4/4/53

ตอนที่ 13 : จิตนำกาย


" จิตนำกาย " นี้ หากไม่เจอกับตัวเองคงไม่เชื่อเท่านี้ เพราะเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเขียนถึงผู้คนมากมายที่ป่วยเป็นโรคร้ายๆที่ต้องตายในไม่ช้า แต่เพราะตั้งจิตให้มั่น แล้วพูดกับตัวเองว่า เราจะต้องหายๆ คนเหล่านั้นก็อาการดีขึ้นและหายจากโรคได้ ฉันเคยมองว่ามันเหลือเชื่อ และคิดว่าเขาคงไม่ได้หายจากการกำหนดจิตนั่นหรอก น่าจะหายจากยาที่หมอให้มากกว่า เพราะคงไม่มีใครนั่งพูดกับตัวเองว่า "จงหาย จงหาย จงหาย "แบบนั้นแล้วยกเลิกการรักษาจากคุณหมอไปเลย

แต่พ่อฉัน......................
เมื่อกิจการร้านเยี่ยมเจอมรสุมหนักที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ และในที่สุดร้านเยี่ยมก็ต้องปิดกิจการลง ประกอบกับวีดีโอระยะนั้นไม่ดีแล้ว มีแต่คนไปเช่าวีซีดีกัน พ่อตัดสินใจ ปิดกิจการทุกร้านลงพร้อมๆกัน นับจากนั้น...........
อาการของพ่อก็ทรุดลง พ่อทานอะไรๆก็ลำลักบ่อยๆ แม้แต่น้ำ จึงทานอาหารแข็งๆไม่ได้อีก ต้องเปลี่ยนเป็นข้าวตุ๋นข้นๆ
อาหารเดินขัดๆก็มากขึ้น กล้ามเนื้อลีบลง ขาสั่นและกระตุกเป็นพักๆ แต่บ่อยๆ มือที่ตักอาหารเข้าปากก็แทบไม่ไหว เขียนหนังสือไม่ได้ พ่อขับรถไปทำงานอย่างยากลำบาก ทำให้พวกเราเป็นห่วง แม่บอกให้หยุดขับรถนั่งแท๊กซี่ไป พ่อก็ไม่ฟังยังคงบอกว่าพ่อยังไหว
แล้วในที่สุดพ่อก็ล้มในที่ทำงาน
พ่อพยายามยื้อทุกอย่างไว้ ไม่ให้เจ้าของบริษัทเห็นว่า พ่อป่วยจนไม่สามารถทำงานได้
แต่ พัฒนาการของโรคไม่เป็นใจเลย
ครั้งนั้นเมื่อผลตรวจจากโรงพยาบาลออกมาว่า
" กระดูกไขสันหลังคุณหดตัวลงนะ" หมอของพ่อบอก
" การตรวจตอนนี้ชัดเจนว่าคุณเส้นประสาทสันหลังเสื่อมแน่นอน และมันเลวร้ายลงมากในตอนนี้ คุณยังไม่ค่อยพักผ่อนใช่ไหม " พ่อพยักหน้า
" มีทางรักษาวิธีอื่นได้ไหมครับ "
" ที่จริงมีวิธีการสเตมเซลล์ แต่ยังไม่เป็นที่รับรองในวงการแพทย์ เคยมีคนไข้บางคนไปทำที่เมืองจีนมา
แต่สุดท้ายติดเชื้อตาย " หมอเล่าให้พ่อฟัง
" โรคนี้ปัจจุบันก็ยังไม่สามมารถระบุได้แน่ชัดว่าเกิดเพราะอะไรมันจึงลำบาก "
"หมอครับ ผมถามตรงๆนะครับ แล้วผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ " พ่อของฉันถามเสียงเครือน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
" ให้ลูกๆออกไปก่อนได้ไหม " เพราะหมอคงเห็นพวกเราสามคน จ้องหน้าหมอเขม็ง
" พลอยพาน้องๆออกไปก่อนนะลูก " แม่หันมาบอก
"ค่ะแม่"
พอพวกฉันออกไปนอกห้อง ฉันให้น้องสองคนไปนั่งที่นั่งรอพบแพทย์ แต่ฉันยังคงยืนอยู่หน้าห้องหมอนั่นเอง
" ผมอยากรู้จริงๆน่ะครับ "
" โดยอาการของคุณ คุณจะอยู่ได้ประมาณสามเดือน "
แล้วทุกอย่างในห้องนั้นก็เงียบลง.............................

ฉันไม่ได้อยู่ฟังต่อ ความรู้สึกในตอนนั้น สมองสับสน นึกถึงวันที่จะไม่มีพ่อที่มักเกาะฉันเวลาเดิน
แม้ไม่สนิทกับพ่อนัก แต่คำว่าไม่มีพ่อ พ่อตาย ฉันก็ไม่อยากจะได้ยิน ฉันเดินไปนั่งเงียบๆกับน้อง
แล้วนึกต่อไปว่า แล้วชีวิตพวกเราจะเป็นอย่างไร นึกๆน้ำตาก็คลอออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่นาน ก็เห็นพยาบาลเข็นพ่อออกมา แม่ก็เดินตามออกมา สีหน้าแบบเรียบเฉย เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ
แล้วก็หันมาพยักหน้าให้พวกเราเดินตามไป

ฉันเดินมาจูงมือแม่ แม่บีบมือฉันเบาๆ แล้วหันไปเอาอีกมือจูงน้องสองคนเหมือนเคย แม่ไม่พูดอะไรเลย
จ่ายเงินเสร็จก็พาพวกเรากลับไปที่ร้าน ร้านสาธุฯนี้เราคงจะคืนเจ้าของอีกสามเดือนข้างหน้า รอหมดเงินค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าไว้ ระยะทางกลับร้านดูนานมาก แม่นั่งหันไปมองข้างทาง แต่ฉันรู้เพราะแม่แอบร้องไห้ไม่ให้ลูกเห็นเลยหันหน้ามองข้างนอก
" แม่จ๋า ฉันจะช่วยแม่อย่างไรดี" ฉันนึกในใจ
แม้ทุกอย่างดูจะดำเนินไปเหมือนเดิม กิจการร้านก็เริ่มบอกขายหนังวีดีโอให้คนที่จะสะสมหนังดีๆ หนังที่ตัวเองชื่นชอบเพื่อเก็บไว้ดู
ลูกค้าคักคัก เพราะเทปเก่าขายไม่แพง ดีกว่าเก็บไว้
ส่วนโต๊ะอุปกรณ์ร้านอาหารที่ขายได้ก็ขายออกไป ยังขายไม่ได้ก็เอาไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนของพ่อที่มีบ้างว่างๆอยู่จนเต็มไปสองหลัง
พ่อต้องออกจากงานเพราะไม่สามารถกระย่องกระแย่งไปทำงานได้อีก เนื่องจากงานของพ่อบางทีก็ต้องไปต่างจังหวัด ตรวจงาน การที่ไปไม่ได้ก็เหมือนทำงานไม่เต็มที่ ลูกค้าของพ่อก็ไม่กล้าไล่พ่อออกตรงๆ
เพราะสงสารแต่พ่อบอกว่าพ่อทราบดี จึงลาออกเองดีกว่าให้เขามาสมเพชมากกว่านี้
พ่อฉันวันๆหนึ่งก็นั่งอยู่ในห้องชั้นสองบ้าง นอนบ้าง แต่นัยตาพ่อไม่ได้หลับ แต่เหม่อลอย พ่อเริ่มบีบแม่ที่ทำงานด้านแปลงวีดีโอลงซีดีให้แม่ขยายกิจการเยอะๆจนแม่มีปากเสียงกับพ่อ
" นี่ป๊า น้องน่ะ มีมือแค่สองมือสองขานะ แค่นี้กลางวันกลางคืนก็แทบไม่ได้นอนอยู่แล้ว ไหนจะทำงานไหนจะไปรับเทป ไหนจะไปส่งงาน ส่งลูกรับลูก คนนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์"แม่เถียง
" แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่กิจการจะโต" พ่อบ่น
" โตไม่โตก็มีปัญญาทำแค่นี้ จำไว้นะว่าทำคนเดียว ทำได้แค่นี้ อย่ามายัดเยียดอะไรให้ฉันทำ"
" เหมือนพูดกับเด็กไม่เข้าใจการค้า"
" ไม่เข้าใจน่ะไม่เกี่ยว แต่ฉันทำคนเดียว แค่นี้ยังไม่มีเวลาพัก ฉันจะทำเท่าที่ฉันทำได้ "
แม่เถียง
แม่ของฉันทำงานนี้มานานมีลูกค้าประจำมากมาย แต่แม่ต้องนั่งรถเมล์ไปรับงานเวลาลูกค้ามีงานเข้ามาตามจุดที่วางป้ายต่างๆ พอรับงานมาก็ต้องมาทำตอนกลางคืน แล้วพอเสร็จก็ต้องไปส่งที่จุดเดิม ในเวลาไม่เกินสองวันนับแต่รับงาน แม่แทบไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว แต่พ่อที่ทำงานไม่ได้ ก็จะบีบให้แม่ออกไปทำงานรับงานมากๆ งานของแม่มันก็เยอะอยู่แล้ว บางวันเป็นสิบม้วน ม้วนละสามร้อยบาทแม่ก็จะได้สักสองร้อยบาทร้อยบาทถือเป็นต้นทุนค่าเปอร์เซ็นค่ารถบ้าง บางครั้งแม่ก็โชคดีมีลูกค้าให้ทำที่สามลัง ทำไปหกเดือนก็ยังไม่เสร็จได้เงินมากมาย
แต่สิ่งที่ฉันได้ยินคือพ่อที่พยายามบีบให้แม่วางป้ายมากขึ้นเพื่อให้ได้งานมากขึ้น แต่แม่มีแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ไม่มีเงินลงทุน เพราะเงินทุกอย่างก็หมดไปกันค่ายาของพ่อ ค่าใช้จ่ายในบ้าน และค่าเทอมลูกสามคน แม่จะมีเงินเหลือได้อย่างไร และถึงจะมีเครื่องเพิ่มขึ้นแต่แม่ก็ต้องทำงานคนเดียวไม่มีผู้ช่วย
แล้วฉันก็จะได้ยินเสียงบ่นของพ่อทุกๆวัน เพราะพ่อทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งบ่นแม่ จนแม่เบื่อที่จะโต้แย่ง เวลาลูกค้าโทรมาหาแม่ แม่รับโทรศัพท์บ่อยๆก็มีปัญหาอีก
พ่อเริ่มมีเรื่องว่าแม่เรื่องใหม่ๆได้เสมอ บ้างก็เรื่องเก่าๆที่นึกขึ้นมา
บ้างก็เรื่องใหม่ๆที่พ่อจินตนาการด้วยความว่างของตัวเองขึ้นมาว่า
แม่จะหาสามีใหม่ หรือจะทิ้งพ่อไป หรือจะมีชู้ สารพัดที่พ่อจะจินตนาการมาว่าแม่ของฉัน จนแม่อดไม่ได้
" นี่คุณ ไม่มีงานทำนักใช่ไหม ถึงชอบหาเรื่องนัก สนุกมากหรือไง "แม่ขึ้นเสียงเถียงในวันหนึ่ง
" เพื่อนเฮีย เมียมันยังทิ้งไปมีชู้เลยเวลาสามีไม่มีเงิน" พ่อแย้ง
" นั่นเมียเพื่อนคุณ ไม่ใช่ฉัน คนเราไม่เหมือนกัน อย่ามาเหมารวม"
" ไม่ได้เหมามีตัวอย่างตั้งมากมาย "
"ช่างพวกเขา แต่ไม่ใช่ฉัน"
แต่พ่อก็ยังไม่หยุดว่าแม่จะทิ้งไปจนแม่บอกว่า
" เอาเป็นว่า หากฉันจะทิ้งคุณ คงเพราะปากของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณล่มจมหรอกนะ"
เสียงพ่อเลยสงบลง แต่หน้าตาพ่อยิ้มเยาะ แสยะ ขัดตานัก
แม่โมโหมากในครั้งนั้น พ่อมักเอาเรื่องสารพัดขุดมาด่าเสมอ นับวันจะหยาบคายขึ้น
แม่เริ่มทนไม่ไหว..............
หลายๆครั้ง แม่ชวนพวกเราหนีออกไปข้างนอกเลย
บางครั้งแม่พาพวกเราไม่นอนโรงแรมด้วยซ้ำ แล้วไม่กลับบ้าน จนลุงหนวดเพื่อนของพ่อที่เป็นผู้รับเหมามาตาม แถมยังบอกว่า หากแม่ไม่กลับ จะนอนเฝ้าหน้าห้องที่พวกเรามาอยู่นี่แหละ เพราะลุงหนวดเป็นห่วงที่มาอยู่กันเองแม่ๆลูกๆ แต่ลุงหนวดก็ไม่รู้ว่าช่วงไม่กี่วันที่ออกจากบ้านมาทำให้พวกเรารู้สึกปลอดโปร่ง
ผ่อนคลายจากความเคลียดลงบ้าง เพราะหลายปีมานี่แม่ก็เหมือนมีภาระหนักอึ้งวางทับอยู่บนตัว ไปไหนไม่ได้ ขนาดแม่ฉันทำงานขนาดนี้ ยังมีคนจากบ้านป๊ามักโทรมาเช็คบ่อยๆว่าแม่ฉันออกไปเที่ยวไหนหรือเปล่า เฝ้าร้านหรือเปล่า ซึ่งทำให้แม่โมโหอยู่เรื่อยๆ บ้างเวลาเจอแม่ก็ถามว่าเสื้อผ้าที่ใส่ราคาเท่าไหร่ แม่ก็ไม่ใช่คนใส่แบรนเนมอยู่แล้ว เสื้อผ้าก็ของเดิมๆ ยังโดนถามแบบนี้ บางครั้งแม่อารมณ์ไม่ดีเลยแกล้งถามว่า "มีปัญหาอะไรหรือ " แม่บอกว่า เงินฉันก็ทำได้เอง ไม่ได้เอาเงินของลูกเขามาใช้สักหน่อยยังขนาดนี้
ในที่สุดแม่ก็พาลูกๆกลับไปที่ร้านสาธุฯตามเดิมคราวนี้พ่อก็ดีอยู่สักไม่กี่วัน แล้วก็คงเริ่มอาการเดิมอีก
ไม่มีเรื่องกับแม่ ก็มีเรื่องกับพวกฉันโดยบังคับให้ลูกๆท่องหนังสือมากมาย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
พ่อไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็เลยมาสอนลูกอย่างคนไม่เก่งไม่รู้เรื่องคือ ท่องจำประโยคที่เขาพูดๆกันแล้วให้เราจำมาดัดแปลงเอา วิธีนี้แม่ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าแม่สอนเองมาจะเริ่มจากคำศัพท์ไวยกรณ์พื้นฐาน แล้วสอนแต่งประโยคจากง่ายไปยาก ค่อยๆฝึกไปให้พวกเรารู้จักการแต่งประโยคได้เอง แม่ว่าเมื่อแต่งเก่ง ไวยกรณ์ถูก รู้ศัพท์ ฝีกฝนไปก็จะแต่งเร็วขึ้น เวลาพูดก็จะง่ายขึ้นเพราะแต่งได้เร็ว พวกเราหันไปมองแม่ขอความช่วยเหลือ
แต่แม่เดินมากระซิบว่า " ทำๆไปเถอะ เบื่อคนบ่น อีกอย่างคิดเสียว่าทำเพื่อความสุขของพ่อ พ่อคงมีความสุขในการที่บังคับให้คนอื่นๆทำตามใจตัวเอง"
ฉันก็ว่างั้น
แต่พ่อฉันก็บังคับได้เพียงสองคนคือ ฉันและน้องเยี่ยม ส่วนน้องเล็กพ่อไม่สามารถบังคับอะไรได้เลย
น้องเล็กที่จริงดูเหมือนไม่ใช่เด็กดื้อ แต่จะว่าเป็นเด็กขี้เกียจก็ไม่น่าใช่เพราะเวลาน้องเล็กสนใจเรื่องใด เช่นการอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ น้องเล็กก็จะอ่านอย่างมีสมาธิมากมายไม่สนเสียงเรียกใดๆ แต่หากอะไรที่ไม่อยากทำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าพ่อจะหลอกล่อด้วยรางวัลใดใด ก็ไม่มีทางสำเร็จ
พ่อคงไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กๆว่า เมื่อกลับมาจากโรงเรียน ทำการบ้านเสร็จ อ่านหนังสือทำงานเสริมที่แม่ให้จากที่โรงเรียนมาแล้ว ก็อยากมีเวลาส่วนตัวประสาเด็กๆบ้าง เช่นดูการ์ตูน เล่นกีฬา หรือวาดรูปเล่น
แต่เราสองคนกลับโดนบังคับให้ท่องบทสนทนาต่างๆ จนหลับไปเลย
พ่อคงไม่รู้ว่า อะไรที่เด็กๆรู้สึกว่ายัดเยียด แม้พื้นฐานนั้นมาจากคำว่า "หวังดี" ของพ่อก็ตาม แต่มันทำให้เรารู้สึกต่อต้านและเหมือนโดนบังคับ
อะไรที่มากเกินไปมันก็ทำให้รู้สึกล้า เหมือนน้ำที่ถูกเติมจนล้นแล้ว เหมือนลูกโป่งที่โดนอากาศอัดแน่นแล้วพองจนแตก
เวลาฉันบ่นให้แม่ฟัง " แม่ก็มักบอกว่า อะไรยอมได้ก็ยอมไปเถอะพลอย ดีกว่ามีเรื่องรกหู "
ระยะนี้ฉันมักโดนพ่อดุว่าเป็นประจำ จนฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ดูจะผิดไปหมดในสายตาพ่อ
ถึงขนาดที่พ่อขู่ว่า "พลอยหากดื้อนักจะพาไปอยู่กับคุณยายที่เมืองชล"
ฉันลองย้อนคิดดูคงเป็นเพราะฉันต่อต้านพ่อที่บังคับมากเกินไป
พ่อเคยไปรับฉันที่โรงเรียนกับแม่ ฉันเคยนั่งชิงช้าอยู่ พอพอมานั่งข้างๆ ฉันก็จะลุกไปนั่งกับแม่แทน
จนพ่อถามฉันว่า "พลอยเกลียดพ่อมากหรือไง ถึงทำแบบนี้"
"เปล่านี่คะ"
" แล้วทำไมลุกไปนั่งกับแม่เวลาพ่อมานั่ง"
" ก็พลอยอยากนั่งตรงนี้ " ก็คือข้างๆแม่
แต่สุดท้ายคนที่รับเคราะห์คือแม่ " ดีนะ สอนลูกให้เกลียดพ่อตัวเอง"พ่อหาเรื่องแม่
" ฉันไม่เคยสอน "
"แต่เด็กทุกคนความรู้สึกจะไว หากใครรักเขาๆก็จะรักตอบ"
" แล้วเฮียไม่รักลูกหรือไง"
" ความรักไม่ใช่แค่พูด คุณมองตัวเองสิ แล้วดูว่าสิ่งที่คุณแสดงออกกับลูกมันคืออะไร "
ในความคิดของฉันและแม่ก็คือ พ่อรักน้องเยี่ยม ตามใจน้อง ชอบเอาของเล่นที่น้องเยี่ยมอยากได้มาเป็นเครื่องจูงใจให้น้องเยี่ยมยอมทำตามที่พ่อสั่ง เช่น
" ถ้าเยี่ยมท่องประโยคสนทนาได้50ประโยคพ่อจะซื้อชุดรถยนต์ที่เยี่ยมอยากได้ให้"
ซึ่งเรื่องนี้แม่มักคัดค้านเสมอ
" คนเราหากอยากจะทำตาม หากจะตั้งใจเรียน หรือขยันท่องหนังสือผลประโยชน์ที่ได้มันก็ตกอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่ใคร หากป๊าสอนลูกแบบนี้มันจะทำให้เด็กติดนิสัยไม่ดี คือจะทำต่อเมื่อมีเงินมีของมาให้ มันไม่ใช่ความตั้งใจจริง แบบนี้ไงบ้านเมืองถึงมีแต่คอรัปชั่น เพราะสร้างนิสัยแบบนี้ให้กับเด็ก"แต่พ่อกลับไม่สนใจบอกแม่ว่า
"ไม่สนทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ลูกท่องได้ก็แล้วกัน"
และแม่ก็สอนฉันเสมอว่า

