14/5/52

ตอนที่ 3 : ไปหาหมอด้านสมอง




คราวนี้ พวกเราย้ายแผนกกันซะแล้ว หมอคนใหม่ มือหนึ่งของโรงพยาบาลที่หมอคนเดิมฝากฝังมา
เป็นคุณหมออาวุโสท่านหนึ่ง ประสบการณ์คงมากโข เท่าที่ทราบ ท่านเป็นหมอมีชื่อของโรงบาลรัฐบาล
ที่เชี่ยวชาญด้านสมองมาช้านาน
พ่อก็เข้าไปแล้วเล่าอาการซ้ำๆแบบเดิมเหมือนทุกๆครั้ง จนพวกเราจำขึ้นใจแล้ว
คราวนี้หมอคนใหม่บอกว่า "ผมขอ MRI หน่อยนะครับ"
และใบสั่งMRI ก็เปลี่ยนจากกระดูกไขสันหลัง ไปเป็นที่สมองแทน อีกแล้วกับห้าหมื่นกว่า กับความอยากรู้
เงินตราคงไม่สำคัญเท่ากับอาการของพ่อ เพราะทุกคนอยากให้พ่อหาย
จากการMRI และรอคอยผล และก็มาถึงการวินิจฉัย
" หมอไม่พบความปกติด้านสมองนะครับ คงต้องรอให้อาการชัดกว่านี้ " หมออธิบายอะไรอีกมากมายยืดยาว
สรุปคือ อาการของโรคบางครั้งมันคล้ายๆกัน หากตรวจไม่พบในตอนนี้เราก็ต้องรอ เพราะผู้ป่วยไม่สามารถบ่งบอกได้ว่า เจ็บปวดตรงไหนเลย และตรวจอย่างละเอียดก็ปกติดีทุกอย่าง
จากนั้นหมอก็ให้พ่อกลับบ้านได้ ไม่มีแม้ยา เหมือนพ่อไม่ได้เป็นอะไรเลย
ความหวังของพ่อกับแม่หมดลง
ไม่มีเสียงใดใด จนถึงบ้าน
พ่อและพวกเรายังคงใช้ชีวิตตามปกติ พ่อยังคงไปทำงานกลับดึกๆเช่นเดิม
แม่ยังคงพยายามเสาะแสวงหาหมอดีๆโดยถามไถ่จากผู้คนมากมายเช่นเดิม
พ่อเริ่มใช้ไม้เท้า เพราะเดินขัดขึ้น ล้มบ่อยขึ้น และจากขาซ้าย ก็เริ่มลามมาที่มือขวา
วันที่รู้ก็คือ
"โครม" เสียงช้อนตก กลางวงที่ทานข้าวในวันหยุดวันหนึ่ง
"มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าป๊า" แม่ถาม
"มือมันไม่มีแรง" พ่อบอก
แม่มาดูตามมือ ตามแขนพ่อ แล้วก็บอกว่า "อุปทานหรือเปล่าไม่รู้นะ เหมือนกล้ามเนื้อที่แขนมันลีบไป"
แม่ก็แนะว่า "เปลี่ยนหมอนะ หาหมอคนใหม่ คราวนี้เราไม่ต้องบอกว่าหมอคนเดิมวินิจฉัยอะไร เผื่อว่าจะมีอะไรใหม่" แม่ตัดสินใจ และบอกว่าให้ไปหาหมอคนไหน พร้อมรายชื่อหมอดัง โรงพยาบาลที่สังกัด เวลาที่เข้าตรวจ เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ อย่างพร้อมมูล และให้พ่อเลือกเอา แม่มีแม้กระทั้งชื่อหมอที่ใครๆว่าเป็นหมอเทวดา ผ่าใครก็หายทุกรายไป หรือแม้แต่หมอของสมเด็จฯ ที่รับใช้เจ้านายเบื้องบนทีเดียว แต่ละท่านล้วนมีชื่อเสียง

