต่างหาก
น้องชายฉันคนนี้ต่อมาพ่อฉันเปลี่ยนชื่อเป็น "น้องเยี่ยม" เพราะพ่อบอกว่า อยากให้น้องเป็นเยี่ยมในทุกๆเรื่อง น้องเยี่ยมก็เลยเยี่ยมสมกับที่พ่อต้องการ น้องชายฉันเป็นเยี่ยมด้านกีฬาอย่างโดดเด่น จะจับจะเล่นอะไรก็เป็นไวมาก คิดดูนะคะ ตอนฉันประถมปีที่6 น้องชายฉันประถม4 ฉันตัวโตครูพละอยากให้เล่นบาสเกตบอล ขนาดสอนให้ฟรีหลังเลิกเรียน ส่วนน้องชายประถม2 ตัวนิดเดียวเอง แม่ต้องไปขอร้องให้ครูพละสอนเพราะน้องชายอยากเรียนมาก ไปฝึกแป๊บเดียวน้องชายจากเริ่มต้นได้ขึ้นไปอยู่ระดับสาม ส่วนฉันยังอยู่ระดับเริ่มเรียนอยู่เลย ชูทลูกบาสยี่สิบลูกไม่เข้าสักลูกเดียว แต่น้องชายตัวนิดเดียวเข้าตั้งห้าลูก และกีฬาทุกประเภทน้องชายก็เล่นได้ดีหมดทุกชนิด โดยเฉพาะว่ายน้ำเร็วปานฉลามเลยทีเดียว เคยได้รับเหรียญมาก็หลายเหรียญ
พ่อรักน้องชายมากเลย ฉันรู้ดีเพราะ ฉันเคยประเดิมเอาค้อนเด็กเล่นไปทุบหัวน้องชายตอนน้องอายุครบหนึ่งเดือนแถมเป็นวันตรุษจีนพอดิบพอดี แต่ตอนนั้นฉันสองขวบ ฉันก็เลยโดนพ่อไล่ออกจากบ้านตั้งแต่อายุได้สองขวบ นึกแล้วก็ขำ จำได้รางๆว่า ตอนนั้นน้องชายฉันร้องไห้ ฉันก็คิดว่าเอาค้อนตีหัวแล้วคงหยุดร้อง แต่หัวเด็กทารกยังอ่อนเลยเลือดซึม เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าปล่อยเด็กเล็กๆอยู่ด้วยกันตามลำพังนะคะ

ส่วน"น้องเล็ก" ตอนพ่อป่วยอยู่อนุบาลหนึ่ง น้องเล็กคนนี้ ชื่อเล็กเพราะเป็นลุกคนสุดท้าย ฉลาดมาก ชอบลักจำจากที่พี่ๆท่องหนังสือ สมัยน้องเล็กยังไม่เข้าโรงเรียน พวกเราท่องศัพท์ในรถทุกวัน ตอนนั้นฉันชอบจำคำว่า Building ที่แปลว่าตึกไม่ได้ พ่อถามฉันหลายรอบฉันก็ลืมได้ทุกวัน
แต่น้องเล็กคงรำคาญหนักก็พูดว่า"ก็แปลว่าตึกยังไงเล่าพี่พลอย" เล่นเอาพวกเราต้องหันไปมองน้องกัน
น้องเล็กเป็นเด็กที่สร้างความขำได้บ่อย อย่างเช่นตอนที่จะไปสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนอนุบาล
เราต้องมีการซ้อมกันก่อน ฉันก็ถามน้องเล็กว่า "What is your name?"