แต่ฉันก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามฉันถึงการเรียกตกต่ำลงอย่างหน้าใจหาย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แม่โดนเรียกพบผู้ปกครองเพราะฉัน
ฉันรู้สึกเสียใจที่ทำให้แม่เดือนร้อน จากการเรียนระดับดีเลิศกลายเป็นเด็กที่เรียนปานกลางได้ที่สิบกว่า
แม่ไปพบคุณครูประจำชั้นของฉันที่โรงเรียนฉันไม่ทราบว่าคุณครูพูดว่าอะไร ถามแม่ว่าอะไรบ้าง
แต่แม่ไม่ได้กลับบ้านแล้วมาดุด่าฉัน
แม่ยังคงไม่พูดอะไร แม้ฉันมองแล้วมองอีกจะให้แม่เอ่ยเล่าให้ฟัง
เงียบ...................
แต่ฉันรู้


" แม่ไม่ได้ยึดติดกับเกรดของพลอยนะลูก หากแม่มองแล้วว่าลูกทำเต็มความสามารถแล้ว ที่ผ่านมาแม้พลอยเกรดไม่ดี แม่ก็ทราบอยู่ว่าเพราะอะไร แต่ที่แม่อยากเห็นคือ แม่จะต้องทำให้ความมั่นใจในตัวเองของพลอยกลับคืนมา"

ช่วงนี้แม่บอกว่า ฉันเหมือนคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มักซุ่มซ่ามหลงๆลืมๆถามอะไรก็จะตอบว่าไม่รู้ หรือกลัวว่าพูดอะไรจะผิดเสมอๆ เพราะฉันมักจะถูกพ่อดุเวลาตอบคำถามพ่อ พ่อมักดุฉันว่า "ห้ามเถียงทำไป" เวลาพ่อสั่งให้ทำอะไร แล้วฉันไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
การออกความเห็นกลายเป็นเด็กเถียง เด็กผิดเสมอ
แม่ฉันสอนให้พูดตรงๆ" แม่บอกว่าคนเราหากเก็บความโกรธความไม่พอใจไว้มากๆมันก็ระเบิดได้ ไม่เหมือนการพูดความรู้สึกกันไปตรงๆ เพราะไม่มีใครจะมีความสุขได้หากต้องทำตามใจอีกคนได้ตลอดไป เพราะมันไม่ใช่ตัวเราเอง"
แต่กับพ่อ การบอกความรู้สึกตรงๆคือ การที่เราเถียง เราผิด เด็กต้องมีหน้าที่ทำตามอย่างเดียว แม้เด็กจะเห็นว่าผู้ใหญ่ทำผิด เด็กไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น
แต่หากแม่แล้ว แม่จะถามว่า " ที่พลอยทำแบบนี้มันถูกไหม "ก่อนที่แม่จะลงโทษ แล้วหากแม่ลงโทษล่ะก็มันจะรุนแรงมากทีเดียว
แต่หากฉันตอบว่า " ไม่ผิดค่ะ " แม่ก็จะถามเหตุผล ว่าทำไมไม่ผิด แล้วจะชี้แจงว่า

ความคิดฉันมันบกพร่องอย่างไรถึงคิดว่าไม่ผิดได้
การลงโทษแม่ทำที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของฉันมีอยู่ครั้งหนึ่ง
วันนั้น...............
น้องเน ลูกพี่ลูกน้องฉันมาเล่นที่ร้านสาธุฯ
ฉันกับน้องเนก็เล่นกันอยู่ที่ชั้นสองในตอนแรกแม่วุ่นกับลูกค้าอยู่ที่ชั้นล่าง
ฉันรื้อเครื่องสำอางของแม่มาแต่งแต้มสีสรรค์ให้น้องเนอย่างสนุกสนาน แค่นั้นไม่พอยังเอาผ้าสวยๆมาโพกให้น้อง ในความคิดตอนนั้นคือ จะแต่งตัวให้น้องเนสวยที่สุดเพื่อจะให้น้องไปช่วยต้อนรับลูกค้าเวลาเข้าร้าน แล้วฉันก็พาน้องเนน้องเล็กน้องเยี่ยมลงไปหน้าร้านที่แม่ทำงานอยู่ แล้วให้น้องนั่งคอยตรงประตูเวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ให้พูดว่า


" เชิญค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ" แล้วก็ยกมือไหว้ลูกค้าด้วย
น้องเนคนดีก็ทำตาม
แม่ที่ยุ่งๆ กับลูกค้าเริ่มสังเกตเสียงหัวเราะที่ฉันและน้องคนอื่นหัวเราะน้องเน แม่เรียก
"พลอยพาน้องๆขึ้นข้างบนลูก "
เฉยพวกเราคงเล่นอยู่เหมือนเดิม
" พลอยขึ้นข้างบนลูก พาน้องไปเสียงมันดัง "
เฉยฉันยังคงสนุกกับการสั่งน้องเนทำโน่นนี่ล่าสุดก่อนเสียงคำของแม่ครั้งที่ สิบเอ็ด
ฉันสั่งให้น้องเนต้อนรับให้ดียิ่งขึ้น


" เน นั่งพนมมือเลยนะเน เวลาลูกค้าเข้ามาก็กราบ แล้วบอกสวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับ "
และลูกค้าที่มีมาบ่อย  ก็สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้ฉัน เพราะน้องเนแสนจะน่ารักทำตามคำสั่งเสมอ
แม่คงเหลือบไปเห็นที่น้องเนกราบลงพื้นเวลาลูกค้าเข้ามา
"นกดูลูกค้าด้วย" แม่สั่งพนักงานที่ชื่อพี่นก
"แม่ไม่พูดอะไร มาจับมือฉันลากขั้นไปที่ห้องชั้นสอง"
สภาพห้องที่รกมาก ตู้เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเปรอะเปื้อนไปด้วยเครื่องสำอางประเภทต่างๆ ลิปลิคที่หัก เสียหายด้วยฝีมือเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างเกลื่อนห้อง แม่สั่งว่า
"ห้ามลงไปอีกนะ หากลงไปแม่จะตี "
วันนั้น พอน้องเนกลับบ้านแล้วแม่ก็กลับมาถามฉันว่า
" ทำแบบนี้ผิดไหมพลอย"
" การที่ลูกเอาน้องไปกราบลูกค้าแบบนั้น หากพ่อแม่ของน้องเนทราบเข้าจะเป็นอย่างไร อีกอย่างหนูให้ลูกเขากราบลูกค้าเพื่ออะไร "
" หนูให้น้องเป็นพนักงานต้อนรับต้อนรับลูกค้านี่คะ "
" ถึงแม่ต้องการลูกค้าก็จริงก็ไม่ต้องการให้ลูกหลานไปกราบกรานลูกค้าขนาดนั้น แล้วหากลูกให้เนต้อนรับแบบนั้น ทำไมลูกไม่ทำเสียเอง นี่อะไรให้น้องทำแล้วตัวเองยืนหัวเราะน้อง"
" หากใครให้ลูกแม่ทำแบบนั้น แม่ก็จะโกรธเหมือนกัน มันเหมือนดูถูกลูกของแม่"


" แบบนี้ผิดไหมพลอย "


แม่ชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่โดนรื้อค้น และเครื่องสำอางค์ที่กระจัดกระจาย
" ลูกรู้ไหม เครื่องสำอางค์แม่ก็ซื้อเพราะพลอยแสดงงานที่โรงเรียน เพราะต้องการให้ลูกใช้เครื่องสำอางค์ดี อ่อนโยนไม่มีอันตรายต่อผิวเด็กๆ กว่าแม่จะซื้อได้ มันแพง แล้วลูกทำมันเสียหายแบบนี้ ลูกไม่คิดบ้างหรือว่าแม่จะเสียใจ"
" แบบนี้ผิดไหมพลอย"
" ก็พลอยเอามาแต่งหน้า เอาน้องมาต้อนรับลูกค้า พลอยไม่ผิด"
" ไม่ผิดหรือพลอย" แม่เริ่มโมโห
" หากพลอยไม่ผิดพลอยก็เป็นเด็กไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็นแยกแยะความผิดไม่ถูก อีกหน่อยก็ไม่รู้จักคำว่าผิดชอบชั่วดี"
" จะตอบว่าไม่ผิดอีกไหม"
" ไม่ๆๆๆๆๆๆ"
ฉันไม่ยอมง่ายๆ


แล้วแม่ก็ตีๆๆๆๆๆไม่นับ ตีจนฉันสารภาพว่าผิด
พอแม่หยุดตี ขาฉันก้นฉันมันก็เป็นรอยไม้บรรทัดไปหมดไม่มีว่างเว้นเลย
แม่หายามาทาให้ แต่มันหนักมากจนเป็นรอยช้ำ
ขาที่พ้นรอยกระโปรงโดนแม่ตีจนเวลาไปโรงเรียนเห็นชัดเจน
พอตอนเย็นแม่ไปรับคงเห็นว่าคุณครูภา คุณครูประจำชั้นฉันเห็นรอยอันนี้แม่ก็เล่าให้ครูฟังตามความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นฉันอยู่อนุบาลตามวัยแค่5ขวบ แต่ก็ทำให้แม่โกรธมากมาย
ฉันจึงคิดว่า การที่แม่โดนคุณครูประจำชั้นฉันเรียกไปพบนั้น คงต้องทำให้ฉันโดนตีอีกแน่นอน แต่คราวนี้ กลับมีแต่ความเงียบ.....................
ทั้งๆที่ฉันรอให้แม่ตี ทำโทษฉันที่เกรดฉันตกต่ำลงมาก
และครั้งนี้ หากแม่มาถามว่า "ผิดไหมพลอย"
ฉันคงตอบว่า"ผิดค่ะแม่" อย่างเต็มใจ แต่ไม่มีคำถามนั้นจากแม่เลย


"จิตนำกาย"จึงไม่ได้มีผลกระทบแค่พ่อแต่มันคงหมายถึงฉันด้วย การที่จิตใจไม่ปลอดโปร่ง การเรียนก็ไม่ดี ไม่อยากจะเรียนเหม่อลอยชุ่มซ่าม ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง
หรือที่เกิดกับน้องชาย ที่น้ำตาไหลเวลานั่งเรียนอยู่
คนที่ไม่รู้เรื่องราวและรับผลกระทบใดใดเลยน่าจะเป็นน้องเล็กที่ไม่มีใครสั่งน้องให้ทำอะไรได้นอกจากแม่และอาจเพราะน้องยังเด็กจนเกินกว่าจะเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่


ฉันอยากให้วันเวลามันย้อนกลับมาได้
ฉันยังนึกถึงบ้านของเราที่ศรีนครินทร์ที่มีรอยยิ้ม มีเสียหัวเราะ
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช่วยแม่ล้างรถและพวกเราขึ้นไปบนหลังคารถจนตัวเปียกชุ่มทั้งสามคนหรือตอนที่ช่วยแม่ซักผ้า แล้วพวกเราก็แช่กะละมังเล่นน้ำกันสนุกสนาน
หรือจะเป็นตอนที่พวกเราช่วยกันทำอาหาร ตีไข่บ้างหั่นผักบ้าง
แต่วันนี้ไม่มีอีกแล้ว.................
วันที่แสนสุขได้จากไปนานแล้ว
และหลังจากการไปพบคุณครูประจำชั้นของฉันครั้งนั้น ที่จริงความเงียบเฉยของแม่แต่ภายในมีอะไรอีกมากมาย
แม่พยายามที่จะให้ฉันคิด ฉันทำฉันพูด และแสดงออกตามที่ใจต้องการ แม่จะหมั่นถามความคิดเห็น หาเรื่องให้ฉันตัดสินใจ แม้เรื่องเล็กน้อย เช่น " ทานอะไรดีพลอยวันนี้" " พลอยหยิบชุดให้แม่ที แม่จะไปงานเลี้ยงรุ่น ไปพบปะเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอมาสัก20ปี" หรือ" แต่งตัวให้น้องที" หลายๆเรื่องดูเหมือนเป็นการใช้ฉันให้ทำงานแต่เปล่าเลย ที่จริงมันทำให้ฉันรู้จักคำว่า " ตัดสินใจ " โดยอาศัยข้อมูลที่แม่บอกเช่น แม่จะไปงานเลี้ยงรุ่น ชุดที่เหมาะสมกับแม่เมื่อฉันเลือกแม่ก็จะใส่โดยไม่โต้แย้ง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจมากกว่าจะดูว่าเป็นการใช้งานจากแม่


เรื่องงานเลี้ยงรุ่นมัธยมครั้งนี้ถือว่าเป็นงานสำคัญมาก เพราะว่า นับจากแม่จบการศึกษาชึ้นมัธยมศึกษาปีที่หกของโรงเรียนก็ไม่เคยจะไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่ามัธยมเลย แม่เข้ามหาวิทยาลัยและก็ไม่ติดต่อใครเลย เนื่องจากชีวิตแม่ต้องทั้งเรียนและทำงานหนัก และแม่เวลาทุกข์ก็ชอบเก็บตัวเงียบๆคนเดียว
งานครั้งนี้ทำให้เพื่อนๆที่ทราบข่าวว่าแม่ซึ่งเป็นเพื่อนที่หายไปนานถึงยี่สิบจะมางานคืนสู่เหย้าครั้งนี้ เพื่อนๆที่โทรบอกข่าวกันถึงกับเห็นเป็นความแปลกใจที่ทำให้เพื่อนเก่าที่แม้จะอยู่เหนือ ใต้ อีสาน ก็พามารวมตัวในงานครั้งนี้ เรียกว่าครบแทบทุกคนที่ตามตัวได้เลยทีเดียว เหตุผลคือ อยากเจอบุคคลลึกลับของรุ่นแล้วแม่ก็ปรากฏตัวในงานเลี้ยงรุ่นที่ร้านอาหารชื่อดัง
เพื่อนๆของแม่ หลายๆคน คิดว่าแม่ยังโสดอยู่มาจีบแม่เหมือนสมัยที่เรียนอยู่ก็มี แต่พอฉันและน้องๆปรากฏตัวขึ้น ทำให้เพื่อนๆแม่อึ้งกันมากที่แม่มีลูกโตขนาดนี้แล้วแถมยังมีถึงสามคน แต่แม่ก็ยังดูไม่เปลี่ยนแปลงมากมายนอกจากน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยตามวัยในตอนนั้น
ฉันมองดูแม่ ที่นั่งเงียบๆ มองดูเพื่อนๆคุยกันยิ้มหัวเราะบ้างเป็นครั้งคราว
ตอนนั่งรถกลับบ้าน ฉันคุยกับแม่ว่า " แม่สนุกไหมคะ"
" ความสนุกหรือสุขของแม่อยู่ที่ลูกมีความสุขก็พอแล้วพลอย"
" คนเราน่ะเมื่อภาระและวัยที่เปลี่ยนความสนุกมันก็แตกต่างกันไปจ๊ะ ตอนเราเด็กๆ แค่เล่นกับเพื่อนก็สนุกแล้วโตมาหน่อยไปทานอาหารกับเพื่อนๆคุยเล่นกันก็สนุกแล้ว " ดวงตาแม่ดูเศร้าๆ เมื่อนึกถึงอดีต
" แต่พอโตขึ้นมีครอบครัวมีลูกส่วนใหญ่ เราก็คิดถึงแต่ลูก ดูพัฒนาการของลูกๆ ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง"
" อย่างพลอย ตอนพลอยเด็กๆ ไม่เคยคลาน แต่พอวันที่ลูกนึกจะยืนก็ยืนขึ้นมาแล้วหันมามองแม่เหมือนกับจะพูดว่าแม่ขาหนูเก่งไหมแต่ไม่นานพลอยก็หงายหลังบนเตียงผึ่งไปเลย จนทำให้แม่ต้องหัวเราะลูก"
" ส่วนเยี่ยม พอวางพื้นปุ๊บก็คลานปั๊บ ไม่เคยหยุดนิ่ง ซนที่สุดและสามารถร้องไห้ได้นานตั้งแต่กรุงเทพไปชลบุรี"
"ส่วนเล็กก็สามารถมีคำถามแปลกๆมาถามอยู่เรื่องให้แม่งง"
"แต่ลูกทั้งสามคนเป็นเด็กดี ไม่เคยงอแงเวลาไม่ได้ดั่งใจ เมื่อแม่บอกว่าแพงไม่มีเงินซื้อก็คือต้องหยุดแค่นั้น "
แม่ชอบเล่าเรื่องพวกเราตอนเด็กๆให้ฟังเสมอฟังแล้วบางทีก็อดที่จะขำตัวเองไม่ได้


แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเตรียมย้ายไปสีลม เนื่องจากสัญญาสิ้นสุดลง
พวกเราหันกลับไปมองร้านวีดีโอที่อยู่กันมาร่วมสามปีอีกครั้งแต่แม่ ไม่หันไปมองเลย เวลาแม่ตัดใจอะไรแล้วก็มักไม่นึกถึงมันอีก.....................
แล้ววันนี้เราก็ย้ายไปสีลมคนที่ช่วยขนของคือแฟนครูตุ่ย "ครูตุ่ย" เป็นคุณครูประจำฉันของน้องเล็กที่อยู่อนุบาลหนึ่ง ซึ่งถูกคอกันดี เพราะแม่ช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องสื่อการสอน เป็นคนตรงๆเหมือนกัน จึงถูกคอกันดี
แม้จะรู้สึกไม่อยากย้ายที่อยู่บ่อยๆ ที่ไหนๆที่ได้อยู่ก็ย่อมมีความผูกพัน ไม่มากก็น้อย
ลุงๆป้าๆที่ขายของแถวตลาดที่ใจดี ที่มักทักทายพวกเราทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นเจ๊เฮียงขายไข่ลวก เจ๊ดำขายอาหารตามสั่ง เจ๊เหลียนขายข้าวแกง ลุงโตจอมเจ้าชู้ขายขาหมู หรือแม้แต่เจ๊ที่ขายก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าร้านทอง ทุกๆคนเอ็นดูพวกเรา และมีน้ำใจอันดีเสมอ ในชุมชนเล็กๆที่หาเช้ากินค่ำ แต่ก็มีรอยยิ้มให้กัน
ลาก่อน สาธุประดิษฐ์..................