แล้วรายการเยี่ยมเยียนหมอก็เกิดขึ้น...................
หมอคนใหม่ มีคนไข้รอแถวยาวเหยียด รับรองดีกรีความมีชื่อเสียง จากการสอบถามจากคนที่รอหน้าห้อง
ล้วนพูดว่า หมอคนนี้เก่ง ผ่าคนไหนหาย เขารักษามาตั้งหลายที่ มาหายกับหมอคนนี้
ทำเอาพ่อกับแม่ฉันเริ่มยิ้มออกมาบ้าง
ถึงคิวของพ่อ......
หมอคนนี้ ไม่แก่มาก อายุประมาณ สี่สิบได้ ดูสุขุมน่าเชื่อถือ สมคำเล่าลือ หมอถามอาการอย่างละอียด ระยะเวลาในการเป็นแต่ละขั้น ถามและตรวจพ่อเป็นชั่วโมง มากกว่าหมอท่านใด แต่สุดท้ายคือ
"ผมขอ MRI หน่อยนะ " หมอบอกเป็นอย่างสุดท้าย
เราถูกส่งไปที่ศูนย์ MRI ที่ รามาฯ ที่นี่มีเครื่องมือที่ทันสมัยกว่า เพราะสั่งซื้อมาล่าสุดแต่ราคาถูกกว่าที่โรงพยาบาลเอกชนมาก เพราะเป็นของรัฐบาล แค่สองหมื่นกว่า แต่เราต้องเสียMRI สองจุด ทั้งที่กระดูกสันหลังส่วนบนและส่วนล่าง แต่ต้องรอจองคิว เราได้คิวอีกสามวันข้างหน้าตอนตีสาม แต่พวกเราทั้งห้าก็ไปไหนด้วยกันเสมอ เราห้าคนไปนอนรอจนหลับในห้องเด็ก รอตีสามที่พ่อจะไป MRI
พ่อดูกังวล แต่แม่กลับสนุกสนานในการสำรวจห้องต่างๆ และการทำงานของเครื่อง MRI แม่ไปดูหน้าจอตอนเขาทำให้คนอื่น ถามโน่นนี่ และมองมันทำงาน แม่พยายามทำให้พ่อเห็นว่า พวกเราไม่ได้ทุกข์อะไรในการหอบมาคอยพ่อตามโรงพาบาล เพราะเรามีกันห้าคน แม่มาพวกเราก็ต้องมา เพราะไม่มีใครดูแลเรา น้องๆหลับหมดแล้ว แม่ยังคงทรหดกัการรื้อหนังสือมาอ่าน กับการดูหน้าอเครื่อง MRI และฟังเจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นตามหน้าจอ
ตีสามแล้ว .....ถึงเวลาที่พ่อต้องเข้า MRI คราวนี้มีปัญหามาก การแสกนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง
คราวนี้ เจ้าหน้าที่มาบอกว่า พ่อไม่สามารถ MRI ได้ เพราะกรน จนร่างกายเคลื่อนที่ (ก็พ่อของฉันกรนขนาดเสียงมอเตอร์ไซด์เร่งเครื่องยังไงยังงั้นเลย) ต้องขอให้ยาสลบ ไม่เช่นนั้น MRI ไม่ได้
การให้ยา ทำให้พ่อต้องตรวจร่างกายเพิ่ม และใช้วิสัญญีแพทย์ ซึ่งพ่อต้องแอดมิดนอนที่โรงพยาบาลก่อน
แล้วรอผลการตรวจก่อนวางยา พวกเราเลยต้องย้ายไปนอนที่ห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลแทน คนไข้หนึ่งคน แต่ญาติผู้ป่วย สี่คน ที่จริงคงผิดกฎของโรงพยาบาล แต่แม่ก็ออกตัวไปว่า เรามีกันแค่นี้ ไม่มีใครดูแลเด็กๆ มาด้วยกันไปด้วยกันค่ะ ทางโรงพยาบาลคงเห็นใจ พูดไม่ออกเพราะพวกเราก็เด็กๆกันทั้งนั้น
ชีวิตของพวกเรา เลยกินนอนตามโรงพยาบาลนับแต่วันนั้น.....................