"My name is Small" เล็กตอบ "เล็กทำไมตอบอย่างนี้ละ พี่พลอยสอนแล้วไง" ฉันดุ
"อ้าวพี่พลอย ก็ Small มันแปลว่าเล็กไม่ใช่เหรอ เป็นภาษาอังกฤษก็ต้องแปลจากเล็กเป็นSmallสิ"เล็กเถียง
นี่แหละน้องสาวของฉัน แม่เลยต้องอธิบายว่า "ไม่ต้องแปลชื่อ"
พอคำถามต่อไป "Where do you come from?" ฉันถามน้องเล็ก
"I come from NoteBookPen." เล็กตอบ
"หาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไรกันเล็ก" พวกเราร้องออกมาพร้อมๆกัน
"อ้าวก็บ้านเราอยู่สมุดปากกาไม่ใช่เหรอ" เล็กแย้ง "สมุดก็NoteBook ปากกาก็Pen ไม่ถูกหรือคะ"
บ้านฉันอยู่สมุทรปราการค่ะ แต่ว่าน้องเล็กคงไม่เข้าใจฟังเพี้ยนไปเพราะน้องแค่สามขวบ แกได้ยินสมุทรปราการเป็นสมุดปากกา พอถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษ น้องของฉันก็เลยแปลมันหมดทุกอย่าง
สมัยไปโรงเรียนวันแรกน้องเล็กก็ไม่เคยร้องไห้งอแงเหมือนเด็กทั่วไป น้องเล็กอยากไปโรงเรียนแต่พอวันที่สองเป็นมีเรื่อง "เล็กไม่อยากไปโรงเรียน" น้องเล็กประกาศลั่น
"อ้าว ทำไมละคะ เมื่อวานก็ไม่เห็นงอแงเลยนี่นาเล็ก" แม่ฉันถาม
"โรงเรียนไม่เห็นสนุกนี่คะ มีแต่เพื่อนๆแข่งร้องไห้กัน เล็กเลยไม่อยากไปแล้ว" เล็กบอกเหตุผล ที่ไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว
เห็นไหมละคะน้องฉัน มีเหตุผลดีซะด้วย
พอไปโรงเรียนเล็กก็มีปัญหามาถามแม่อีกจนได้ เพื่อนน้องเล็กบางคนมีปานแดง เล็กก็กลับถามว่า
"แม่ขา ปานมีกี่สีคะ" แม่ฉันก็นับตามที่เคยเห็น "สีดำ สีแดง สีเขียว สามสีนะที่แม่เคยเห็น"แม่ตอบ
"แล้วปานกลางล่ะคะสีอะไร" เล็กถามต่อ แล้วแม่ฉันจะรู้ไหมเนี่ย
นี่แหละน้องเล็กของฉัน ผู้ซึ่งชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์อย่างโดดเด่น เหตุผลคือ เขียนน้อยดี
แต่ชอบอ่านหนังสือวิทยาศาตร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เวลาอ่านหนังสือวิทยาศาตร์นะคะเรียกไปเหอะไม่ได้ยินหรอก สมาธิแน่วแน่ น้องเล็กสนใจวิทยาศาตร์มาก แต่ชอบคณิตศาสตร์เพราะไม่ต้องเขียนคำตอบมาก เพราะน้องฉันชอบเขียนหนังสือแบบที่ต้องส่องกระจกแล้วจึงจะอ่านรู้เรื่องทั้งภาษาไทยและอังกฤษ น้องเล็กมักแก้ปัญหาได้ดีมาก เช่น ตอนหลงทางในห้าง เวลาคนมากๆ ตอนนั้นเราไปห้างกันหลายคน เลยไม่รู้ว่าใครจูงใคร คนแยะมากเบียดกันแน่น มีคนที่จูงน้องเล็กปล่อยมือน้อง น้องเล็กคลาดกับคนจูงก็ยืนเฉยๆ แล้วแหกปากตะโกนลั่นไม่ไปไหนว่า "แม่จ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เสียงดังจนแม่ได้ยิน แม่จำเสียงน้องได้เลยสงสัยหันไปถามคุณป้า คุณยายว่าจูงน้องเล็กอยู่หรือเปล่า ปรากฎว่าไม่มีใครจูงเลย แม่ตามเสียงเรียกไป อ้อ..!!!