"จำไว้นะพลอย หากจะเป็นคนดีต้องรู้จักคิดดีทำดี ด้วยตัวเอง การที่โดนคนบังคับให้ทำน่ะมันไม่ใช่ตัวตนจริงของเรา หากเราปฏิบัติอย่างไร ผลมันก็จะเกิดแก่ตัวหนูเอง เช่น หากพลอยคะแนนไม่ดี พลอยก็ต้องมองดูตัวเองก่อนเลยว่าลูกขยันพอหรือยัง หากพอแล้ว ก็ต้องมองว่าอะไรที่เราบกพร่องไป หรือ มีบทเรียนที่ไม่เข้าใจแล้วปล่อยให้ค้างคาไว้หรือเปล่า หรือทำแบบฝึกหัดพอไหม จึงทำให้คะแนนที่ได้ไม่ดีพอ อย่าพยายามโทษผู้อื่น เช่น โทษว่าครูสอนไม่เข้าใจ เพราะการเป็นนักเรียนคือเราต้องรู้จักแสวงหาความรู้เองด้วย ถ้าครูสอนไม่เข้าใจเราก็ต้องไปถามให้เข้าใจให้ได้ และที่สำคัญอย่ายึดติดกับเกรดหรือรางวัล เราเรียนเพื่อให้รู้ หากรู้แล้วเกรดไม่ดี ก็แค่คิดว่าข้อสอบไม่ได้ออกตรงกับที่เรารู้ก็แค่นั้น ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ก็พอ"

ช่วงนี้ที่โรงเรียนฉันมีการประกวดเรียงความ และประกวดการพูดในที่ชุมชน เรียนความวันแม่ของฉันชนะเลิศ ได้รางวัล กลอนวันแม่ก็ชนะเลิศ และ การพูดเรืองวันแม่ก็ชนะเลิศ ฉันภูมิใจมาก ความรู้สึกเมื่อขึ้นไปพูดวันแม่บนเวทีที่มีผู้ชมเป็นผู้ปกครองสร้างความตื่นเต้นให้ฉันมาก วันนั้น ฉันขาสั่น มันแตกต่างจากวันแข่งที่พูดให้ครูและเพื่อนๆในโรงเรียนฟัง ฉันมองหาแม่ที่นั่งฟังอยู่ด้านล่าง แม่ทำมือทำไม้ แปลกๆ โดยชี้มือไปที่ขาแล้วเอามือเลือนเข้าหากัน กว่าฉันจะแปลได้ว่า แม่หมายถึงอย่ายืนถ่างขาก็คงยืนขากางบนเวทีไปครู่หนึ่งด้วยความประหม่าเรียบร้อยแล้ว
               พอเริ่มการพูด ความมั่นใจกลับมาสู่ฉันอีกครั้ง ข้างล่างหน้าเวที ฉันเห็นคุณแม่บางท่านยืนร้องไห้ เสียงปรบมือเมื่อพูดจบที่ได้รับ ทำให้ฉันยิ้มออก แม่ไม่ได้ชม แต่ยิ้มอย่างภูมิใจ ความเชื่อมั่นในตัวเองของฉันกลับมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง.................

2/4/53

ตอนที่ 12 :ชีวิตและโชคชะตา



จากชีวิตที่มีความหวังของพ่อฉัน ตอนนี้กิจการของร้านเยี่ยมที่ดำเนินมาเกือบปีครึ่งก็พอไปได้ทีเดียว กับความขยันของพ่อแม้ขาแขนจะแย่ลง เพราะพ่อยังคงชีวิตแบบเดิมคือพักผ่อนไม่พอ และมักจะดื้อเวลาหมอบอกอะไรก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไอ้ที่ห้ามก็มักทำ หรือชอบทำตัวเหมือนหนูทดลองยาและทดลองหมอ (หมอนวด แผนไทย แผนจีน หมอจับเส้น แม้กระทั่งชาวบ้านที่อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ )คนแล้วคนเล่า
แต่อาการของพ่อก็ดูทรงๆ แย่ลงไม่มากนักในช่วงนี้

ส่วนร้านเยี่ยมนั้น ถ้าไม่คิดค่าที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารล่ะก็ ก็กำไรพอสมควรที่เดียว แต่ก็เพราะตัวที่เรียกว่า " ดอกเบี้ย" ที่ไม่มีวันหยุดราชการนี่แหละ มันทำให้ไม่เหลืออะไรเลย และภาวะนี้พ่อของฉันก็เริ่มมีโครงการใหม่ๆอีกแล้ว พอดีพ่อของฉันมีลูกค้าที่เปิดร้านสเต็ก 29 บาท และร้านของเขาไปได้สวยทีเดียว พ่อเลยนึกอยากจะเปิดร้านอาหารกะเขาบ้าง
พ่อมีลูกค้าร้านวีดีโอที่เป็นหัวหน้าเชพหรือพ่อครัวใหญ่จากภัตรคารชื่อดังที่มักมาเช่าวีดีโอและคุยกันถูกคอกับพ่อ เขารับปากจะส่งลูกน้องเขาที่เก่งมาเป็นเชฟที่ร้านพ่อและวางระบบร้านอาหารให้พ่อ หากพ่อสนใจจะเปิดร้านอาหารจริงๆ ก็ดูว่าจะเชื่อเขา พ่อฉันน่ะใครเอารายได้มาเสนอ พ่อก็มักจะสนองแทบทุกคราไป เงินเดือนเชฟรองก็ไม่ถูกสองหมื่นห้าต่อเดือนทีเดียว หากใครเป็นเชฟดังๆเก่งๆ ว่ากันว่าค่าจ้างแพงขนาดเป็นแสนก็ยังมี แต่พ่อเปิดร้านธรรมดาที่ใครๆก็เข้ามาทานได้ไม่ใช่ภัตราคาร ค่าจ้างระดับสองหมื่นห้านี่ ก็ไม่ใช่ว่าถูกนัก
พ่อเริ่มวางโครงการและบอกแม่ในวันหนึ่ง
" น้อง เฮียว่าจะเปิดร้านอาหารนะ " พ่อบอกกับแม่ฉันอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว
" หาเรื่องใหม่ทำอีกแล้วเหรอ" แม่พูดอย่างขัดคอ
" ลูกค้าพ่อเปิดร้ายสเต๊ก 29 ตอนนี้ขยายสาขาสองสามแล้ว ร้านอาหารน่ะกำไรดีจะตาย " แล้วพ่อก็ยกข้อดีมากมายก่ายกองมาบอกแม่
" แล้วพ่อทำเป็นรึ ใครจะทำอาหาร "
"มันมีสูตรสำเร็จ พ่อจ้างพ่อครัวเก่งๆคนเดียว แต่เขาขอเอาลูกมือของเขามาช่วยด้วยอีกคน แต่ลูกมือราคาไม่แพงอะไร แค่เป็นงานแล้ว นอกนั้นเราก็ฝึกเด็กของเราน่ะแหละ" พ่ออธิบายและบอกราคาค่าจ้าง
" มันก็ยืมมือคนอื่นหายใจ น้องไม่เห็นด้วยนะ แต่หากอยากจะทำนักก็ทำไป ลองเตรียมไว้หมดแล้วก็คงค้านไม่สำเร็จ"
" อีกอย่างวีดีโอเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยดี เผื่อเราอาจรุ่งในด้านอื่น " พ่อพูดต่อ แววตาอย่างมีหวังและความเชื่อมั่นมาอีกแล้ว ซึ่งแววตาแบบนี้ มันหมายถึงการทุ่มสุดตัวอีกแล้ว
"แล้วพ่อก็วางแผนว่า จะย้ายร้านวีดีโอขึ้นไปชั้นสองและสาม ส่วนด้านล่างเปิดเป็นร้านอาหาร กะว่าจะ แบบขายสเต๊ก และของย่างๆ เช่นเนื้อกระทะ แต่ทำดีหน่อยแบบบาบิคิวพลาซ่า " พ่ออธิบายโครงการใหม่

แล้วพ่อก็เอารูปถ่ายแบบร้านของลูกค้าพ่อมาให้แม่ดู
" แม่ก็พูดแค่ว่าก็สวยดี จะทำตามนี้หรือ "
พ่อพยักหน้า นั่นก็หมายถึงว่า แม่ไม่อยากจะพูดไม่อยากจะขัด แต่ไม่ว่าพ่อจะเปิดกิจการอะไร สุดท้ายก็ไม่พ้นภาระตกอยู่ที่แม่ทุกทีไป


แล้วไม่นานร้านเยี่ยมก็ก็ถูกดัดแปลงให้ด้านล่างของร้านเป็นร้านอาหาร

ชั้นวีดีโอถูกเลื่อนไว้ชั้นสองและสามแต่คงรูปแบบเดิมในวันหนึ่ง ไฟชั้นล่างถูกเปลี่ยนให้สว่างไสวขึ้น กระจกหน้าร้านถูกถอดออกเปิดโลงในเห็นด้านใน ผนังที่เป็นกรอบใส่รูปโปสเตอร์หนังมาใหม่ หนังดัง ถูกเปลี่ยนเป็นภาพการ์ตูนน่ารักที่เป็นรูปเชฟอ้วนๆขำๆ ที่ดูแล้วตลกน่ารักซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำจากปลายพู่กันของพี่แป้นเพื่อนรักของแม่ฉัน สร้างบรรยากาศให้อบอุ่นทีเดียว โต๊ะเป็นสไตล์คันทรี แบบง่ายๆ จานชามก็เป็นแบบเรียบๆที่แม่ไปเลือกซื้อมาจากจตุจักรที่ราคาไม่แพงนัก ด้านหลังร้านที่เคยเป็นที่เก็บจีนชุด ถูกดัดแปลงเป็นห้องครัว และลานชะล้าง ซึ่งต้องทำท่อดักไขมันตามข้อบังคับของการเปิดร้านอาหาร เมนูอาหารเริ่มถูกกำหนดโดยพ่อและเชฟที่มาวางระบบ ซึ่งตกลงว่าร้านของอาหารของพ่อนั้นจะขาย ขายสเต็ก 29 และ " สเต๊กลาว " เป็นเมนูหลักชูโรง

"สเต๊ก 29 "ก็คือสเต๊กที่ทำจากเนื้อหมูธรรมดาน่ะแหละ มาหมัก หั่นชิ้นบางหน่อย ทอดกับเนยหอมๆ
เสริฟพร้อมผักลวกสองสามชนิด เช่นแครอท ถั่วแขก มันฝรั่ง เป็นตัวชูโรงของร้าน เพราะราคาแค่ 29 บาท กำไรไม่ต้องพูดถึงกับอาหารจานนี้เพราะแทบไม่มีเลย แต่เราจะหากำไรจากจานอื่น เช่นสเต๊กจานร้าน ที่เวลาทอดเสร็จแล้วจะวางใส่จานเหล็กที่เผาจนร้อน เวลามาเสร็จก็ยังกะออกจากกระทะเลยทีเดียว ร้อนหอมชวนรับประทาน

ส่วน " สเต๊กลาว" นั่นก็คือ สเต๊กที่หมักกระเทียมพริกไทยนำไปทอดพอสุกพอดีๆและเสริฟพร้อม ส้มตำแซบๆ อร่อยนัก

และแล้วงานต่อมาก็คือ การออกแบบรูปแบบเมนู การทำอาหารแล้วถ่ายรูปประกอบเมนู โดยแม่ของฉัน จากนั้นการตลาดของร้านอาหารของพ่อก็คือ การส่งจดหมายไปยังสมาชิกร้านวีดีโอทั้งหมดทั้งร้านเยี่ยมและร้านสาธุฯ ตามรายชื่อที่มีอยู่ ให้ทราบถึงกิจการใหม่ที่เปิดเสริมขึ้นรายการนี้และรายการกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่นหากเช่าวีดีโอครบ 300บาท ก็จะได้บัตรส่วนลดในการทานอาหารที่ร้าน 20 เปอร์เซ็น หรือ ทานอาหารครบ 500 บาท ก็จะได้ส่วนลดในการเช่าวีดีโอ 15 เปอร์เซ็น ทุกคนในร้านทำงานหนัก ต้องนั่งจ่าหน้าซองในแผ่นพับและติดแสตมป์เป็นพันๆใบ บ้างก็จ่าหน้าซองในไปรษณียบัตร บ้างก็ต้องไปยืนแจกใบปลิวโฆษณาตามสถานที่ๆมีคนมากๆ เช่นตามตลาด ป้ายรถเมย์ ในย่านนั้น พนักงานร้านทุกคนก็ดูเต็มใจทำ เพราะแม่ของฉันมักให้การดูแลพนักงานดี อย่างนายจ้างผู้มีน้ำใจ เงินจะไม่มีอย่างไร แต่แม่ก็จะกันรายได้เป็นค่าจ้างพนักงานก่อนเสมอ

ไม่นานร้านอาหารด้านล่างร้านวีดีโอก็เปิดกิจการ ด้วยรูปแบบร้านที่สบายๆนิสัยใจคอเจ้าของร้านที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ทำให้วันแรกที่เปิดร้าน คนมากมายที่เข้ามาลองลิ้มชิมรส เรียกว่า ยืนรอคิวกันริมฟุตบาทเลยทีเดียว
แม่ที่ไม่ยินดียินร้ายกับพ่อก็ยังเชิญคุณตาคุณยายและพี่แป้นพี่ตุ่ยมาลองทาน แม้ฝีมือพ่อครัว แม่จะรู้สึกว่า ก็ธรรมดา ไม่เก่งกาจสมราคาคุยนัก อาหารค่อนข้างรสชาติไม่คงที่ตามที่แม่ชิม แต่คนก็เต็มร้าน แน่นมาก ในวันเปิดกิจการ และแม่ก็ต้องเป็นคนตื่นไปตรวจตราความสะอาดและความพร้อมของร้านอย่างอดไม่ได้แต่เช้าเหมือนทุกๆครั้งที่มีการเปิดกิจการ แล้วก็กลับมาดูกิจการร้านสาธุฯ
" น้องๆ คนเต็มร้านเลย " พ่อโทรมาบอกแม่ที่ร้าน
"ก็ดีแล้วนี่ "
พ่อหน้าบาน แต่แม่ฉันกลับหน้าตาดูเหนื่อยหน่ายเมื่อพูดถึงร้าน


ช่วงนี้แม่เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง ความเซ็งจัดของแม่ ทำให้แม่หันมาทำตัวแก้เซ็ง เช่น เปลี่ยนทรงผม และสไตล์การแต่งตัว แม่จากใส่ชุดหลวมๆสบายๆออกนอกบ้าน แบบกางเกงตัวเสื้อตัวก็ออกไปส่งฉันถึงโรงเรียนได้แล้ว ก็เป็นใส่เสื้อผ้าที่มีรูปทรงทันสมัยขึ้น เรียกง่ายๆ จาก "ยายเพิ้งทำแต่งาน หัวยุ่ง" เป็นคุณแม่ที่ทันสมัยขึ้น แม่มีกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกที่เรียนที่โรงเรียนเดียวกับฉันเป็นเพื่อนบ้าง ส่วนเพื่อนสมัยเรียน แม่ก็คบกับพี่แป้นคนเดียวเพราะปกติแม่ก็ไม่ชอบสมาคมหรือยุ่งกับใคร ไม่สนที่จะทำความรู้จักใครด้วยซ้ำ แม่มักพูดเสมอว่า

"มีเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา" นี่แหละอุดมคติในการคบเพื่อนของแม่
เพื่อนกลุ่มนี้ถูกแนะนำให้รู้จักโดยอาซิ้มของฉันเอง อาซิ้มก็คือน้องสะใภ้ของแม่เองของทางฝ่ายพ่อฉัน ซึ่งมีลูกสาวที่อ่อนกว่าฉันปีเดียวและลูกสาวอาซิ้มกับฉันเรียนโรงเรียนเดียวกัน ลูกสาวอาซิ้มหน้าตาน่ารัก แม่ชอบบอกว่าเหมือนเทวดาน้อยตอนลูกพี่ลูกน้องของฉันคนนี้ยังเด็กๆ อาซิ้มมักไปช็อปปิ้งกับผู้ปกครองคนอื่นๆและวันหนึ่งก็แนะนำเพื่อนกลุ่มนี้ให้แม่รู้จัก แต่เพื่อนใหม่ที่แม่ชอบมากที่สุดเห็นจะเป็น "น้าพัด" ที่แม่มักพูดถึงเสมอๆอย่างขำๆ
แม่เล่าว่า ตอนที่แม่รู้จักน้าพัด น้าพัดหน้าตาสวยแต่ไม่สูงมากนัก น้าพัดและสามีจะมารับลูกด้วยกันเสมอ ดูทั้งคู่เหมาะสมกันดี แม่มักมองสามีภรรยาคู่นี้เสมอๆมานานแล้ว เจอหน้ากันก็ได้แต่ยิ้มๆ ที่มองก็เพราะว่า แม่มักมาก่อนเวลารับลูกและนั่งรอลูกๆ และสามีภรรยาคู่นี้ก็จะมารับลูกของเขาพร้อมกันเสมอๆ เท่าที่จำได้ ไม่เคยเห็นขาดไปแม้สักวันเดียว แม่มองแล้วรู้สึกว่าช่างน่ารักและอบอุ่น

แม่เล่าถึงน้าพัดว่า มีวันหนึ่งน้าพัดจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่อีกคนหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึงโรงเรียนว่า
"คนนี้นะ เป็นคุณแม่ยังสาว สวย เอกลักษณ์คือ หน้าหลังเหมือนกัน "แล้วน้าพัดก็เอามือวางไปที่ผนังห้องอาหารโรงเรียน แล้วก็ลูบผนังห้องอาหารแล้วก็พูดว่า
"เมื่อลูบๆ แล้วก็สะดุดตะปู นี่คือ หน้าอกของคุณแม่สาวสวยคนนี้"
ตอนแรกแม่ยังงงๆ แต่มาถึงบางอ้อตรงที่เจอพี่คนสวยคนนี้เดินเข้ามา
คุณแม่คนใหม่คนนี้ รูปร่างโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวทันสมัย ผมยาว หน้าตาตกแต่งอย่างดี ดูมีฐานะและชอบแต่งตัว แต่ๆๆ…………………….หน้าอกเธอช่าง แบบราบเรียบดุจสาววัยเริ่มรุ่น หรือเรียกง่ายๆคือ นมเพิ่งจะขึ้น แม่เล่าว่า แม่อดที่จะอมยิ้ม ในคำเปรียบเปรยของน้าพัดคนนี้ไม่ได้ แม่นึกชอบเพื่อนคนนี้ถึงความช่างมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย

วันแรกที่รู้จัก ถ้อยคำบรรยายถึงสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆมีมาให้ฟังไม่ขาดสาย ล้วนแต่มีคนโทรมาหาแม่เล่าเรื่องแบบเผาๆของแต่ละคนให้ฟัง
มีคนหนึ่ง ชื่อ" ป้าแขก " โทรมาเล่าให้แม่ฟังตอนกลางคืนว่า
"น้อง พัดน่ะมันแสบนะ มันเคยหลอกให้พี่แต่งตัว บอกว่าจะเลี้ยงอาหารตอนตีสองที่เยาวราช โทรมาให้พี่แต่งตัวรอ บอกว่าจะมารับ แล้วก็ไม่มา มันบอกว่าพอดีจะมาแล้ว แต่มีรถคอนเทรนเนอร์เสียขวางถนนมาไม่ได้ คิอดูนะน้อง ตีสอง มันโทรหลอกให้มากินฟรี ให้แต่งตัวรอ แล้วมันไม่มีรับพี่"
ก็ "ป้าแขก" คนนี้ ว่ากันว่า มีชื่อเรื่อง กินฟรี "หากแชร์กันออกข้าไม่ หากฟรีล่ะก็ข้าไป" เพื่อนๆคนอื่นเลยชอบแกล้งบ่อยๆ แต่ที่คดีเด็ดสุดน่าจะเป็น การหลอกป้าแขกว่า จับรางวัลได้ทีวี29นิ้ว ตอนงานผู้ปกครองของโรงเรียน
เรื่องมีอยู่ว่า ในงานผู้ปกครองที่ทางโรงเรียนจะจัดขึ้นแล้วให้เด็กนักเรียนแสดงให้พ่อแม่ดู มีการขายโต๊ะจีน ที่จริงไม่มีการชิงรางวัลเลย ไม่ว่ารางวัลอะไรก็ไม่มี คืนนั้นผู้ปกครองกลุ่มนี้ก็รวมกับซื้อโต๊ะจีน โต๊ะเดียวกัน เพื่อจะได้นั่งร่วมโต๊ะกัน และพี่แขกเกิดกลับไปก่อน แถมเอาหางบัตรติดไปด้วย พอตกเช้า น้าพัดก็มาบอกพี่แขกว่า
" แขก เมื่อคืนนี้โต๊ะเราจับฉลากได้ทีวีสี 29นิ้ว แต่ไม่มีหางบัตร จึงไม่ได้รับทีวี นี่ถ้าได้นะจะเอาไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน "
ทีวี29นิ้วสมัยก่อนสี่ห้าหมื่นบาททีเดียวเรียกว่าแพงมากไม่เหมือนสมัยนี้
" โคตรเสียดายเลย " น้าพัดทำบ่น
" ใช่ๆๆ" ฝ่ายสนับสนุน ร่วมด้วยช่วยกันแกล้ง
" เฮ้ยจริงหรือ โรงเรียนนี้งกจะตาย มีการแจกรางวัลด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ อย่ามาอำเลยพัด" เสียพูดเริ่มสั่นๆ แบบไม่แน่ใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
" ทำไงดี หางบัตรทิ้งไปแล้ว " พูดเหมือนไม่เชื่อแต่กลับบอกว่าทำไงดี
" เฮ้ยไปหาก่อนสิแขก " เดี๋ยวเรากับฟ้าจะไปถามให้ว่ารับได้อีกไหม" ไปกันฟ้า ไปห้องธุรการกัน
แล้วสองคุณแม่คนเก่งก็เดินไปห้องธุรการทำทีไปถามซิสเตอร์ในห้อง แต่พี่แขกก็ง่วนกับการรื้อและรื้อๆๆๆอย่างกับว่าไอ้หางบัตรที่ทิ้งไปแล้วมันจะมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
พี่แขกเล่าให้แม่ฉันฟังภายหลังว่า พี่นะนอนไม่หลับเลย กลับบ้านไปก็ไปหาถังขยะบ้าง ในกระเปาถือบ้าง ตามพื้นตามโต๊ะเผื่อตกอยู่ ไม่ได้ทิ้งไป ตอนกลางคืนก็มีคนโทรมาถามอีกว่า หาเจอยัง พี่ก็บอกว่าจริงหรือเปล่าเนี่ย ที่ถามก็เพราะว่าไม่เคยได้ยินว่าในงานมีการชิงโชค ถ้าทราบจะรีบกลับทำไม

แต่พอเช้านี่สิ สองตัวดีมาตบโต๊ะ บอกว่า
" พี่ทำให้พวกเราอดได้รางวัลทีวี29นิ้วเลย "

แล้วยื่นจดหมายมีใจความว่า

"เรียนท่านผู้โชคดีทราบ

เจ้าของบัตรโต๊ะเลขที่…..ให้นำหางบัตรมาแสดงเพื่อรับรางวัลภายในวันที่….
หากพ้นกำหนดจะถือว่าสละสิทธิ์

ขอพระหฤทัยอวยพรท่าน
แล้วก็ลงลายเซ็น อธิการของโรงเรียน"

"พี่ก็เชื่อมันสองคนสนิทเลย ไปร้องไห้ ที่โรงอาหาร " สองคนนี่ก็มาปลอบแล้วบอกว่า
" ไม่เป็นไรน่าแล้วไปแล้ว ถือว่าไม่มีดวงเอง"
เรื่องก็ผ่านไปเป็นปีจนถึงปีใหม่ที่ต้องมีงานโรงเรียนแบบนี้อีก เผอิญพี่ก็ไปนั่งคุยกับผู้ปกครองคนหนึ่งว่า
"ปีนี้มางานผู้ปกครองไหมคะ"
"มาสิคะ ลูกแสดงสองคน แล้วคุณแขกล่ะคะ มาไหม"
" มาสิคะ นึกแล้วก็นึกถึงปีที่แล้ว คุณน้องได้อยู่จนจบงานหรือเปล่าคะ"
"อยู่จนจบเลยค่ะ"
"พี่น่ะน่าเสียดาย กลับไปก่อน โต๊ะพี่สิจับหางบัตรได้รางวัลใหญ่ ทีวีสี 29 นิ้วแต่พี่กลับไปก่อนแล้วทิ้งหางบัตรไปก่อน ไม่ทราบว่าได้รางวัล เลยอดไปรับรางวัลเลยเสียดายจริงๆ"
"เอ๊ะ !!!ฉันก็อยู่จนงานเลิก ไม่เห็นมีการจับหางบัตรอะไรเลยนี่คะ"
"จริงหรือคะ" พี่แขกถามย้ำ
"จริงค่ะ" แล้วผู้ปกครองคนนั้นก็ไปเรียกผู้ปกครองท่านอื่นมาถามให้แน่ใจอีก ก็ปรากฏว่า ไม่มีเลยการจับรางวัลอะไรนั้น
นี่แหละเรื่องเด็ดของน้าพัด ที่ป้าแขกเล่าให้แม่ของฉันฟัง "แหกตาข้ามปี" ป้าแขกเล่าอย่างยังไม่หายแค้น
เรื่องนี้อีกนั่นแหละพออาซิ้มฟ้าโทรมาหาแม่แล้วแม่ถามถึงเรื่องนี้ อาซิ้มฟ้า กลับเล่าด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานคนละอารมณ์กับป้าแขกเล่า แม่ก็ฟังอย่างขำๆสนุกไป
แม่มักมีผู้ปกครองโทรมาเล่าเรื่องวีรกรรมของน้าพัดให้ฟังมาก แต่แม่ก็ฟังสนุกๆไม่วิจารย์อะไร แม่ไม่ชอบนินทา ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แม่มักสอนฉันเรื่องการนินทาเสมอว่า

"หากใครมาว่าใครให้เราฟัง หากเราแก้ความเข้าใจในทางดีให้คนที่มาว่าอีกฝ่ายได้ก็ทำไป หากไม่ได้ก็เฉยเสีย อย่าออกความเห็นในเชิงเห็นด้วยให้คนที่มานินทาคนอื่นให้ฟังเด็ดขาด เพราะหากเจอคนไม่ดี ความเห็นของเขาจะกลายเป็นความเห็นของเราไปทันทีเวลาเขาไปเล่าต่อ จะกลายเป็นว่า คำว่า เอ้อ จริงๆ เราก็ว่างั้น มันจะกลายเป็นว่า เราว่าเสียเอง"

" จำไว้นะพลอย เพื่อนน่ะทุกคนมีทั้งขอดีและข้อเสีย หากเราคบเพื่อน จงมองแค่ข้อดีของเขาพอ
ข้อเสียก็อย่าไปคบ บางคนเขาไม่ดีกับคนอื่นแต่เขาดีกับเรา หากคนอื่นมาว่าให้เราฟังเราก็อย่าไปใส่ใจเลยตราบใดที่เพื่อนคนนั้นดีกับเรา แค่เราระวังไว้ก็พอ"

ร้านเยี่ยมดำเนินกิจการมาได้หนึ่งเดือนก็เกิดปัญหา พ่อครัวที่เอามาจากภัตรคารก็เล่นตัวซะแล้ว
ขอขึ้นค่าจ้างทั้งๆที่ร้านเปิดได้แค่เดือนเดียว เข้าใจว่าคงเห็นว่าร้านมีคนมากหน่อย ก็เรียกค่าจ้างเพิ่มหากไม่ขึ้นค่าจ้างก็จะลาออก

ทั้งๆที่ คนมากก็เพราะว่าเรายังทำการตลาดอยู่และสมาชิกร้านวีดีโออยู่ในระหว่างการส่งเสริมการขายและมาลองชิม กำไรก็ยังไม่มากมายอะไรทุนหรือไม่ต้องพูดถึง ยังไม่คืนเลยสักนิดเดียว เพราะช่วงเปิดร้านคือช่วงเรามีการโปรโมชั่นอยู่กำไรก็น้อยตาม อะไรๆก็ยังไม่อยู่ตัวสักนิดเดียว

เรื่องนี้ทำให้แม่ของฉันโมโหมากเมื่อทราบเรื่อง
" นี่แหละหนาการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ " แม่บ่นให้ฉันฟังเมื่อทราบปัญหาของพ่อ
" เปิดร้านคนมากแค่เดือนเดียวใช่วัดได้เมื่อไหร่ว่าเราจะรักษาลูกค้าได้อย่างนี้เสมอ คนไทยน่ะ แปลกอย่าง เวลาใครค้าขายอะไรแล้วดูดีก็มักจะเปิดตามกันพรึบ การเปิดร้านน่ะไม่ยากหรอกนะพลอย แต่การรักษาลูกค้าหรือกิจการให้คงอยู่เหมือนเดิมมันยากกว่า" แม่หันมาสอนฉัน
" และจำไว้นะลูก หากเราเปิดกิจการที่เราไม่ถนัดหรือไม่มีความสามารถแล้วต้องใช้คนอื่น มันก็เหมือนการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ หรือยืมแข้งขาเขาเดิน มันไม่ไปตามใจเราเมื่อไหร่ก็ลำบากแบบนี้"

เรื่องนี้ทำให้พ่อฉันต้องไปเจรจากับพ่อครัวใหญ่ ในรอให้ร้านอยู่ตัวเสียก่อน ซึ่งพ่อครัวก็นิ่งเฉยไม่รับคำแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่อีดอัดกันอยู่ แม่ฉันจึงเรียกพนักงานที่ไว้ใจมาคุยว่า "เวลาเขาทำอะไรก็ให้ดูๆแล้วหัดทำ รู้จักสังเกตเผื่อมีอะไรเราก็จะได้หัดทำกันเองนะ" พนักงานของแม่ก็รับคำ

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น หลังจากที่พ่อเจรจาว่ายังขึ้นให้ไม่ได้ พ่อครัวตัวแสบก็เป็นอันออกอาการ เช้ามาทำงานสิบโมงเช้าก็จริง แต่ขึ้นไปนอนเสียข้างบนร้าน ที่ชั้นห้าที่พักพนักงาน เพราะช่วงเช้าพ่อฉันไปทำงานข้างนอกไม่ได้มาเฝ้าร้าน เวลาลูกค้ามาทานอาคารครัวที่เคยเปิดสำหรับช่วงเที่ยงหรือคนที่ทานข้าวสายๆ เพราะร้านเรามีอาหารตามสั่งง่ายๆด้วย ก็เป็นอันไม่มีพ่อครัว ลูกน้องของร้านอาหารที่เป็นคนของเราไปเรียกว่าลูกค้ามา เรียกให้ลงมาทำหน้าที่ตัว พ่อครัวผู้ยิ่งใหญ่ท่านก็ไม่ลงมาซะนี่ หนักๆเข้าลูกค้าช่วงเช้าและช่วงกลางวันก็เป็นอันอันตธารหายหน้าไปหมด เพราะนึกว่าร้านเปิดเฉพาะช่วงเย็น พนักงานลูกน้องของพ่อก็ช่างแสนดี ไม่กล้าบอกกล่าวหรือทำตัวเป็นบ่าวช่างฟ้อง จนกระทั่งรายได้ในเดือนต่อมาน้อยลงไปมาก
" แปลกแฮะ รายได้น้อยลงไปครึ่งนึงทีเดียว ทั้งๆที่ตอนเย็นๆเฮียเข้าร้านก็มีคนนี่นา" พ่อเปรยให้แม่ฟัง
วันรุ่งขึ้นแม่เจอพี่นกพนักงานร้านเยี่ยมก็เอ่ยถามว่า
"นก ที่ร้านอาหารไม่มีคนหรือ ทำไมรายได้ลดลง " แม่ถามขึ้น
" ก็มีนะคะคุณ แต่ไม่มีคนทำอาหาร "
"อ้าวทำไมล่ะ พ่อครัวกับผู้ช่วยของเขาก็สองคนแล้วนี่ แล้วยังลูกมืออีก" แม่ถามอย่างสงสัย
" เขาไม่ลงมาทำค่ะ เขาจะลงมาก็บ่ายสามแล้ว พวกหนูขึ้นไปเรียกเขาก็ไม่ลงมา"
" แล้วเวลาลูกค้ามา ตอบลูกค้าว่าอย่างไรเล่า"
" ก็ต้องบอกว่าร้านยังไม่เปิด ให้มาใหม่ตอนเย็นๆ"
" ดีนี่ แล้วไม่บอกกันคนหิวข้าวกลางวันให้รอกินเย็น ใครเขาจะมารอ แถวนั้นพนักงานก็มาก แบบนี้ก็แย่น่ะสิ"
"เอางี้ อาหารง่ายๆนกก็ทำเป็นนี่นะแบบผัดกระเพราะและข้าวผัด ต้มจืด ไข่เจียว ไม่ต้องกี่อย่างหรอกเดี๋ยวทำเมนูกลางวันให้ นกกับศรีทำแทนได้ไหม แล้วฉันจะให้พิเศษที่ช่วยนะ ไม่งั้นร้านมันจะไปไม่รอดและลูกค้ามันจะหายไปหมด อีกอย่างฉันก็เคยชิมที่เราสองคนทำกับข้าวให้ฉัน รสชาติก็อร่อยดี พ่อครัวนั่นก็ใช่จะเก่งกาจอะไร ก็งั้นๆ เพราะเขามาจากร้านอาหารจีน อ้อ แล้วถ้าฉันให้เราสองคน เป็นแม่ครัวทำอาหารตามรายการสเต๊กส้มตำแบบเขา เราสองคนจะทำได้ไหม"
" ได้ค่ะ หนูดูแล้วไม่ยากอะไร หมักเนื้อหมู แล้วก็ทอดด้วยเนยเอง ส้มตำหนูก็ตำเป็น น้ำจิ้มหนูก็ทำได้ค่ะ" พี่พนักงานสองคนรับคำแม่เป็นอันดี
แม่พนักหน้าอย่างพอใจ พนักงานเก่าๆของแม่อยู่กันมานาน รักแม่ และหนักเอาเบาสู้ เพราะเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิก แม่จบแค่ปอหก และเคยทำงานแค่เก็บพริกมาก่อนก็จริง แต่หัวไว และมีน้ำใจกว่ามาก

แล้วแม่ก็คุยกับพ่อว่า
" ป๊า น้องไม่ชอบพ่อครัวที่ทำตัวแบบนี้นะ " แม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
" อีกอย่างใครที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีน้ำใจมาเรียกร้องขู่จะออกถ้าไม่ได้ตามต้องการ แบบนี้คงอยู่กันไม่ได้ "
แม่บอกตรงๆ
"แล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ต้องง้อเขานี่"
" แล้วจะให้ลูกจ้างมาทำแบบนี้หรือ หากพนักงานคนอื่นทำบ้างล่ะ คงต้องขึ้นเงินเดือนให้หมดทุกคนหรือไง"
"ก็บอกมาสิ ว่าจะให้ทำอย่างไร"
"บอกเขาว่า หากจะทำที่นี่ ก็ต้องทำตามข้อตกลงเดิม มาทำงานก็ต้องทำงานไม่ใช่มาเซ็นเวลาแล้วขึ้นไปนอน ไม่เช่นนั้นจะลาออกก็ออกไปเลย " แม่บอกพ่อ
" แล้วถ้ามันออกไปจริงๆจะทำไงละ "
" ก็ออกไป หากเปิดร้านแล้วต้องขึ้นอยู่กับนายคนนี้ แล้วปล่อยให้มาสั่งเราไม่ต้องเปิด ปิดไปเลย"
"พูดออกมาได้" พ่อว่า
" พูดจริง ป๊าก็รู้น้องเป็นยังไง เกลียดที่สุด คือการที่ลูกจ้างมาต่อรอง ป๊าจำไม่ได้หรือ เรื่องประยูรพี่เลี้ยงน้องพลอย ที่เมื่อก่อนมาขอลาออกตอนที่เราจะไปทำงานที่เชียงใหม่ ที่จำเป็นต้องให้เขาเลี้ยงลูก เพราะคิดว่าเราต้องง้อถ้ามาลาออกวันที่เราเดือนร้อนต้องใช้เขา น้องยังให้ออกเลย แล้วเอาลูกไปฝากตากับยายที่เมืองชล"
" เราต้องทำให้เขารู้ว่า เรามีคนแล้ว ไม่สนเขา "
"หรือจะให้น้องไปพูดเอง"
" เอาสิ ไปเลย"
วันนั้นแม่ไปที่ร้าน เรียกพ่อครัวและผู้ช่วยเขามา เพราะพ่อครัวบอกว่า หากเขาออกผู้ช่วยเขาก็ต้องออกไปพร้อมกับเขา