ลืมไป น้องชายฉันก็เคยหลงทางในห้างด้วยนะคะ เหตุเพราะแม่พาน้องชายไปในร้านทำผมที่แม่ไปสระผม ที่ร้านสระผมมีที่กั้นเวลาลูกค้าสระผม น้องชายชั้นเล่นเพลินเงยหน้ามาไม่เห็นแม่ จึงเดินตามหาไปทั่วพอไม่เจอ น้องชายก็ไปหาประชาสัมพันธ์และบอกเบอร์โทรที่บ้านตามพ่อมารับกลับบ้าน ปล่อยให้แม่วิ่งหาทั่วห้าง ตอนนั้นน้องเยี่ยมอายุ5ขวบเอง

เล่าเรื่องน้องทั้งสองมาหมดแล้ว คราวนี้ก็เป็นเรื่องของฉันบ้าง ฉันชื่อ"พลอย" ซึ่งเกือบมีชื่อว่า "จุ่นศรี" เพราะแม่ว่า อยากทำให้ท้องของแม่จุ่นนักตอนตั้งท้อง เลยจะแกล้งตั้งชื่อลูกว่า จุ่นศรี กลั่นแกล้งที่ทำให้ท้องแม่ไม่สวยและสะดือจุ่น ตอนฉันเกิดมีน้ำหนักแรกเกิดคือหนึ่งกิโลสองขีด เหตุผลที่หนักแค่นี้เพราะ แม่ฉันขี้เกียจอุ้มท้องแล้ว แม่ครรภ์เป็นพิษปวดท้องเสมอๆ และท้องแม่ไม่โต ทำให้ฉันถีบแม่แรงหรือเวลาขยับตัวในท้องมันทำให้แม่อึดอัด เพราะเวลาฉันขยับตัวท้องแม่จะมีปุ่มๆมากมาย แม่เล่าให้ฟังนะคะ
จนแม่ไปถามหมอว่า "หมออัลตร้าซาวแน่แล้วนะ ลูกในท้องไม่มีแขนขาเกินสองข้าง"
แล้วแม่ก็จะถามหมอทุกครั้งว่า "หมอคะ ดูดีๆนะคะ ว่าลูกในท้องมีแค่สองมือสองเท้า"
แล้วจากนั้นแม่ก็เร่งวันคืนจนหมอรำคาญผ่าฉันออกมาก่อนกำหนด แล้วฉันก็กำเนิดมา แรกเกิดเหมือนอีทีตัวเหี่ยวย่นผอมแห้ง ตาโตเบิกโพรง แขนเหมือนปีกไก่ยังไงยังงั้นเลย ตามที่เห็นจากรูปถ่ายในวัยเด็ก
แม่เล่าว่า"ตอนแม่ผ่าหนูออกมานะ มีคนมาเยี่ยมตามปกติ ญาติๆน่ะแหละ แต่ไม่มีใครพูดหรือถามถึงเด็กที่เพิ่งเกิดเลยสักคนเดียว ตอนนั้นแม่คิดว่า "หนึ่งลูกตาย สองลูกพิการ สามลูกปัญญาอ่อน" ดูนะแม่ฉัน ช่างคิดได้
แม่บอกว่า "ตอนแม่ท้องแม่ก็ร้องไห้เสียใจ เพราะแม่เพิ่งจบจากมหาลัยไม่นาน มีลูกเร็วเพราะคุมกำเนิดไม่เป็น ไม่มีคนแนะนำ แต่พ่ออยากมีลูกมากๆด้วย เนื่องจากพ่ออายุห่างกับแม่มาก แม่ร้องไห้เพราะไม่รู้จะเลี้ยงลูกอย่างไร ตอนที่ทราบว่าท้อง แม่ไม่เคยเลี้ยงเด็กเลย แถมไม่ชอบเด็กอีกต่างหาก" แต่คุณพ่อ ก็คือคุณตาของฉันบอกว่า จะเลี้ยงให้เลยหยุดร้องไห้ได้
ฉันเกิดมาตอนพ่อมีฐานะ แม่ซื้อเสื้อผ้าสวยงามให้ฉันเหมือนเล่นตุ๊กตา เสื้อผ้าของฉันจะสวยงาม มีหมวก ผ้ากันเปื้อน ถุงเท้ารองเท้าเข้าชุด แม่ไม่ได้คิดฉันเป็นลูกอะไรเท่าไหร่ แต่คิดว่าเป็นตุ๊กตาแน่เลย ตั้งแต่ฉันจำได้ เราแม่ลูกเหมือนเพื่อนกันมากกว่า แม่เล่าว่าฉันเลี้ยงยากเพราะมีปัญหาเรื่องการกินนม ตำราการเลี้ยงลูกน่ะต้องปิดไปเลย ไม่สามารถใช้ได้เลย ฉันกินนำครึ่งออนใช้เวลาสามชั่วโมง กินเสร็จอ๊วกอีกต่างหาก
"หากทำตามตำราล่ะก็ ลูกคงต้องกินทั้งวันคืน" แม่ว่า