" ตกลงเราสองคน หากไม่ขึ้นเงินเดือนให้ ก็จะลาออก หรือทำงานแค่ตอนเย็นใช่ไหม "
"ครับ" พ่อครัวตัวแสบของเราตอบ แต่ผู้ช่วยยังมีอาการปรายตามองลูกพี่ใหญ่ ไม่ตอบว่าอะไร
" แน่นะ"
"ครับ"
"งั้นไปเก็บของกลับบ้านได้เลย ลาออกเอง เงินล่วงหน้าก็ไม่ได้นะ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้อยู่ตามข้อสัญญาปีหนึ่งด้วย ถือว่าเธอสองคนผิดสัญญาเอง"
ฉันสังเกตเห็นพ่อครัว ตาค้างและอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่ยังทำเป็นมีเชิงว่า
" ผมอยู่ช่วยจนหาคนได้ก็ได้ครับ" ทำเหมือนมีน้ำใจฉันคิด แต่คงเพราะกลัวตกงานมากกว่า เพราะตอนเป็นลูกมือที่ภัตรคารได้แค่เดือนละ 9000 เพราะเป็นแค่ผู้ช่วย
" ไม่ต้อง ฉันมีคนแล้ว อีกอย่างฉันพูดตรงๆคือ หากคนเราร่วมกันสร้างร้านมาด้วยกัน แล้วมาทำแบบนี้ ฉันถือว่าเธอไม่มีน้ำใจ และลูกน้องฉันทุกคน แม้ฉันไม่ขึ้นเงินเดือน หากฉันมีกำไรมาก เทศกาลตรุษจีนปีใหม่ ฉันก็ให้ทองทุกคน มากบ้างน้อยบ้างก็ตามผลงาน ไปถามลูกน้องฉันทุกๆคนได้ ไม่งั้นฉันคงไม่มีพนักงานเป็นสิบๆคนที่อยู่กับฉันมาตั้งแต่เปิดร้านสาธุฯ คนที่อยู่กับฉันไม่ได้มีแค่สองประเภทคือ ไม่มีน้ำใจและไม่ซื่อสัตย์"
แล้วลูกมือพ่อครัวตัวแสบก็เอ่ยมาเป็นครั้งแรกว่า "ผมไม่ลาออกครับ ไม่ใช่ความคิดผมนะครับ"

ครั้งนั้นพ่อครัวตัวแสบก็เลยต้องออกไปในวันนั้น เพราะแม่เป็นคนที่หากจะให้ใครออกแล้วล่ะก็
วันเดียวชั่วโมงเดียวก็จะไม่ให้อยู่ ให้ออกเลยทันที
แม่สั่งพนักงานคนอื่นให้ไปคุมพ่อครัวเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วแม่ก็คิดเงินเดือนให้เต็มเดือนไปเลย แม้เดือนนั้นจะเพิ่งผ่านไปแค่ห้าวัน แต่ลูกมือขออยู่ต่อ แม่ก็ให้อยู่

นับแต่วันนั้น พนักงานร้านวีดีโอ ที่มีฝีมือในการทำอาหารก็เปลี่ยนมาเป็นแม่ครัวด้วย ที่จริงเวลาไม่มีลูกค้าร้านอาหาร พนักงานก็เอาวีดีโอมานั่งกรอตรวจเนื้อเทปกันที่ด้านล่างบ้าง ตรวจเช็ควีดีโอบ้าง ทุกๆคนไม่เกี่ยงงาน พอลูกค้าร้านอาหารเข้าร้านก็ช่วยกันต้อนรับ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าเดิมที่พอจะรู้จักกันอยู่แล้ว ลูกมือคนนั้นดูจะซื่อดีกว่าพ่อครัวหลักคนเดิมเสียอีก

การออกไปของพ่อครัว ทำให้เราตรวจพบอะไรอีกหลายอย่างเช่น การทุจริตในการจัดซื้อ เช่นเนื้อปูสดไว้ทำข้าวผัดปู มีรายการซื้อทุกวัน แต่สินค้าในตู้เย็นไม่มี และไม่มีรายการขายออกไป พ่อครัวคนนี้ทราบภายหลังว่า เขามีปัญหาการเงิน เพราะติดพนันบอล ชอบดูบอลจนดึกหลังเลิกงาน เช้ามาก็ไม่มีแรงจะทำงาน
ร้านเยี่ยม โดนแม่ฉันปรับเปลี่ยนเมนู ตัดเมนูที่ไม่ค่อยนิยมออกไป แล้วเพิ่มเมนูใหม่ๆเข้ามาแทน
เพื่อลดประเภทของวัตถุดิบให้น้อยลงด้วย
กลางวัน แม่เปลี่ยนเป็นขายก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ10บาท แทนการขายอาหารตามสั่ง แม่ตระเวนชิมตามร้านอร่อยๆที่ชอบแล้วลองทำดู แล้วแม่ก็สอนลูกน้องทำ แม่ไปซื้อเรือลำจิ๋วมาจัดหน้าร้านเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวเรือ บางวันแม่นึกสนุกก็ไปลวกก๋วยเตี๋ยวขายลูกค้าเอง เช่นวันแรกที่เปิดขาย คนมากมายพอบ่ายโมง ของก็หมดเกลี้ยง แม่จะไม่เพิ่มปริมาณ เอาแค่พอหมดให้อดๆอยากๆกัน
" ขายแยะไม่ดีหรอก มันเหมือนเราขายเหลือ เรากะพอกับที่เราจะขาย เช่น เรากะของ 100ชาม หมดแล้วก็หมดเลย ใครมาไม่ทันก็ต้องมาวันต่อไป" แม่บอกนโยบาย
"เหตุผลคือ เราไม่เหนื่อยจนเกินไป จะได้พักกันบ้าง เพื่อเตรียมขายตอนเย็น ครัวร้านอาหารใหญ่ๆ หากมีลูกจ้างกะเดียวเขาจะปิดพักช่วยบ่ายสองหลังเก็บร้านเสร็จ ไปเปิดอีกทีก็ช่วงสี่ห้าโมงเย็นขายตอนเย็น"
" ที่ขายก๋วยเตี๋ยวกลางวันเพราะมันง่ายๆดี ไม่ยุ่งยาก ลูกน้องคนไหนๆก็ทำได้ แค่เรามีน้ำซุบอร่อยไว้"

แล้วกิจการขายก๋วยเตี๋ยวเรือก็เป็นที่รุ่งเรือง มีลูกค้าประจำมากมาย ขาจรก็เยอะ เพราะใกล้ป้ายรถเมล์ แล้วราคาก็แค่10บาท แม่จะใช้วัสดุคุณภาพดีในการทำอาหารเสมอ
" อาหารน่ะวัตถุดิบต้องสด หากขายไม่ดีของยังไม่สด ไม่นานคนก็จะหนีไป แม่เคยไปทานบางร้านหมูสับมีกลิ่นเหม็นแม่ก็ไม่ไปทานอีกเลย แม่ทราบว่า พวกนี้เวลาเขามีหมูหั่นที่ประกอบอาหารวันนั้นไม่หมดเขาก็จะแช่ไว้บ้าง นานไปก็เอาไปหมักกระเทียมพริกไทยเพื่อกลบกลิ่นเหม็นเน่าบ้าง ดูด้วยตาเราไม่รู้หรอก แต่ชิมดูก็จะทราบ" แม่สอนฉัน
" เราไม่อยากทานแบบไหนก็อย่าไปทำให้ลูกค้าทาน " ของเหลือหากไม่สดไม่ดีแล้วต้องทิ้งก็ทิ้งไป
กิจการร้านอาหารทั้งสองอย่างก็ดูไปได้เรื่อยๆ แต่พ่อสิพอเห็นแม่ทำโน่นนี่และแก้ปัญหาเรื่องต่างๆไปได้ด้วยดี ก็มักจะหาเรื่องอาชีพใหม่ๆมาให้แม่ทำอีก เช่น จะเปิดร้านอินเตอร์เน็ต พ่อเริ่มโยนภาระมาให้แม่ทีละนิด เพราะแม่เป็นโรคที่เรียกว่า อดไม่ได้ที่เวลาพ่อมีปัญหาจริงๆแล้วจะต้องเข้าไปช่วยแล้วแม่ก็มักแก้ปัญหาได้เพราะความเด็ดขาดของแม่เองทั้งๆที่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับกิจการของพ่อเลย

แล้วชะตาชีวิตก็ทำร้ายแม่จนได้ ช่วงนี้ร้านวีดีโอเป็นรอยต่อของการมีกฎหมายลิขสิทธิ์ กำลังจะเข้าสู่การที่ต้องใช้ม้วนมาสเตอร์เพื่อการเช่าวีดีโอ ห้ามทำการดัดแปลงทำซ้ำ พูดง่ายๆก็คือ ห้ามอัดวีดีโอเหมือนในอดีต ต้องให้เช่าโดยใช้ม้วนมาสเตอร์เท่านั้น แต่เอเย่นที่ขายลิขสิทธิ์จะขายลิขสิทธิ์โดยให้สติกเกอร์จริงมาติด ซึ่งเราต้องซื้อเพิ่มจากบริษัท ก็ถือว่าถูกต้องแล้วร้านไหนๆก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น

แต่ร้านเราโดนจับ ทั้งๆที่ทำถูกต้องตามผู้ขายลิขสิทธิ์ให้ทำ ค่าลิขสิทธิ์ก็เสียทุกเดือน ค่าสติกเกอร์ก็ซื้อตามจำนวนที่จะอัด แต่ก็ยังโดนจับ
วันนั้น…………………..
เสียงโทรศัพท์จากร้านเยี่ยมดัง
"คุณคะ ที่ร้านโดนตำรวจมาตรวจและจับพี่ตุ้ยไปค่ะ" เสียงพี่นกพูดอย่างตกใจ
"จับเรื่องไรเหรอ" แม่ยังงงๆ
"เขาว่าเรื่องลิขสิทธิ์ค่ะ"
"เราก็ซื้อถูกต้องนี่นา"
จากนั้นแม่โทรไปหาพ่อ บอกเรื่องราว พ่อสั่งว่าให้บอกพนักงานที่โดนจับไปว่าให้รับเป็นเจ้าของร้าน และไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวจะไปประกันตัว "พ่อสั่ง
"แม่จึงบอกพีนกให้รีบวิ่งไปบอกพี่ตุ้ยว่าให้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของและไม่ต้องบอกว่าอะไร
ที่สถานีตำรวจสำหรับการผิดเรื่องลิขสิทธิ์ ถ้าจำไม่ผิดเรียกกรมทรัพย์สินทางปัญญา
พี่ตุ้ยถูกสอบสวนให้พูดความจริงว่าใครคือเจ้าของร้าน โดยข่มขู่สารพัด พี่ตุ้ยกลัวตำรวจจึงบอกว่า
" ไม่ทราบว่าเข้าของร้านชื่ออะไรค่ะเห็นแต่เรียกกันว่าเฮียๆ" แลละตำรวจก็เขียนคำให้การตามนั้น แล้วให้พี่ตุ้ยเซ็นชื่อกำกับคำรับสารภาพ
เมื่อแม่ไปถึงก็ทราบว่าพี่ตุ้ยให้การดังนั้นจึงโทรบอกให้พ่อมาที่กรมเพราะพี่ตุ้ยกลัวตำรวจจึงสารภาพไปหมดแล้ว
พ่อมาที่นี่ เดินไปบอกตำรวจว่า เจ้าของตัวจริงชื่อ……………………..ซึ่งคือชื่อของแม่
แม่ตกใจแต่คงน้อยกว่าความโกรธ ตอนนั้นที่จริงแม่กลับไปดูร้านสาธุฯอยู่ ตำรวจโทรแจ้งแม่ให้มามอบตัวไม่งั้นจะออกหมายนำจับ แม่ไปที่สถานี ไปบอกว่าแม่คือเจ้าของร้าน แม่ก็คิดว่าพ่อจะหาเงินมาประกันมาเรียบร้อย แต่เปล่าเลย
"น้องโทรไปบอกคุณพ่อน้องให้มาประกันตัวน้องสิ"
"อะไรนะ"
"ก็คุณพ่อน้องเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ สามารถประกันตัวได้"
" นี่คุณกิจการก็ของคุณ ให้ฉันเป็นผู้ต้องหา ฉันทำเพราะเป็นคนขอใบอนุญาตประกอบการ แต่นี่คุณให้พ่อฉันมาเกี่ยวข้องได้อย่างไร "
" ก็เฮียไม่มีเงินประกัน"
แม่โกรธสุดตัว ร้องไห้แล้วโทรไปหาคุณตาของฉัน
คุณตามาประกันตัวแม่ เพราะไม่อยากให้แม่โดยคุมขัง แม่ว่าคุณตาคงโกรธมากทีเดียวแต่ไม่รู้ว่าคุณตาหรือแม่ฉันจะโกรธมากกว่ากัน เพราะคุณตาในสายตาฉันท่านใจดี
แต่แม่ฉัน โกรธขนาดไม่พูดกับพ่อเลย
แม่เคยให้นิยามความโกรธจนเกลียดว่า
"แม่ไม่เคยทะเลาะกับเพื่อนเลย เพราะหากคนไหนที่แม่ไม่ชอบมากๆแม่จะคิดเสมอว่าเป็นอุนจิ(ขี้) ที่จะไม่ไปเหยียบเลย คนเราขี้มันเหม็นและเลอะจะไปโดนมันทำไม "
และแม่ก็ทำแบบนั้นกับพ่อ

แล้วสุดท้ายของคดีบริษัทบีบให้เราไม่ต่อสู้คดี หากต่อสู้จะไม่ขายลิขสิทธิ์ให้ เราโดนค่าปรับไป สามแสนกว่าในคดีนี้ และแม่โดนห้ามออกนอกประเทศเพราะรอลงอาญา

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์แรกของคำว่าเห็นแก่ตัวที่พ่อทำกับแม่ และสร้างบาดแผลในใจให้มากมาย
แม่บอกกับฉันว่า "หากไม่มีลูกแม่คงไม่อยู่แล้ว " แม่พูดทั้งน้ำตา
แต่ชะตาชีวิตยังไม่จบแค่นั้น……………………..

เพราะข่าวที่ว่า สิ้นปีนี้เจ้าของที่ดินและตึกแถวจะไม่ต่อสัญญาเซ้งตึก เนื่องจากจะขายที่ดินให้กับนักธุรกิจที่จะมาทำ foodland นั่นหมายถึงร้านเยี่ยมด้วย
นั่นหมายถึงร้านที่ได้ลงทุนไปหลายร้านแล้วยังไม่คืนทุนต้องปิดกิจการลง
เย็นวันที่พ่อทราบข่าวพ่อกลับไปสาธุฯแต่วัน
" น้อง คุณป้าเจ้าของห้องจะขายที่ ชาวบ้านที่เช่าตึกแถวๆนั้นบอก" พ่อแจ้งข่าวแก่แม่
"เขาจะปรับปรุงตึกแถวเก่าย่านนั้นหมด "
แม่ก็ไม่พูดว่าอะไรแค่ทำหน้าว่าได้ยิน
"น้องไปคุยกับคุณป้าให้ทีสิ ว่าให้เราเช่าต่อ ถ้าเขาทำใหม่"
" ก็ทำไมไม่ไปพูดเองล่ะ "
" น้องไปพูดสิ น้องมักพูดดี ติดต่ออะไรก็ง่าย" พ่อทำหน้าขอร้อง
" เกี่ยวไรด้วย "
แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องไปหาคุณยายพยอมหรือท่านอาจารย์พยอมให้พ่อ
ก่อนวันหมดสัญญาเดือนเดียวในตอนนั้น คุณยายเจ้าของบ้านเห็นว่าร้านเราลงทุนไปมากและปรับปรุงร้านและรักษาร้านให้ดูดีอยู่เสมอ คุณยายผู้ใจดีบอกว่า
" เอาล่ะ เราจะให้หนูเช่าต่อร้านเดียวอย่าห่วงไปเลย ค่าเช่าก็ตามเดิมราคาเดิม "
แล้วก็นัดวันต่อสัญญาก่อนหมดสัญญาอาทิตย์เดียว

และวันต่อสัญญาก็มาถึง……………………
แล้ววันนัดพ่อกับแม่ก็พาพวกเราไปต่อสัญญาตามวันที่นัดที่บ้านคุณยาย

วันนั้น ที่บ้านคุณยายดูพลุกพร่านไม่เหมือนเคยที่ดูเงียบสงบ
คนที่อยู่บริเวณบ้านมักใส่ดำบ้างขาวบ้าง แม่แปลกใจแต่ก็ยังเข้าไปแจ้งเพื่อขอพบคุณยายพยอม
แต่คำตอบที่ได้คือ
"อาจารย์เสียแล้วเมื่อเช้านี้ค่ะ รดน้ำศพตอนเย็น "
แม่ตลึงและพ่อก็พูดอะไรไม่ออก
แม่ถามถึงสถานที่ประกอบพิธีศพแล้วก็ลากลับร้านสาธุฯ

แล้วชะตาก็กำหนดให้เราหมดตัว
ที่ดินผืนนั้นไม่มีการทำพินัยกรรม ประกอบกับคุณยายพะยอมเป็นคนโสด ที่ดินและทรัพย์สินที่แบ่งกันไม่ลงตัวจะถูกขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกันให้แก่ทายาททุกๆคนเท่าๆกัน ทุกตึกแถวจะโดนทุบเมื่อเจ้าของใหม่ทำกิจการคนละแบบ สิ้นปีที่หมดสัญญา ไม่มีการต่อสัญญาแต่อย่างใด ผู้เช่าทุกคนต้องหาที่อยู่กันใหม่ ไม่มีคุณยายผู้ใจดีที่เก็บค่าเช่าไม่แพงอีกต่อไป มีแต่ลูกหลานของท่านที่แย่งมรดกกัน

และนั้นคือจุดจบของร้านเยี่ยม…………….ที่จากไปพร้อมกับคุณยายที่ใจดี
แล้วพ่อฉันก็อาการทรุดลง

31/3/53

ตอนที่ 11 : ชีวิตกับความหวัง



ช่วงนี้พ่อของฉันดูมีกำลังวังชาขึ้น อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ได้ร้านที่ต้องการสมใจ มันคงเป็นแรงกระตุ้น

ผสมกับแรงจูงใจให้ชีวิตมีความหวังต่อไป

ร้านยังไม่ทันจะเปิด แม่คำนวณค่าใช้จ่ายและหนี้สิน แต่พ่อกลับคำนวณรายได้ ตั้งแต่ร้านเยี่ยมยังไม่เปิดกิจการ

" ป๊าทำไมชอบคิดแต่ว่าเปิดร้านมันจะต้องกำไรอย่างเดียว ไม่คิดว่าสมัยมันเปลี่ยนไป วีดีโอกำลังจะหมดยุค

ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะไปเล่นวีซีดีกัน ไม่คิดหรือว่า เราอาจขาดทุน ไม่คุ้มกับค่าปรับปรุงร้านที่ต้องลงทุนไป แค่ค่าดอกเบี้ยก็ไม่น่าจะคุ้มแล้วนะ" แม่ทักท้วงสีหน้าเปี่ยมสุข ที่มีหวังของพ่อ

" เฮียไม่เคยคำนวณอะไรพลาด วีซีดีคุณภาพไม่ดี ฝรั่งยังไม่ดูเลย คนรวยก็ข้ามไปดูดีวีดีกันหมด เชื่อสิ ไม่นานก็เลิกฮิต" พ่อของฉันเถียงอย่างมั่นใจ