ฉันทำวีรกรรมไว้มากมายในตอนเด็ก เช่น ตอนอนุบาลหนึ่ง เคยเอาลูกปัดเล็กๆใส่หูเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนสนิทฉันนอนอยู่ข้างกัน ชื่อ "เนย" ฉันเก็บลูกปัดสวยๆได้ ตอนนั้นนึกไปถึงหนังแขกเขามีลูกปัดสวยๆใส่ที่จมูกนึกอยากให้เพื่อนสวยแบบหนังแขกบ้าง
จึงบอกเนยว่า "เนยเอาลูกปัดใส่ในจมูกนะ"
ตอนนั้นคิดว่าต้องใส่ในจมูกมันถึงจะงอกออกมาเป็นแบบในหนังแขก แต่เนยสิบอกว่า
"ไม่ได้พลอยเดี๋ยวเนยหายใจไม่ออก เอาใส่ที่หูดีกว่า" แล้วฉันก็เอาลูกปัดใส่ในหูเนยแทน
แล้วเนยก็ลืมไปเลย กลับถึงบ้านตอนค่ำเนยปวดหู แม่ของเนยเลยเอาสำลีพันแล้วแคะหูให้เนย แคะจนลูกปัดลึกไปถึงแก้วหู เนยปวดหูหนังขึ้นจนพ่อแม่เนยต้องเอาเนยส่งโรงพยาบายถึงสามโรงพยาบาลเพื่อหาโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ เพราะเนยเพิ่งนึกได้ว่ามีลูกปัดอยู่ในหูและเพิ่งบอกแม่ นี่แหละวีรกรรมของฉัน
ฉันมีพี่เลี้ยงประจำตัว มีคนรับใช้ จนโต ฉันไปไหนกับแม่เสมอ มีครั้งหนึ่งฉันสี่ขวบแม่ไปเซ็นทรัลมิดไนท์เซลเอาฉันไปด้วย แม่เดินเพลินไปหน่อย มือหนึ่งถือถุง มือหนึ่งจูงลูก เดินไปเดินมาลูกล้มบ่อยๆ
แม่ก็ดุว่า "เดินดีๆสิพลอย" แล้วก็จูงเดินต่อไป แล้วฉันก็เดินล้มอีก
แม่เล่าว่าคราวนี้แม่นึกได้ จึงดูนาฬิกา "อ้าวจะเที่ยงคืนแล้ว" จึงก้มมาดูลูก เห็นลูกหลับตาเดิน ที่จริงคือลูกหลับไปแล้ว แม่ช๊อปปิ้งจนลืมดูเวลา ที่ล้มก็เพราะลูกหลับแต่ฝืนเดินไม่งอแง แม่บอกว่าครั้งนั้นรู้สึกผิดจับใจที่ดุลูก ก้มไปอุ้มลูกพาดบ่า มืออีกมือถือถุงและพากลับบ้าน
แม่บอกว่า ฉันไม่เคยเป็นเด็กร้องเอาของเล่นใดใด สมัยเด็กๆตอนวัยหัดพูด ฉันพูดไม่ได้เลยพูดช้ากว่าเด็กทั่วๆไป ก็ฉันจะพูดได้อย่างไรเล่าคะ วันๆฉันอยู่กับแม่แค่สองคนในบ้าน แม่ฉันชอบอ่านหนังสือ และไม่พูด ไม่ชอบดูทีวี หรือไม่ก็นั่งตรวจบัญชี ฉันจึงไม่รู้ภาษาเลย แต่พอแม่เอาฉันไปฝากที่บ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด ตอนแม่ไปทำงาน กลับมาถึงลูกเรียกแม่ได้เลย
พอฉันเข้าโรงเรียนก็เป็นเด็กที่เรียนดีช่วยเหลือตัวเองได้ดี เพราะด้วยความที่แม่ฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นเลยมักสอนให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองเสมอเท่าที่วัยเด็กอย่างฉันจะสามารถทำได้ เช่น หากฉี่เลอะพื้น ไม่ไปเข้าห้องน้ำเองจะให้เช็ดเอง แม้แม่จะมาเช็ดอีกรอบก็ตามแต่จะให้เช็ดเองก่อน จนฉันไม่เคยฉี่เรี่ยราด หรือนอนฉี่รดที่นอน แม่จะสอนให้พับผ้าเช่นกางเกงชั้นในใส่ตามล็อคให้เรียบร้อย จัดหนังสือ ดินสอสีของ เหลาดินสอของตัวเองเป็นต้น หากทานอาหารหก ก็ต้องเช็ดเองด้วย แล้วแม่จะมาเช็ดต่ออีกที แม่ไม่ชอบป้อนข้าวเด็ก ฉะนั้นแม่จะมีเก้าอี้เด็กแล้วให้ฉันละเลงกินเองตามความสามารถในวัยที่จับช้อนได้แล้ว ลูกของแม่ไม่มีคำว่าเลือกทาน แม่สอนให้ทานผักแต่เด็กๆ ทานอาหารเหมือนคนทั่วๆไป แม่บอกว่าหัดทานทุกอย่างที่คนกินได้ อยู่ที่ไหนจะได้ไม่ลำบาก เวลาเข้าครัว แม่จะให้ลูกคอยเด็กผัก พอโตหน่อยก็หัดหั่น ลูกๆทุกคนของแม่ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะต้องทำได้หมด แม่ว่าหญิงหรือชายก็ควรทำเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องช่วยเหลือตัวเองเล็กๆน้อยๆเป็น จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น
แม่ว่า วิธีการเลี้ยงลูกของแม่คือ "เลี้ยงอย่างแม่ขี้เกียจเลี้ยงลูก คือ เลี้ยงให้เขาช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด แล้วคนเป็นแม่จะสบาย" นี่แหละคือแม่ฉัน
ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ถูกเลี้ยงมาค่อนข้างดี ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ไม่เคยสมบุกสมบันยกเว้นตอนเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องทำงานกับเรียนไปด้วย จบมาก็ทำงานกับพ่อเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยขับรถ ไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบสมาคมกับใคร เก็บตัว และไม่ชอบเลี้ยงเด็ก
แต่วันนี้แม่ต้องรับภาระเพียงคนเดียวกับลูกสามคน แม่เป็นคนดุ เด็ดขาด
กฎของแม่คือ "ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และลูกๆจะไม่โดนดุเลย"
หลักการสอนคือ "สอนให้ลูกคิดให้เป็น คิดดี ทำดี อนาคตอยากเป็นอะไรต้องวาดฝันและทำให้ถึงฝันด้วยตัวเอง เพราะแม่ไม่สามารถเลี้ยงพวกหนูจนตายได้"
แม่ไม่ใช่แม่ประเภทที่ว่า ฉันรักลูกนะ ลูกอยากได้อะไรต้องหาให้หมด ถ้าแบบนั้นล่ะก็ไม่ใช่แม่ฉันแน่เลย
เพราะหากฉันอยากได้บ้าน แม่จะบอกว่า "เรียนเก่งๆ จะได้มีงานดีๆทำ ไม่ลำบาก ทำงานเก็บเงินซื้อบ้านได้แน่"
แม่ฉันไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรเพื่อตัวเองเลย มีแต่ของลูกทั้งนั้นเท่าที่รู้จักแม่มา แม่ไม่ชอบแสดงออกว่ารักลูกมากมาย แต่ฉันรู้ว่าแม่รัก แม่เลี้ยงลูกอย่างเพื่อน หากเราจะไปไหนบอกแม่ อยากเล่นอะไรก็บอกแม่ แม่จะพาพวกเราไปเท่าที่ทำได้ เราสี่คน มีกินก็กินด้วยกัน อดก็อดด้วยกันเสมอมา ฉันรู้ว่าแม่เหนื่อยมากมายตอนพ่อฉันป่วยและทำงานไม่ได้ และพวกเราก็เล็กเกินกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้ นอกจากเป็นลูกที่ดี ตั้งใจเรียนแค่นั้นเอง
ที่จริงชีวิตพวกเราก็ค่อนข้างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่ง..........................