แล้วก็ถึงวันที่ "ร้านเยี่ยมวีดีโอ " เปิดกิจการ

" ร้านเยี่ยมวีดีโอ" ตั้งอยู่แถวสะพานสี่ เลยสาธุประดิษฐ์ร้านเดิมไปแค่แยกเดียว อยู่บนอาคารค่อนข้างใหม่ เป็นตึกห้าชั้น สองห้องติดกัน ทาสีน้ำเงินขาวด้านนอกตึก มีป้ายไฟขนาดใหญ่หน้าร้าน ดูเด่นมาก

ผนังร้านภายในทาสีครีมอมส้ม ดูอบอุ่นและทันสมัย ประกอบกับชั้นวีดีโอสีเหลืองและขาว ทำให้ดูสะดุดตาสว่างไสว พื้นของร้านปูด้วยกระเบื้องยางสีเทาอ่อน แบ่งเป็นสองตอน ด้านหน้าวางวีดีโอภาพยนต์ต่างประเทศ วีดีโอจีน ไทย และการ์ตูน ที่ออกใหม่ๆ ไม่เกินหกเดือน แต่ชั้นสองของร้านจะเป็นวีดีโอที่สนุกเป็นเรื่องดีๆแต่ออกฉายนานแล้วและหนังจีนชุดมากมาย ทุกเรื่องที่มีเป็นวีดีโอ เรียกว่า ที่ไหนไม่มีเช่าแล้ว ที่นี่มีแน่นอน แต่ที่แตกต่างคือ ด้านล่างของร้านวีดีโอ แบ่งเป็นมุมเล็กๆ ให้บริการเช่าหนังสือการ์ตูนและนวนิยายด้วย เรียกว่า อะไรที่เป็นรายได้ พ่อของฉันก็เอาหมด พ่อยังคงรักษาคุณภาพของวีดีโอไว้เหมือนเคย แต่การรักษาคุณภาพนั้น มันทำให้เทปที่อัดเต็มร้าน ล้นไปหมด เพราะต้องใช้เทปใหม่อัดวีดีโอ ซึ่งร้านอื่นๆเขาจะอัดหนังใหม่ทับเรื่องที่ไม่มีคนดูแล้ว ทำให้ประหยัดต้นทุนได้ และสามารถอัดทับได้เรื่อยๆ หากเทปไม่เสีย เช่น ยับ ย้วย ขาด ขึ้นราเสียก่อน แต่ร้านของพ่อจะไม่ทำ ทำให้ต้นทุนร้านนั้นสูงกว่ามาก พ่อจะใช้เทปคุณภาพดี มันก็ทำให้มีราคาแพงกว่าคนอื่นอีกด้วย บางทีแม่ก็มองว่า เทปที่ไม่มีคนเช่าแต่วางรกร้านนี่ช่าง

ไม่คุ้มเลยจริงๆ เพราะม้วนวีดีโอมีขนาดใหญ่ เปลืองที่เก็บ บางเรื่องอัดเป็นร้อนม้วน เวลาคนไม่ดูแล้วก็กองเต็มร้าน จะมีจำนวนน้อยก็ไม่ได้ เพราะหนังชนโรงนั้น ความต้องการดูลูกค้าก็มีมากเวลาหนังออกเป็นวีดีโอใหม่ๆ คนก็แย่งกันเช่า หากไม่มีของให้เช่าลูกค้าก็หนีไปเช่าที่อื่น เผลอๆ ไม่กลับมาเช่าร้านเราอีกเลย

วันแรกของการสมัครสมาชิกร้าน ถึงแม้คนไม่มากมายเท่าที่ร้านสาธุฯ ที่เรียกว่าล้นหลาม แต่ก็ถือว่ามาก เพราะร้านเยี่ยมถือเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุดในย่านนั้น แม่ของฉันและพวกเราก็อดตื่นเต้นไม่ได้ คุณตาคุณยายก็มาจากชลบุรี อาม่า แม่ของพ่อ ก็มาจากคลองเตย ทุกๆคนล้วนลุ้นว่าจะมีคนเข้าร้านไหม และจะมีสมาชิกเท่าไหร่ในวันแรก แม่ไปตรวจดูความสะอาดและความเรียนร้อยของคอมพิวเตอร์ ฉันวางวีดีโอแต่เช้า ตลอดเวลาระหว่างเตรียมการเปิดร้าน แม่ต้องเป็นคนตีร์ชื่อหนัง ทำสต็อคหนัง ทำปก สติกเกอร์ ส่วนพนักงานก็ต้องอัดหนัง เช็คหนังที่อัดทุกม้วนเลยทีเดียว ส่วนพ่อฉันก็ไปทำงานกลางวันเหมือนเคย ดูๆไป ก็เหมือนแม่เปิดร้านมากกว่า เพราะคนทำคือแม่ฉันทั้งนั้น แม่ฉันยังหน้าตาเหนื่อยหน่าย แม่ไม่ยินดียินร้านกับร้านใหม่นี้ แต่แม่ก็ยังไปคอยต้อนรับลูกค้าที่มาสมัครสมาชิกร้าน ด้วยสีหน้าและถ้อยคำอ่อนหวานเหมือนเดิม พนักงานร้านเยี่ยม เครื่องแบบใส่กางเกงขายาว และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนสั้น ผูกเนคไท สีน้ำเงินมีลายการ์ตูรของวอลดิสนี่น่ารักๆ ดูทันสมัยลำลองกึ่งทางการ ดูทำให้ร้านของเรามีระดับขึ้นมาก ผนังร้านก็มีโปสเตอร์หนังสวยๆ ใส่กรอบตกแต่งผนังไว้ และยังมีเครื่องเสียงที่ต่อแบบโฮมเทียร์เตอร์ ทำให้เสียง

วีดีโอที่เปิดดูกระหึ่มเร้าใจ น่าเช่าเรื่องนั้นๆยิ่งนัก

วันแรกของร้านรายได้ก็เป็นที่น่าพอใจ พ่อดีใจจนออกนอกหน้า และยังคงวาดฝันถึงรายได้ที่จะมาจ่ายค่ายาของพ่อเอง จ่ายค่าดอกเบี้ย และยังคิดไกลไปถึงจะไปรักษาที่เมืองนอกทีเดียว

วันรุ่งขึ้น พ่อยังคงหยุดงานต่ออีกหนึ่งวัน พ่อไปเปิดร้านแต่เช้า พร้อมๆพนักงาน เรารับคนงานใหม่ที่เคยอยู่เซเว่นมาทำงานด้วย และเอาพนักงานที่เป็นงานและเก่งจากร้านสาธุฯเข้าไปทำด้วยมีพนักงานหญิงห้าคน และพนักงานผู้ชายหนึ่งคน พ่อบอกว่า หากร้านไปดี พ่อจะได้ไม่ต้องไปทำงานข้างนอก เพราะไม่นานพ่อก็คงไม่สามารถขับรถได้ เพราะตอนนี้พ่อก็อาการมากขึ้นแล้ว


วันนั้น พนักงานร้านเยี่ยมชื่อ พี่นก บอกว่า พ่อเดินเข้าร้านมา และ..........หกล้มหงายหลัง

แม่ที่กำลังไปส่งฉันและน้องที่โรงเรียน ได้รับโทรศัพท์ระหว่างทาง ว่าพ่อฉันล้มหงายหลัง

" โชเฟอร์ กลับที่เดิมเลยค่ะ" แม่บอกคนขับแท๊กซี่ แล้วให้ไปส่งที่ร้านเยี่ยม พอเห็นป๊าแม่ก็บอกว่า

" ป๊า ไปโรงพยาบาลนะ " แม่เรียกแท๊กซี่ทันที พ่อพยักหน้า แต่ปากพูดว่า ไม่ต้องมั้ง พักหน่อยเดี๋ยวคงหาย

" ไม่ ไปโรงพยาบาลเลย แม่ยื่นคำขาด เราไม่ใช่หมอ หากข้างในเป็นอะไรจะไปรู้ได้ยังไง"

พอถึงโรงพยาบาลประจำ ที่มีหมอประจำ หมอคนนี้ชื่อ"หมอเอ" หมอต้องสั่ง MRIนั่นก็คือ

การตรวจกระดูกด้วยคลื่นแม่เหล็ก การตรวจนี้ สามารถทำให้เราเห็นตั้งแต่กระดูก เส้นเลือด และเส้นประสาท มีสองแบบคือ แบบฉีดสีและไม่ฉีดสี หากฉีดสีก็จะเห็นชัดเจนกว่า
" ปลายประสาทของคุณมันแย่ขึ้นนะ มันฝ่อ "
" ยังขับรถหรือเดินมากอยู่หรือเปล่า" หมอถาม
พ่อพยักหน้าหมอจึงบอกว่า " ควรหยุดได้แล้ว มันอันตรายต่อตัวคุณ ขับรถในสภาพร่างกายแบบนี้ แล้วหากใช้ขามาก มันก็จะล้า ควรออกกำลังกายแค่เบาๆ" หมอแนะนำ แล้วก็จัดยาให้เหมือนเคย เป็นยาที่ฉันจำชื่อได้ว่าชื่อ นิวรอนติน และนิวโรเบียน ยาที่ใช้ในโรคนี้ให้หายนั้นไม่มี จะมีแต่ยาที่รักษาสภาพไม่ให้การเสื่อมเร็วนัก และยาบำรุงเส้นประสาทเท่านั้น และมีราคาแพงมาก หมอของพ่อคนนี้มักจะถามว่า เบิกได้ไหม หากตอบว่าไม่ได้ หมอเอก็จะเขียนใบสั่งยาให้ไปซื้อที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่หมอประจำอยู่ และส่วนหนึ่งก็ซื่อที่โรงพยาลที่มารักษานี้ หมอเอ ผู้เห็นใจคนไข้ เพราะท่านคงทราบว่าโรคนี้มันกินเงินนัก และไม่มีทางหาย หมอเอ เคยเอายาที่ญาติผู้ป่วยของคนที่เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้ว แล้วเขาบริจาคยาราคาแพงนี้มาให้พ่อด้วย จากนั้นแม่ก็พาพ่อกลับไปพักที่ร้านที่สาธุฯ แล้วก็ไปซื้อยาที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง วันนั้นพวกเราไปกับแม่เหมือนเคย ยื่นใบสั่งซื้อยาแล้วรอเรียก ที่นี่เขาจะให้ยื่นใบสั่งยาก่อน แล้วก็รอเรียกเพื่อชำระเงิน แล้วถึงไปรับยาที่สั่งซื้อ ตอนที่เห็นราคาค่ายาที่ใบสั่งยา แม่กำเงินที่ถือในมือแน่น เพราะว่ามันคือ
เงินก้อนเดียวที่มีเหลือสำหรับเตรียมจ่ายค่าใช้จ่ายที่รอจ่ายอยู่ทั้งหมด เช่นค่าเทอมลูก ค่าเช่าร้านสาธุฯ มันไม่พอค่ายา และรายได้เมื่อวานก็หมดไปกับค่าตรวจหมดแล้ว รวมทั้งเงินค่าเทอมลูกบางส่วนด้วย...........
แม่รับใบจ่ายเงินมา ยังยืนนิ่ง ครุ่นคิด และกำเงินที่เหลือในมือแน่น เพราะแม่ไม่มีเงินพอ
" น้องคะ ฉันขอซื้อแค่ครึ่งเดียวได้ไหมคะ เอาเงินมาไม่พอค่ะ " แม่แจ้งเจ้าหน้าที่ห้องยา
เจ้าหน้าที่ได้ไปดำเนินการเปลี่ยนใบเสร็จ ตัดจำนวนลดลงแค่ครึ่งเดียว
แล้วเงินก้อนสุดท้าย ค่าเทอมลูกสามคนทั้งหมด ก็หมดไปกับค่ายาพ่อ
พวกเรากลับบ้านกันอย่างเงียบๆ ตลอดทาง แม่คงจูงมือน้องเล็กกะฉันพร้อมกัน อีกมือหนึ่งจะจูงน้องเยี่ยม แม้มีลูกสามคน แม่ก็จะจูงเราทั้งสามคนพร้อมๆกันเสมอ เราไปหาแท๊กซี่เพื่อกลับไปที่ร้าน
ระหว่างทางฉันชำเลืองเห็นน้ำตาคลอที่ดวงตาของแม่ ร้องไห้เงียบๆ คือแม่ของฉัน มือที่จับแม่อยู่ก็กำแน่นอย่างปลอบประโลมโดยไม่รู้ตัว แม้ฉันจะยังเด็ก แต่ฉันก็รู้สึกถึงอารมณ์แม่ดี และดูเหมือนน้องๆของฉันก็จะรับรู้ด้วย ถึงนั่งกันเงียบๆ จนถึงร้านสาธุฯ
" ป๊าเป็นไงบ้างดีขึ้นไหม" แม่ถามพ่อที่นอนพักอยู่ "อืม" พ่อตอบเคลียดๆ
แม่วางยาให้ข้างเตียงเงียบๆ
" ก็ทำตามที่หมอสั่แล้วกัน ร้านเยี่ยมน่ะปิดตีสอง ป๊าไม่ต้องอยู่ถึงตีสองหรอกนะ จะอยู่ทำไม จ้างคนแล้วก็ให้เขาทำไปสิ " แม่ว่า
" นายไม่อยู่มันก็เริงร่าสิ"
" แล้วจะให้ทำยังไง ในเมื่อคนเราก็มีมือ มีหัวแค่นี้ เมื่อคืนคืนแรกก็เหอะ แต่ต่อๆไป จะอยู่ถึงตีสองทุกคืนเลยหรือ จะนั่งเฝ้าเพราะกลัวพนักงานโกงนี่นะ ถ้าคนมันจะโกง กลางวันเราไม่ได้อยู่มันก็โกงได้"
พ่อนิ่งเงียบ แต่วันนั้นพอสักพักตอนค่ำๆ พ่อก็ไปดูแลร้านเยี่ยมอีก ไม่ฟังแม่เลย
พ่อของฉันจะตรวจบัญชี เคียร์เงินที่ได้กับคอมพิวเตอร์ว่าตรงกันไหมในตอนกลางคืน พ่อกะว่าจะอยู่จนตีสองทุกคืน พ่อจะกลับจากทำงานข้างนอกประมาณสามทุ่ม แล้วไปร้านเยี่ยมเลย พ่อซื้อข้าวทานแถวๆนั้น พวกเราช่วงนี้ แทบไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เพราะพวกเราไปโรงเรียนตอนหกโมงเช้าที่พ่อยังไม่ตื่น พ่อจะตื่นไปทำงานประมาณเจ็ดโมงเช้า ตอนเย็นหลังเลิกเรียน แม่จะไปรับพวกเรามีอาหารว่างมาฝากและดูลูกทำการบ้าน และสอนการบ้านพิเศษที่แม่จะเขียนโจทย์เตรียมใส่สมุดมาให้ฉันกับน้องเยี่ยมน้องเล็กทำ ใครทำเสร็จก่อนก็จะได้ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรเรียน หรือวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แม่จะทำแบบนี้ทุกๆวัน เพราะแม่เห็นใจที่ลูกๆอยู่บนตึกแถวที่ไม่มีบริเวณ ห้องก็ปิดหมดเพราะกลัวฝุ่นเข้า หน้าต่างที่ไม่มีวันเปิดเพราะอากาศที่เข้ามาจะมีแต่ฝุ่นแล้วก็ฝุ่นจากร้านค้าของเก่า แม่ว่า ฝุ่นของถุงซิเมนต์มันอันตรายมากกับระบบทางเดินหายใจ ที่ตึกแถว ไม่มีอากาศหายใจสบายๆเหมือนที่โรงเรียนนื้ที่ยังมีที่โล่งๆ และต้นไม้ พวกเราจะนั่งทำการบ้านที่ซุ้มกาละเวกที่โรงเรียน ผู้ปกครองที่นั่น มักจะดูพวกเราและชมเชยว่า มีความรับผิดชอบทำการบ้านก่อนไปวิ่งเล่น โดยเฉพาะน้องเยี่ยมที่เป็นเด็กผู้ชาย แม่ก็จะยิ้มๆ ที่มีคนชมว่าลูกแม่น่ารัก
แม่จะทำอย่างนี้ทุกๆวัน พวกเราจะกลับถึงบ้านก็ค่ำๆ บางครั้งฉันรู้สึกด้วยซ้ำว่า แม่ไม่อยากกลับเลย แม่จะตรวจการบ้านและเขียนการบ้านพิเศษสำหรับพรุ่งนี้เตรียมไว้ รอให้รถไม่ติดในย่านนั้นแล้วค่อยกลับ ซึ่งเป็นการประหยัดค่าแท๊กซี่ด้วย
เวลาที่เรากลับบ้าน พ่อก็ยังไม่กลับ เราสามคนแทบไม่เคยเจอหน้าพ่อหรือพูดกับพ่อ ยกเว้นเห็นหน้าพ่อตอนพ่อหลับอยู่ เราทานอาหารเย็นกันสี่คน นอนกันสี่คน ไปไหนๆกันสี่คน พ่อทำงานไม่มีวันหยุดเหมือนเดิม พ่อทุ่มเทให้กับร้านเยี่ยมมาก พ่อมีรายการชิงโชคไว้จูงใจสูงค้า แถมรางวัลใหญ่ก็เป็นตู้เย็น พ่อจะไปซื้อตู้เย็นมาตั้งเลย รางวัลก็ทำเป็นฉลากใส่ไว้เลย ไม่มีอมหรือหลอกลวง บางทีคนจับตู้เย็นรางวัลใหญ่ไปได้ พ่อยังไปซื้อรางวัลตู้เย็นมาอีกอัน กำไรก็น้อย จากค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น เพราะวีดีโอแตกตัวเป็นหลายค่าย พ่อกลับจูงใจลูกค้าแบบนี้ เรียกว่ากำไรแทบไม่มีเลย จนแม่ว่า แล้วจะทำทำไม จนเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ฉันทะเลาะกัน เมื่อวันหนึ่งแม่ไปที่ร้านเยี่ยมแล้วเห็นตู้เย็นอีก
" อ้าวนก ลูกค้าจับได้ตู้เย็นไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังมีตู้เย็นอีกล่ะ " แม่ถามพี่นกพนักงาน
" เฮียซื้อมาใหม่ค่ะ แล้วเพิ่มรางวัลที่ฉลาก"
แม่โทรไปหาพ่อฉันเลย
" ป๊าซื้อตู้เย็นมาทำไมอีก รางวัลที่หนึ่งเราตู้เย็นมันออกไปแล้วนี่"
"ก็ออกไปแล้วสิ ถึงต้องเพิ่ม เดี๋ยวลูกค้าไม่มีเช่าเพราะเห็นรางวัลใหญ่ออกไปแล้ว "
" อ้าว ก็รางวัลเล็กๆก็ยังมีนี่ เครื่องเล่นวีดีโอ ดูฟรี นาฬิกา มันก็มีอีกมากมาย จับได้แล้วก็แล้วไปสิ"
" น่า เรื่องของเฮีย ร้านของเฮีย น้องอย่ายุ่งน่า"
" เอ้อดี ทีลูกค้า อะไรๆก็ประเคนให้หมด ที่ลูกเมีย ไม่มีจะกิน จะซื้ออะไรทีกว่าจะเก็บเงินได้ " แม่บ่น
"ร้านคุณจำไว้นะ ฉันจะไม่ไปเหยียบอีก แล้วอย่าให้ฉันไปช่วยอะไรล่ะ"
" ได้ เฮียจะทำเองหมด อย่ามาห้ามไม่ให้ทำงานแล้วกัน"
แล้วตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่ไปร้านเยี่ยมอีกเลย พ่อก็กลับบ้านประมาณตีสามเพราะกว่าร้านจะปิด กว่าจะเคลียร์บัญชี
แล้ววันหนึ่ง พ่อก็มาบอกแม่ว่า
"เฮียว่าขาเฮียลีบลง ไม่มีแรง เฮียว่าคงต้องออกกำลังกาย ทำแบบหมอว่าไม่ได้ซะแล้ว คนไม่ออกกำลังกายแข้ขาจะมีแรงได้อย่างไร"
" ไม่รุ" แม่ตอบแบบไม่สนใจนัก "หมอบอกคุณยังไม่เชื่อเลย ฉันบอกคุณจะฟังหรือไง "
แม่ฉันลองว่าขึ้นคุณกับฉันคืออารมณ์ไม่ดี
แม่คงปลงแล้ว
เพราะพ่อมักไม่ค่อยทำตามหมอ
แล้วพ่อ ก็ไปหาถุงทรายมาผูกติดกับขา แบบทหารหรือนักเรียนรดฝึกทหาร แล้วพ่อก็ใส่มันเดินไปไหนต่อไหน โดยคิดว่า ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงานจะทำให้ขามีแรงขึ้น เวลานั่งพ่อก็จะยกขาที่ยกอย่างลำบากขึ้นๆลงๆ พ่อไปซื้อเครื่องปั่นจักรยานแบบนั่งปั่นเล็กๆมาถีบเวลานั่งดูทีวีเฝ้าร้านที่ร้านเยี่ยม
พ่อพยายามออกกำลักายเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่าจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อคืนมาได้
แต่ กล้ามเนื้อของพ่อที่ลีบไปแล้ว มันไม่เคยคืนกลับมาเลย ตอนนี้ เวลาพ่อเดินไปข้างนอก พ่อจะใช้ไม้เท้า และอีกมือหนึ่ง ยันหัวไหล่ฉันไว้กันล้ม ฉันต้องเดินช้าๆ หันหน้าไปที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะอาจทำให้พ่อเสียหลักแล้วล้มลงได้
เรื่องนี้ ทำให้ฉันมีเหตุทะเลาะกับพ่อหลายๆครั้งจนครั้งใหญ่สุดคือ
" พลอย กูบอกว่าห้ามหันหน้าไปไหนเวลาเดินยังไง"
แม่ที่เดินตามหลังที่มักจะคอยระวังหลังเสมอๆกับจูงน้องสองคน ถึงกับชงัก และฉันถึงกับโกรธมาก
ฉันไม่ตอบพ่อ รู้สึกโกรธจับใจ น้ำตาคลอ
" กูถามทำไมไม่ตอบ ฮึ"
ฉันยังคงนิ่ง
"คุณพูดกับลูกแบบนี้ได้ยังไง วาจาแบบนี้ ฉันไม่เคยพูดกับลูกหรือสั่งสอนให้ลูกพูดแบบนี้ "
" ทำไมจะพูดไม่ได้ คนอื่นเขาก็พูด " พ่อเถียง
" คนอื่นก็ส่วนคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่มาพูดกับลูกฉัน" แม่ไม่ยอม
แม่เคยเล่าว่าครอบครัวแม่ไม่นิยมการพูดจาหยาบคาย เพื่อนแม่ที่พูดหยาบคายก็ไม่มี แม่โตมาจากสิ่งแวดล้อมดีๆ โรงเรียนดีๆ เพื่อนดีๆ สังคมของแม่จึงมีแต่สิ่งแวดล้อมดีๆ
" อีกอย่างลูกยังเด็ก การที่เด็กคนหนึ่ง คอยเดินให้พ่อจับนี่ มันก็มากพอแล้ว แค่หันหน้าไปแค่นั้น มันจะเป็นไร ลูกก็ยังเดินช้าๆอยู่นี่"
" แล้วถ้าเฮียล้ม จะว่าไง"
" แล้วมันล้มไหมล่ะ ก็ยังมีปากพูดว่าลูกได้อยู่นี่"
พ่อไม่เถียงแม่ แต่หันมาเล่นงานฉันต่อ
" บอกมาทำไมถามไม่พูด "
" พลอยไม่พูดกับป๊า เพราะแม่เคยบอกว่าหากใครพูดกับเราไม่เพราะไม่ต้องไปพูดด้วย "
" และพลอยก็ไม่ชอบที่ป๊าพูดกับพลอยแบบนี้" ฉันตอบตรงๆ
" มีแม่ให้ท้ายก็ยังงี้" พ่อว่า
" นี่คุณ...! คุณนั่นแหละผิด จะว่าอะไรนึกดูบ้างสิ ลูกอายุเท่าไหร่ ทำเพื่อคุณอะไรบ้าง หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง นี่เด็กนะ เขาก็ต้องอยากเล่น สนใจสิ่งโน้นนี้บ้าง มันแปลกนักหรือ คุณน่ะแหละมันเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ลูกทำอะไรให้คุณตั้งมากมาย แล้วแค่ลูกหันไปมองอะไรบ้างแค่นี้ มันจะเป็นไรไปนัก ขนาดมาขึ้นมึงกูกะลูก "
แม่ใส่พ่อไม่เลี้ยง แม่จะพูดตรงๆและจะปกป้องเราเสมอหากมีการว่ากล่าวหรือลงโทษอย่างไม่ยุติธรรมแม่ฉันจะถือมาก
" จำไว้นะพลอย ไม่พูดอย่ามาพูด" พ่อยังไม่หยุด สายตาแม่ส่งมาหาฉันว่า ห้ามต่อปากต่อคำ ฉันจึงไม่พูดอะไร ยืนนิ่งๆให้พ่อจับหัวไหล่เวลาเดินต่อไป
การที่พ่อจับหัวไหล่ฉันนั้น ที่จริงมันเจ็บนะคะ เพราะหากนานๆ น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงมาที่หัวไหล่ข้างเดียว จะทำให้ปวดได้เหมือนกัน แต่ฉันก็ทนมาเสมอ เพราะพ่อคือพ่อของฉัน ฉันไม่เคยอิดออดที่จะช่วยเหลือพ่อ ไม่ว่าจะตอนกลางคืนเวลาพ่อจะเข้าห้องน้ำแล้วปลุกฉันกลางดึก หรือเวลาให้รินน้ำให้กลางดึก เพราะฉันรู้ดีว่า หากฉันไม่ทำ ภาระมันจะอยู่ที่แม่ฉัน
แต่พ่อ เริ่มพูดให้พวกเราคิดว่า พ่อสำคัญมากมายแค่ไหนที่พวกเราต้องเสียสละให้พ่อ บางทีที่แม่ไม่มีเงิน แล้วพ่อเอาไปรักษาหมอบ้าๆที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่นใครไม่รู้ที่มาทักอาการพ่อเวลาเดินที่ตลาด แล้วบอกว่าเขานวดให้หายได้ บางครั้งคลอสละเป็นหมื่น แม่ไม่พอใจที่จ่ายเงินให้กับคนที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่พ่อลองทุกทาง ถ้าแม่ไม่ให้เงินหรือทักท้วง พ่อก็จะว่า จะปล่อยให้พ่อตายไปเลยไหม พ่อไม่สำคัญหรือยังไง จนในที่สุดก็ทำให้แม่ไม่มีเงินค่าเทอมลูกบ่อยๆ จนต้องไปหยิบยืมเพื่อนมาจ่าย ที่จริงแม่บอกว่าจะเรียกว่าหยิบยืมคงไม่ได้ เรียกว่าขอคงเหมาะกว่า เพราะชาตินี้ไม่รู้เลยจะตายซะก่อนหามาคืนเพื่อนได้ไหม
.............................................
ชีวิตที่มีร้านค้าใหม่ใหญ่โต แต่เบื้องหลังคือหนี้สิน
ร้านค้าที่พ่อเอาใจใส่ ลูกค้าที่พ่อเอาใจ แต่เบื้องหลังคือ การละทิ้งครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันเสมอ
เวลาของพ่อ คือ เวลาของการทำงานและทำเงิน
หากฉันชื้อเวลาของพ่อให้ได้พักผ่อนได้คงดี
พ่อคงไม่ป่วยเพราะพักผ่อนไม่พอ แต่พ่อกลับมองว่า
พ่อป่วยเพราะพ่อไม่ได้ทำงานมากเท่าที่อยากทำ
พ่อเริ่มโทษแม่ที่คอยบอกให้พ่อกลับบ้านเร็วๆในอดีต
เริ่มโทษแม่ที่ คอยบอกให้หยุดทำงานบ้างวันอาทิตย์
โทษแม่ที่ทำให้พ่อไม่ร่ำรวยเพราะทำงานไม่เต็มที่
และโทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ไม่ใช่ตัวพ่อเอง...
อยากถามพ่อนักว่า "มันคุ้มไหมคะ ที่ทำงานหนักแล้วต้องจบลงด้วยป่วย
เพราะเคลียดและพักผ่อนไม่พอ เงินที่หาได้มาต้องเอามาจ่ายค่าหมอ ค่ายา ที่จ่ายเท่าไหร่
ก็ซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาไม่ได้".................