"โครม " เสียงดังจากในห้องน้ำ ทำให้ทุกคนในบ้านวิ่งมาดูกัน
ป๊ะป๊า จับกบเหรอ เสียงแม่ร้องถาม ขณะที่วิ่งมาดู และผลักประตูห้องน้ำเข้าไป
เสียงแม่เรียกบอกว่า
."พลอยๆๆ มาช่วยแม่หน่อย แม่ฉุดไม่ไหว"
พวกเราวิ่งเข้าไปช่วยพยุงพ่อให้ลุกขึ้น
พวกเราก็มีแม่ ฉัน ที่เรียนชั้นประถม 4 น้องชาย ชื่อ ฉลาม เรียนชั้น ประถม 2
น้องเล็ก อยู่ชั้นอนุบาล3 ช่วยกันสมานสามัคคี ฉุดพ่อขึ้นมาจากการล้มที่พื้นห้องน้ำ
แล้วพยุงเข้าไปพักในห้องนอน
แม่เอายามานวดๆให้ป๊า พวกเราก็ช่วยด้วย คนละไม้คนละมือ
แม่ถามพ่อว่า "ไปให้หมอดูหน่อยไหม"
"ไม่ต้องมั้ง" พ่อตอบ "แค่ล้มเองเดี๋ยวก็หาย ขาขัดๆนิดเดียวเอง"
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อล้ม และนั่นเป็นอาการเริ่มต้น ของโรค ALS เส้นประสาทไขสันหลังเสื่อมอย่างที่ไม่มีใครรู้เลย ว่านี่คือผลของโรคนี้ จนคร่าชีวิตพ่อฉันไป
ตอนนั้นพ่ออายุได้ 45 ปี ทำงานทางด้านวางระบบบัญชี และเปิดร้านวีดีโอ เป็นอาชีพเสริม พ่อเป็นคนขยัน ทำแต่งาน ออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กว่าจะกลับก็ตีสอง เสาร์อาทิตย์พ่อก็ไม่เคยพักเลย พ่อเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชีบริษัทมากมาย ได้รับความไว้วางใจ เพราะพ่อเป็นคนซื่อสัตย์ และขยัน รอบคอบ พ่อจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย
พ่อเล่าว่าชีวิตในวัยเด็กของพ่อลำบาก ชีวิตตั้งแต่วัยรุ่นมาก็ทำแต่งาน พ่อเล่าว่าบ้านพ่อไฟไหม้ ต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยทางบ้าน เพื่อให้น้องคนอื่นๆได้เรียน พ่อจึงมาได้เรียนเมื่อโตแล้ว พ่อจึงมุมานะในการเรียนและการทำงานมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ พ่อจบบัญชีมาก็มุ่งจะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี จากนั้นเมื่อพ่อเก่งกล้าจนเป็นผู้วางระบบบัญชี พ่อได้เป็นที่ปรึกษาบริษัทต่างๆมากมาย พ่อก็ไม่หยุดแค่นั้น พ่อเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในตอนเย็นๆ พ่อเปิดร้านวีดีโอหลายร้าน ร้านอาหาร และยังชอบซื้อบ้านไว้ขาย พ่อไม่เคยมีวันหยุดมีแต่วันทำงาน พ่อไม่เคยหัวเราะ จุดหมายของพ่อที่บอกเราคือ พ่ออยากมีเงิน 100ล้าน อยากรวย พ่อจะทำการค้าโดยลงทุนหมดตัว พ่อบอกว่าคนเราหากจะตั้งใจทำอะไร ก็ลงให้มันถึงที่สุดไปเลย ซึ่งเรื่องนี้ต่างกับแม่เสมอ แต่แม่ไม่เคยทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้ แม่ว่า เงินของเขาอยากทำอะไรทำไป อย่ามาเอาของเราไปก็แล้วกัน แต่แม่ก็ใจอ่อนให้พ่อเอาบ้านไปจำนองจนได้ พ่อฉันนั้นมักไม่มีเวลาให้ครอบครัว หากแม่ต่อว่า คำตัดสินของพ่อก็คือ ทำบัตรเครดิตให้ จนแม่เองเบื่อที่จะซื้ออะไร พ่อฉันเป็นพวกไม่เข้าใจจิตใจของคน คิดว่าเงินคือทางออกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะไม่เคยเข้าใจจิตใจแม่ฉันเลย ( ฉันไม่ได้ตำหนิพ่อนะคะ แค่อยากถ่ายทอดความจริงในมุมมองที่ลูกคนหนึ่งมองเท่านั้น เพื่อให้คุณพ่อท่านอื่นๆที่ได้อ่านได้เข้าใจผู้หญิงที่เป็นภรรยา หรือลูกของคุณเองด้วย)