29/3/53

ตอนที่ 10: ชีวิตบนตึกแถว



วันแรกของชีวิตบนชั้นสองของร้านวีดีโอ
พวกเรา5คนพ่อแม่ ฉัน และน้องชาย อยู่ร่วมกันบนห้องในชั้นสองของร้านวีดีโอ
ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ24ตารางวาได้ ห้องก็กว้างขวางพอควร
พื้นเป็นหินอ่อนสี่ขาว ในห้องมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบเล็กๆและฟูกขนาด7ฟุต1อัน โต๊ะทำงานคอมพิวเตอร์อีก1ตัว
แค่นั้น มีผ้าม่านหนึ่งผืนที่แบ่งกั้นห้องระหว่างส่วนนอนกับส่วนทำงานของแม่
แค่นั้น..............
ในชั้นเดียวกันมีห้องน้ำและส่วนของครัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่มีบรรยากาศของบ้านเหมือนเคย.....แต่ยังดีที่ ยังมี "เรา"
ครอบครัวของเรา พ่อแม่และน้องอีกสองคน
ที่สาธุฯนี่ไม่ไกลจากโรงเรียนเรามากนักเพราะโรงเรียนของเราอยู่คลองเตยไปมาก็ค่อนข้างสะดวกร้านใกล้ตลาดมีอาหารเยอะแยะ ที่จริงพวกเราก็ไปๆมาๆเสมอแค่เพียงไม่เคยคิดว่าต้องมาอยู่อย่างถาวรเพราะไม่มีบ้านอีกแล้ว
ช่วงแรกแม่ติดต่อรถรับส่งให้มารับที่ร้านตอนเช้า แต่รถรับส่งมารับตั้งแต่ตีห้าและน้องชายฉันก็เพิ่งอยู่อนุบาล
ไม่นานแม่ก็ทนไม่ไหวต้องไปรับส่งลูกเองเพราะสงสารลูกที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาแต่งตัวคอยรถตั้งแต่ตีห้า
ตอนเช้าแม่จึงไปส่งฉันกับน้องชายทุกเช้าและหอบพ่วงน้องเล็กตามไปด้วยทุกๆวัน
อาหารเช้าที่โรงเรียนเหมือนเคย....ก่อนจะกลับมาดูร้านเปิดร้านตอนเช้า ถ้าแม่กลับช้าบางทีลูกน้องก็มักตื่นสายไม่เปิดร้านแต่เช้า พวกเราจะตื่นตีห้าหรือตีห้าครึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จประมาณ6โมงเช้า แล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปโรงเรียน แม่คงนั่งรถเมลืไม่ได้หรอก มีมือแค่สองมือต้องจูงลูกขึ้นรถเมล์สามคนคงทำไม่ได้แน่ เพราะรถเมล์บ้านเราใช่ว่าจะดีนัก เคยมีครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่ฉันขึ้นรถปุ๊บรถเมล์ออกรถไป แม่ยังไม่ทันขึ้น แม่ต้องจูงน้องวิ่งตามรถเมล์แม่แทบขาดใจพอรถจอดแม่ไม่ยอมขึ้นแต่อุ้มฉันลงจากรถเพราะตอนนั้นฉันก็แค่สี่ขวบ
แม่โอบกอดฉันไว้อย่างตกใจที่สุด ตั้งแต่ครั้งนั้นแม่ไม่ยอมพาพวกเราขึ้นรถเมล์อีกเลยแม่ว่าตราบใดที่แม่ไม่ได้มีสามมือพอที่จะจูงลูกได้สามคน แม่จะประหยัดด้านอื่นเพื่อให้ฉันได้ขึ้นรถแท๊กซี่ไปโรงเรียน
น้องเล็กน้องของฉันจึงถูกเลี้ยงมาในร้านวีดีโอมากกว่าในบ้าน
น้องเล็กจึงน่าสงสารที่สุด เกิดมาช่วงพ่อแม่ลำบากแล้ว จึงไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือมีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหมือนฉันกับน้องชายเมื่อก่อน เสื้อผ้าของน้องเล็กส่วนใหญ่ก็ซื้อตามตลาดแถวๆร้าน ที่แม่จะพยายามเลือกที่ดูดีหน่อยแม้ไม่ใช่เสื้อผ้าในห้างแต่แม่ฉันก็จะเลือกที่ดูดี น่ารักๆน้องของฉันผิวขาวแม้ไม่สวยแต่ก็เกลี้ยงๆแต่งอะไรก็น่ารักแถมฉลาดมากๆ น้องเป็นคนช่างสังเกตุจะคอยสังเกตุว่าใครเก็บอะไรไว้ตรงไหนหากหาไม่เจอนะคะถามน้องเล็กจะตอบได้หมด น้องเล็กจะมีที่นอนหลังเค้าเตอร์ด้านล่างที่แม่นั่ง เวลาเฝ้าหน้าร้านที่น่าขำคือขนาดแม่เลี้ยงลูกหน้าร้านก็ยังมีลูกค้าตาถั่วไม่รู้ว่าแม่เป็นภรรยาเจ้าของร้านคิดว่าเป็นลูกสาวและนั่งเลี้ยงน้องมีคนบอกป๊าว่า"เฮียนี่โชคดีมีลูกทันใช้ " แถมยืนจีบแม่ซะอีก
เรื่องขำๆของลูกขาคนที่ขี้ม้อก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งลูกค้าขี้ม้อที่ยืนจีบแม่บ่อยๆก็เข้ามายืนคุยเล่นเหมือนเคย
วันหนึ่งก็มีลูกค้าที่เป็นเด็กวัยรุ่นมาสะกิดแม่บอกว่า
" พี่ๆลูกค้าคนที่พี่คุยอยู่เนี่ยเขาไม่ได้รูดซิบกางเกง พี่บอกเขาหน่อยสิ"
" ไม่กล้าบอกหรอก น้องบอกสิ" แม่ว่า
แล้วพี่วัยรุ่นคนนั้นก็ชำเลืองไปมองแล้วทำตายิ้มๆใส่ลูกค้าชายคนนั้น
พอลูกค้าชายเห็นคนทำท่าซุบซิบแล้วมองมาที่ตน ก็ถามว่า
"นินทาไรผมครับ"
"พี่ไม่ได้รูดซิบกางเกงน่ะ"พี่วัยรุ่นบอกทันควัน
แต่ที่ฉันเห็นพี่ผู้ชายไม่ได้เขินสักนิดเลย ก้มไปดูแล้วบอกว่าจริงด้วยแล้วก็รูดซิบพร้อมหัวเราะพูดว่า
"แหมมันคงอึดอัดอยากมาหายใจ" ทำเอาแม่และพี่วัยรุ่นและพนักงานสาวๆคนอื่นเขินแทน
........................
มาว่ารื่องน้องเล็กกันต่อ
"น้องเล็ก" เป็นน้องที่ตั้งแต่เกิดก็มีชีวิตในร้านวีดีโอ น้องเล็กต้องชื่อว่า "น้องเล็ก" เพราะไม่มีใครตั้งให้ เลยเรียกกันว่าน้องเล็กเรื่อยมาจนโต ส่วนชื่อจริงของน้องเล็กก็ยังแปลได้ ว่าชื่อน้องคนสุดท้องอีกคิดๆแล้วก็น่าสงสารที่ภาระหน้าที่ และเศรษฐกิจในครอบครัวทำให้พ่อแม่ทำเหมือนละเลยน้องคนสุดท้องไป
น้องเล็กไม่ได้เรียนเนสเซอรี่หรือเรียนเตรียมความพร้อมเหมือนพวกเราแต่เข้าอนุบาลหนึ่งเลยเหตุผลเพราะแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน
น้องเล็กมักถูกดูแลโดยลูกจ้างที่ร้านในตอนแรก เพราะภาระหนักอึ้งของแม่และพ่อจนกระทั้งวันหนึ่งที่แม่เห็นเหาที่หัวน้องเล็กทั้งๆที่น้องเล็กวัยแค่สามเดือน พี่เลี้ยงที่มาเลี้ยงน้องเล็กมาจากต่างจังหวัดมาทำงานที่ร้านและไม่สะอาด หัวพวกเขาก็มีเหาเสมอแม่เล่าว่า ตอนที่แม่เห็นแมลงอะไรไม่รู้อยู่บนหัวน้องเล็กแม่ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคือ"เหา"เพราะแม่ไม่เคยเป็นพอทราบว่าเป็นเหา แม่ต้องเรียกพนักงานทั้งหมดมาสำรวจเหาและจัดการใส่ยาฆ่าเหาให้หัวพนักงาน แม่บอกว่ารู้สึกแย่มากที่มีตัวเหามาขึ้นหัวลูกวัยสามเดือนได้ ตั้งแต่นั้นมาน้องเล็กก็มานอนรวมกับพวกเราในห้องชั้นสองและแม่ดูแลเอง แม่บอกว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่แม่กอดน้องเล็กและแปลกที่เหมือนน้องเล็กจะรู้ว่านี่คือแม่ พอแม่อุ้มก็จับมือแม่ไว้และพอแม่จะวางก็ร้องไห้เสียงดังจนแม่ตัดสินใจเลี้ยงน้องเล็กเอง แม่ว่าน้องเล็กเลี้ยงง่ายไม่เหมือนฉันและน้องเยี่ยม พอโตขึ้นหน่อยน้องเล็กก็ไม่ทานข้าวบด แต่ทานข้าวเหมือนพวกเราเลย ไม่ยอมให้ป้อนแต่จะทานเอง โดยยิ้มอาหารเข้าปากเลย แม่ก็ปล่อย วางอาหารไว้ให้บนโต๊ะเด็กจะเปื้อนจะเลอะก็ไม่ว่าและสอนให้ใช้ช้อนตักเข้าบ้างไม่เข้าบ้างหกบ้างแม่ก็ไม่ว่า พอน้องเล็กเดินได้ น้องเล็กก็เดินไปนั่งกระโถนฉี่เองเลียนแบบพี่ๆ ไม่ฉี่เปื้อนเลยน้องเล็กชอบไปโรงเรียนส่งพี่ๆ แถมเปิดปิดวีดีโอทีวีเป็นตั้งแต่เล็กๆและชอบดูวีดีโอ"กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม" วนไปวงมาไม่รู้กี่รอบ
ตอนที่เราอยู่ที่สาธุฯพ่อยังคงต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงานน้ำตาลที่กาญจนบุรีอยู่ แม้การเดินของพ่อจะไม่สะดวกช่วงนั้นฉันจำเหตุการณ์ได้ครั้งหนึ่งฉันอาเจียรไม่หยุดแม้จะทานยาแล้วที่จริงฉันไม่สบายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พ่อไม่ได้พาไปโรงพยาบาลแต่ให้แม่พาไปร้านหมอใกล้ๆ หมอไม่ใช่หมอเด็ก เป็นหมอผู้ใหญ่ทั่วๆไป พอตรวจเสร็จก็จ่ายยาให้ ฉันก็กลับบ้านแล้วแม่ก็ป้อนยาตามปกติแต่ก็อาเจียรตลอด ตกเช้าก็ยังเป็นแบบเดิมก่อนพ่อจะออกไปทำงานแม่ก็ว่าพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมดูอาการไม่ดีขึ้นเลย พ่อก็ว่าเดี๋ยวก็หายน่ากินยาไป พอกลางวันอาการก็เหมือนเดิม แต่ที่แย่คือ ฟันของฉันที่เริ่มโยก แม่เล่าว่า แม่สังเกตุเห็นฟันฉันมันเหมือนเหบินออกมาผิดปกติ เอามือไปจับ ฟันทุกซี่โยกหมดเลย แม่ตกใจมาก โทรหาพ่อพ่อก็ว่าไม่เป็นอะไรมั้ง แต่ครั้งนี้แม่ไม่สนพ่อแล้ว แม่อุ้มฉันขึ้นรถไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า อาการที่เห็นคือฉันแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเหงือกบวม ฟันโยก พอพ่อกลับมาแม่เล่าให้ฟังพ่อจึงบอกว่า
"พ่อเห็นพยาบาลหน้าห้องที่คลีนิคตำยาใส่ขวดตอนที่เขาทำยาให้พลอย"
"แล้วทำไมเพิ่งมาบอก" แม่เสียงแข็ง "ถ้าทราบก็ไม่ให้ลูกทาน หรือพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว"
" แล้วป๊าก็ยังจะให้ลูกทานยาหมอนี่อีกนะ " แม่พูดอย่างโกรธๆ
การแพ้ยาครั้งนั้นได้เป็นบทเรียนที่เป็นข้อเตือนพ่อแม่ทุกคนแล้วว่าอย่ามักง่ายพาลูกไปหาหมอที่ไม่ใช่หมอเด็ก เพราะมันเสี่ยงต่อการที่ลูกคุณจะได้รับยาไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก
การอยู่ที่ร้านนี้ทำให้ฉันป่วยบ่อยมาก เพราะฝุ่นจากร้านขายของเก่าข้างๆ บางวันฉันมีอาการหอบวันละ6ครั้ง แม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกพาฉันไปโรงพยาบาล จากหน้าต่างธรรมดา ก็ต้องมีเทปใสติดตามช่องหน้าต่างทุกช่องที่แม่คิดว่าฝุ่นจะเข้าถึงลูกได้ ในห้องนอนของเราต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศถึง3เครื่องหนักๆเข้าคุณอาของฉันที่เป็นหมอเลยซื้อเครื่องพ่นยาแบบพกพาให้เพื่อความสะดวกไม่ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลวันละหลายๆครั้งชีวิตในห้องแถวช่วงนี้จึงไม่ได้สุขสบาย ส่วนพ่อฉันก็เริ่มการคิดหาการลงทุนอีก เพื่อจะได้มีเงินเข้ามาหากพ่อทำงานข้างนอกไม่ได้ ช่วงนี้พ่อเริ่มออกหาทำเลที่จะตั้งร้านอีก และเริ่มหาการลงทุนด้านอื่นๆ พ่อไม่มีเงินหรอกพ่อเองก็โดนศาลสั่งล้มละลายพ่อต้องไปหยิบยืมเงินจากอาหมอน้องชายมาลงทุน หลายๆคนไม่เห็นด้วยรวมทั้งแม่ แม่ไม่อยากให้พ่อถลำลึกลงไปอีก หรือทำอะไรเกินตัว
แต่พ่อก็พูดจนอาหมอรับปากจะให้ยืมเงินไปทำร้านวีดีโออีกแห่ง
ครั้งนั้นพ่อที่เริ่มมีอาการเดินขัดและนิ้วก็เริ่มกำของเล็กๆไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ขับรถเวียนไปมาเพื่อหาทำเลสำหรับร้านวีดีโอใหม่อีก
พอไปเจอทำเลแถวสามแยกที่ใกล้แมคโดนัล แต่พอไปถามใครๆตอนนั้นยังไม่ทราบใครเป็นเจ้าของบ้าน แต่ไปถามราคาเช่าร้านแถวๆนั้นก็ตกห้องละสามหมื่นห้า แต่พ่อก็ยังติดใจตึกแถวหลังนั้นอยู่ดี จึงพยายามถามไถ่หาเจ้าของตึกจนได้
ตึกแถวหลังนั้นเป้นห้องร้างสองห้องติดกัน มีห้าชั้น แต่ปิดร้างไว้นานมาก สอบถามว่า เมื่อก่อนเป็นโรงรับจำนำเก่า แต่ปิดไปแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเช่าต่ออีกเลย ปิดไว้เฉยๆ สอบถามไปมาก็ทราบว่าเจ้าของตึกก็คือคนๆเดียวกับเจ้าของตึกแถวในย่านๆนั้น ชื่ออาจารย์พยอมเป็นศาสตราจารย์ที่มหวิทยาลัยเดียวกับที่พ่อจบมา และบ้านอาจารย์ก็อยู่แถวๆนั้น พ่อจึงกลับมาหาแม่แล้วชวนแม่และพวกเราไปหาอาจารย์เข้าของห้องแถวสองห้องนั้นที่บ้าน
" ป๊าก็ไปเองสิอยากทำอะไรก็ไปเอง" แม่พูด
"น้องต้องไปด้วยสิ เวลาน้องติดต่ออะไร ดูมันราบรื่นดีทุกครั้ง" พ่อบอก
"เฮ้อ"แม่ฉันถอนหายใจ

แล้ววันรุ่งขึ้นพวกเรา ห้าคนก็เดินทางไปบ้านอาจารย์พยอม บ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้เก่าๆ อยู่ติดถนนใหญ่แถวๆสะพานสี่ เนื้อที่กว้างขวางมีบ้านไม้แบบสมัยเก่าอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสองหลัง รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆดูร่มรื่น ทั้งไม้ผลเช่น มะม่วง ชมพู ขนุน และไม้ดอกต้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง หอมไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นดอกปีปที่หล่นมาจากต้นสูงๆ หรือดอกมะลิที่เป็นพุ่ม ออกดอกขาวหอมไปทั่วบริเวณ จนฉันนึกชื่นชมที่เห็นบ้านไทยๆแบบโบราณแต่ดูอบอุ่น ท่านกลางใจกลางย่านชุมชนสะพานสี่แห่งนี้ไม่ได้
อาจารย์พยอมเป็นสตรีสูงวัย อายุประมาณหกสิบเศษๆ ร่างท้วมหน้าตาอ่อนโยน ผมสีเทาๆ พวกเราสามคนยกมือไหว้ท่านพร้อมๆกัน สร้างรอยยิ้มอ่อนโยนที่มองดูพวกเราทำให้เราสามคนรู้สึกชอบคุณยายคนนี้มากๆ คุณยายถามไถ่เรื่องที่พ่อกับแม่มาขอพบท่าน และเหลือบดูการเดินของพ่อเล็กน้อย พ่อฉันตอนนี้ถิอไม้เท้าแล้ว และเดินกระย่องกระแย่ง
"เราสนใจจะถามเรื่องการเช่าห้องแถวที่เป็นโรงรับจำนำเดิมที่สามแยกครับ" พ่อบอก

จากนั้นเมื่อพ่อกับแม่นั่งคุยธุระกับอาจารย์พวกเราก็เดินดูต้นไม้ วิ่งเล่น ดูปลากันสนุกสนาน ไม่นานคุณยายก็ถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำพาพวกเรามาที่ห้องแถวที่พ่ออยากเช่า ซึ่งอยู่ห่างไปแค่สามห้องตึกแถว
ในห้องแถวหลังนี้ ติดกันสองห้องเจาะทะลุกัน พอเปิดเข้าไป สภาพเหลือจะรับได้ สภาพห้องมีน้ำท่วมขังสูงประมาณหัวเข่าผู้ใหญ่ ในห้องมืดทึบมองภายในเป็นผนังโล่งๆ มีเค้าเตอร์แบ่งกั้นห้องไว้มีเหล็กดัดเหนือเคาเตอร์ คุณยายบอกว่า สภาพก็ยังเหมือนโรงรับจำนำเหมือนเดิม
" ที่นี่ไม่ได้ให้ใครเช่ามาสิบปีแล้ว และมีน้ำท่วมเวลาหน้าฝนนะ" คุณยายบอกพ่อ
"น้ำไฟถูกตัดไปหมดแล้วตั้งแต่คนเก่าย้ายไป" เสียงคุณยายเล่าต่อ
"ทำไมเขาย้ายไปล่ะครับ"พ่อถาม
"อยู่ๆเขาก็หายไปเลย ไม่บอกกล่าว ทะเบียนบ้านชื่อก็ยังคาอยู่"
พ่อกวาดตาไปทั่วห้องสีหน้าพ่อเหมือนคำนวณอะไรอยู่ ครุ่นคิด แต่พอใจ
แต่แม่น่ะ ดูแล้วก็เมินกับสภาพภายใน ที่สะดุดตาแม่ คงเป็น ห้องใหญ่ๆ ห้องหนี่ง ที่โดดเด่นอยู่หลังเค้าเตอร์ภายใน แล้วแม่ก็ชวนพวกเราเดินไปแมคโดนัลที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่นานพ่อก็เดินกลับมาจากการดูตึกแถวห้าชั้นนั้น
" พ่อจะเซ้งตึกหลังนั้นนะ มันถูกมากเลย ไม่ว่าจะค่าเซ้งและค่ารายเดือน" เสียงพอตื่นเต้นแววตาสุกใส
"อืม"แม่ตอบ
แม่ไม่สนใจอะไรมาก คงวางเฉย ให้พ่อหายืมเงิน เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะค้านอย่างไร พ่อก็ไม่ฟังแม่หรอก
ไม่นานเมื่อพ่อวางเงินคุณยายพยอมแล้ว พ่อก็ติดต่อให้ลุงหนวดช่างรับเหมาเพื่อนสนิทมาดูร้านเพื่อประเมินราคาปรับปรุงร้าน
การปรับปรุงร้านครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เพราะเป็นตึกห้าชั้นสองห้อง แถมต้องยกพื้นสูงกันน้ำท่วมขึ้นมาอีกประมาณบรรไดสี่ขั้น และที่สำคัญต้องทุบเคาเตอร์ที่กั้นรวมทั้งห้องขนาดใหญ่มหึมาที่หลังเคาเตอร์
ไม่นานลุงหนวดก็ส่งคนงานมาวิดน้ำที่ท่วมออก และติดต่อขอน้ำประปาและไฟฟ้า พอวิดน้ำแล้วพวกเราก็ไปที่ตึกนั้นอีกครั้ง ห้องขนาดใหญ่ที่ล็อคแน่นหนาใส่กุญแจมันยังติดตาแม่มาก
"ป๊า คนเช่าเก่าที่หายไป ไม่ใช่อยู่ในห้องนี้นะ ดูสิ ห้องทำไมมันผนังหนามากเลย" แม่กระซิบถามพ่อกลัวลุงหนวดได้ยิน
เสียงลุงหนวดสั่งงัดกุญแจห้องนั้น ซึ่งถูกปิดตายด้วยกุณแจและโซ่คล้องขนาดใหญ่มาก จนคีมตัดที่มีไม่สามารถตัดได้ ต้องหากันใหม่ ลุงหนวดเคาะๆผนังห้องนั้น แล้งบอกว่า ห้องนี้ผนังปูนหนาเป็นเมตร เล่นเอาแม่ยิ่งสงสัยหนัก
"เฮียหนวด ผนังนี่หนาเป็นเมตรเลยเหรอ" แม่ถามเสียงหวั่นๆ
" ไม่ใช่ทุบแล้วมีศพนะหรือผีดุ ตึกนี้เลยล้างมาสิบปี"
"อาจเป็นได้นะเนี่ย" ลุงหนวดพูดขำๆ ในใจคงนึกเหมือนแม่เหมือนกัน
" ไม่ลองไม่รู้ ต้องทุบดู" แล้วลุงหนวดก็สั่งช่างไปซื้อคีมอันใหม่มา แล้วเอาค้อนทุบผนัง เครื่องเจาะผนังมา เพราะมันหนามากเลยต้องมาทำต่อวันหลัง เนื่องจากคนงานทดลองใช้ดอกสว่านขนาดเจาะผนังธรรมดาไม่สะเทือนเลย เห็นว่านอกจากหนาแล้วยังเป็นคอนกรีตอีก เล่นเอาห้องปริศนายังคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเราอยู่...................
แม่กลับมาบ้าน ก็ลงมือวาดผัง ตามขนาดที่วัดมา แล้วออกแบบตำแหน่งวางชั้นวีดีโอ เคาเตอร์ จดรายการที่ต้องปรับปรุง คำนวณจำนวนชั้น และงบประมาณทั้งหมดแบบคร่าวๆ
แม่ไม่เห็นด้วยในการเปิดร้านนี้ แต่ก็อดที่จะช่วยพ่อไม่ได้อยู่ดี เพราะพ่อต้องไปทำงาน ไม่มีแม่คอยคิด คอยคุมงานพ่อจะทำอะไรได้ แม่ว่านิสัยพ่อบางทีทำอะไรเกินตัว คำนวณไปมาร้านนี้ค่าก่อสร้างและปรับปรุง รวมทั้งค่าอุปกรณ์และค่าลิขสิทธิ์ร้านวีดีโอ ค่าเซ้งร้าน ค่าเช่ารายเดือนล่วงหน้า รวมแล้วประมาณ สามสี่ล้านบาททีเดียว ไม่ใช่เงินน้อยๆ แม่มองจำนวนตัวเลขแล้วก็มีสีหน้าไม่สบายใจ จนฉันต้องเข้าไปถามว่า แม่เป็นไรไปคะ
"แม่ไม่ชอบเป็นหนี้เลย" เสียงแม่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แม่ฉันก็แบบนี้ ไม่ค่อยพูดหากไม่เหลืออดจริงๆ แต่หากแม่พูดเมื่อไหร่ แม่จะพูดตรงๆจึงดูเหมือนรุนแรงแต่แม่จะจริงใจในความรู้สึก และความคิดเห็นเสมอ แบบว่าไม่มีอ้อมค้อม บางครั้งเราจึงดูเหมือนว่า พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะความคิดเห็นของพ่อกับแม่ค่อนข้างต่างกันไกลมาก เช่น เรื่องการลงทุน
"ป๊าน่ะ ไม่เข็ดหรือไง ลงทุนหมดตัว ขาดทุนมาจะมีไรกินทำไมไม่เอากำไรมาขยายกิจการ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป นี่อะไรมีแต่หนี้ๆไม่ทันจะปลอดหนี้ก็หาทางสร้างหนี้อีกแล้ว"
" ลงทุนทั้งทีก็ต้องทุ่มให้สุดตัวสิ รู้ดีรู้ชั่วกันไปเลย ทำทำไมครึ่งๆกลางๆ"
" ไม่เอาด้วยคนหรอก คนเราต้องแบ่งไว้บ้างสิคิดไว้เลยว่าจะลงทุนเท่าไหร่ หากหมดก็หมดกันแค่นั้น ไม่ใช่เอาส่วนอื่นไปโปะแบบนี้เวลาขาดทุนก็ไม่จบสักทีลากอย่างอื่นไปด้วย เห็นไหมว่า มีบ้านอยู่ดีๆ ก็เอาไปจำนองธนาคารจนไม่มีบ้านอยู่ " แม่ย้อนให้
แม่จึงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับพ่อ และไม่เคยที่จะไปเซ็นค้ำการกู้ยืมเงินของพ่อเลย
แม่ว่า "แม่ไม่ชอบเป็นหนี้ครอบครัวแม่เป็นข้าราชการ สอนมาเสมอว่าชีวิตไม่มีหนี้ดีที่สุด มีน้อยใช้น้อย ทำมากรวยมากก็ตายเอาไปไม่ได้ ทำงานจนพักผ่อนไม่พอ จนป่วยแบบพ่อ ถามหน่อยเถอะมีความสุขหรือไง"
แต่แม่ก็มักกลุ้มใจเสมอที่ เวลามีปัญหามา แม่เอาเงินพี่แป้นเพื่อนสนิทมา แต่ไม่มีปัญญาใช้คืนเลยสักครั้งเดียว เพราะลำพังเงินที่หามาได้ ก็แทบไม่พออยู่แล้ว หากมีเหตุเช่น รถเสีย ลูกป่วย แม่ก็จะแย่มากมาย ไม่มีเงินพอค่าเล่าเรียนของลูก ยิ่งพ่อที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยธนาคารเดือนละเก้าหมื่นกว่าทำให้เงินกำไรที่ได้มาไม่หลือเลย จ่ายดอกเบี้ย ค่าเช่าบ้าน ค่าลิขสิทธิ์ ค่าพนักงานหมดทุกๆเดือน ไม่เคยพอเลยแม่เอาเงินที่อดออมมาออกมาใช้ จนหมดเกลี้ยง .........................................

แม่ชอบดำรงค์ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเรื่องใครแม้แต่พ่อ แม่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบริษัทที่พ่อทำงานแต่ละที่มีอะไรบ้างอยู่ที่ไหนบ้าง ชีวิตแม่ที่ฉันเห็นสนใจอย่างเดียวคือ ลูกๆ เหมือนแม่ลืมอยู่เพื่อตัวเองมานานแล้ว...........

ไม่นานร้านวีดีโอใหม่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และห้องลึกลับก็ไม่มีศพอยู่แต่อย่างใด
ร้านใหม่นี้ พ่อให้ชื่อร้านว่า "ร้านเยี่ยมวีดีโอ"