พ่อของฉันเป็นคนประหยัดสุดๆ สมัยเปิดร้านและรู้จักกับแม่ใหม่ๆ แม่เล่าว่า พ่อไปทำงานโดยขึ้นรถเมล์ ทานข้าวเช้าที่บ้านตัวเอง ทานข้าวกลางวันที่บริษัท และกลับมาดูร้านที่หลังรามฯ ขึ้นรถเมล์มาตามเคยและเดินทะลุรามฯมาที่ร้านวีดีโอ และทานข้าวเย็นที่หลังรามซึ่งราคาถูกมาก และกลับบ้านด้วยรถเมล์ สองบาทไปคลองเตย แม่คำนวณว่าวันหนึ่งๆพ่อคงใช้เงินวันละห้าสิบบาทเท่านั้น มีลูกน้องมากมาย แต่ที่ร้านวีดีโอบอกว่าทุกเทศกาลทำงานกับพ่อมานาน ไม่มีเงินแต๊ะเอียหรือเลี้ยงข้าวลูกน้องเลย นี่แหละพ่อฉัน “ขยัน ประหยัด อดทน” สมเป็นพ่อตัวอย่างจริงๆ
ส่วนแม่ฉันตอนนั้นช่วยพ่อดูแลกิจการที่ร้านและรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกทุกๆคน พ่อกับแม่อายุห่างกันได้ 13 ปี ขนาดที่ใครๆคิดว่าแม่ของฉันเป็นลูกสาวคนโตก็บ่อยไป มีครั้งหนึ่งลูกค้าที่ร้านวีดีโอมายืนจีบแม่ แถมบอกกับพ่อฉันว่า
“เฮียนี่โชคดีจังนะครับ มีลูกสาวโตทันใช้” พ่อแทบสำลัก แต่แม่ขำๆ เพราะคงชินแล้วกับการโดนทักแบบนี้
หรืบางทีเราไปซื้อของเล่นกัน คนขายมาบอกแม่และฉันว่า “ไปบอกพ่อสิน้องให้ซื้อให้”
พวกเราจึงมีแต่แม่เป็นเพื่อนตลอดมา เพราะแม่เป็นคนที่พาลูกไปโรงเรียน ไปรับกลับบ้าน สอนหนังสือให้พวกเรา ทำอาหารให้ทาน และเล่นด้วยกันทุกๆอย่าง เรียกว่าแม่ไปไหน พวกเราก็ไปด้วย
แต่สำหรับพ่อ พ่อกลับบ้านตอนพวกเราหลับแล้ว ไปทำงานก็ตอนที่พวกเราไปโรงเรียนกันแล้ว เพราะเราจะออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า เผื่อรถติด เราเรียนที่คลองเตย แต่บ้านเราอยู่สำโรง ก็ไกลอยู่ นั่นคือชีวิตประจำวันของพวกเรา

แล้วเราก็ลืมเรื่องพ่อล้มกันไปเลย เพราะคิดว่า คงเหมือนพวกเราที่ล้มกันเป็นประจำ หายเจ็บเดี๋ยวก็หาย ไม่มีอะไรต้องวิตก แม่ก็ไม่ได้พูดถึง แค่ถามๆบ้างว่า ขาหายยังเท่านั้นเอง แล้วก็วางยาไว้ให้ทา

ผ่านไปสักเดือน พ่อก็บอกแม่ว่า ยังขาขัดๆอยู่เลย แม่เลยพาพ่อไปหาหมอ หมอก็ให้มาแค่ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบ และยาทา ซึ่งมันก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก และพ่อก็ยังเดินขาขัดๆ แต่ไม่มีอาการเจ็บอะไรเลย

จนพ่อบอกกับแม่ว่า "สงสัยขาพ่อคงไม่เท่ากัน หรือไม่ก็รองเท้าสึก ส้นเท้าไม่เท่ากัน เลยทำให้เหมือนเดินขากะเพรกๆ "

"บ้า แล้วป๊ะป๊า" แม่ว่า

"ถ้าจะไม่เท่ากันแบบที่ป๊าว่า คงเดินกะเพรกมานานแล้วล่ะ ไมเพิ่งมาเป็น" แม่เถียง


แล้วพ่อแม่ฉันก็เริ่มเยงกัน ว่าด้วยเรื่อง ขาสั้นข้างยาวข้างซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการหกล้มของพ่อในระยะหลัง แล้วพ่อก้ไปร้านรองเท้า ตัดรองเท้าคู่ใหม่ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หากคิดแบบนั้นก็ทำไป แค่รองเท้าใหม่คู่เดียว แต่อาการหกล้มของพ่อ ก็ยังเกิดขึ้นเสมอๆ พ่อก็ยังไม่มีอาการเจ็บตรงไหน แต่ขาก็ยังเดินขัดๆ จนล้มได้อยู่ดี

พ่อบอกว่า เหมือนขามันไม่ก้าวตามสั่ง

พอพ่อก้าวแล้วขามันก็ขัดแล้วก็ล้มลง