ตอนที่ 2: เมื่อขาพ่อเริ่มกระตุก




หกเดือนแล้วที่บ้านฉันมุ่งหาสาเหตุอาการล้มของพ่อ บ้างก็เถียงกันว่า วิธีการเดินของพ่อนั่นแหละผิด

"ใครเขาเดินเอาส้นเท้าลง เดี๋ยวก็กระดูกเข่าเสื่อมหรอก ต้องเอาปลายเท้าลงก่อนสิ จะได้รู้จักผ่อนน้ำหนัก"

เสียงแม่ร้องเตือนพ่อเป็นประจำทุกวัน

แม่ดูเป็นห่วงอาการของพ่อ รบเร้าให้ไปหาหมอคนใหม่ คราวนี้ได้หมอที่เคยเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯ จบจากเยอรมัน

ไปถึงร้านหมอ หมอถามอาการแล้วก็บอกว่า

"คุณต้องกายภาพนะ เพราะกระดูกทับเส้น ต้องมาดึงกระดูกทุกวันเสาร์และพุธ" คุณหมอนัด

จากนั้น ทุกๆวันพุธและวันเสาร์เราก็ไปที่คลีนิคหมอกัน

คุณหมอท่านนี้เคยรักษาคุณยายที่เคยกระดูกหักสามท่อน ให้เดินเป็นปกติ

รักษาเพื่อนคุณพ่อฉันที่ขับรถตกสะพาน แล้วคอขยับเขยื่อนไม่ได้ โดยไม่ต้องตัดกระดูกคอทิ้งหนึ่งข้อตามที่หมอบางท่านบอก ให้หายได้ ดีกรีนั้นยาวเหยียด เรียกว่า เราค้นหาสุดยอดหมอที่ดีที่สุดให้พ่อเลยทีเดียว

จากการถามคนรอบตัว ความหวังอันเต็มเปี่ยมของแม่ ที่จะให้พ่อหายได้

คลีนิคหมอมีเครื่องมือมากมาย มีคนไข้มาดึงส่วนต่างๆ ส่วนใหญ่เพราะเป็นโรคกระดูกทับเส้น

วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องผ่าตัด พวกเราเข้าไปนั่งดูเครื่องโน้นนี้ จนรู้จักคุณป้า คุณยาย และอีกหลายๆคนไปทั้งห้อง

ทุกคนแลกเปลี่ยนเรื่องโรค อาการของตนกันอย่างครื้นเครง และพูดเรื่องหมอคนโน้นนี้กันมากมาย

ดูๆก็เป็นสังคมที่เอื้ออาทรต่อกัน

พ่อของฉันทำอยู่หกเดือนเต็ม แต่อาการของพ่อก็ไม่ดีขึ้นเลย พ่อหยุดไป แม่ก็บอกว่า "กายภาพมันต้องใช้เวลานะ บางคนเป็นปีๆ นี่หกเดือนจะหยุดซะแล้ว" เสียงแม่คงบ่นพ่อต่อไป

พ่อดูท้อถอย และบอกกับแม่ว่า "เฮียว่าอาการมันทรุดลง" พ่อบอก

"ทรุดลงยังไง" แม่หยุดบ่นและถามด้วยความห่วงใย

"รู้สึกว่าขามันอ่อนลง" พ่อพูดเสียงอ่อนๆ "หมอคงวินิจฉัยผิด"

"หมอคนนี้เขาเก่งนะ ใครๆก็หายมามาก ไม่ลองดูอีกสักพักหรือป๊า" แม่ถาม

"คงไม่แล้ว" พ่อบอก

"งั้นก็เปลี่ยนหมอ" แม่ตัดสินใจ

แล้วแม่ก็เริ่มมหกรรม ถามๆๆ อีกครั้งหนึ่ง

ค่ำนั้นพ่อฟังสารคดีของโมฮาหมัด อาลี เขาเป็นโรคพากิมสัน

"น้อง เฮียอาจเป็นโรคพากิมสันนะ "พ่อบอกแม่ พ่อฉันมักเรียกแม่ว่าน้องเสมอและใช้แทนตัวเองว่าเฮีย

"เฮียว่า อาการมันเหมือนๆกัน ตอนนี้ขาเริ่มมีกระตุกๆ." พ่อลงความเห็น

"งั้นพรุ่งนี้ไปถามหมอ เปลี่ยนหมอแล้วกัน ลองดู" แม่แนะนำ

วันรุ่งขึ้น พวกเราก็พาพ่อไปหาหมอที่ใหม่

คราวนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของเมืองไทย แพงลิบ แต่ได้ชื่อว่ารวมหมอเก่งๆไว้

หมอคนใหม่ ให้เราไป MRI เป็นเครื่องใหญ่ๆ ที่ไว้ตรวจข้างในร่างกายคนเราโดยใช้คลื่นแม่เหล้กไฟฟ้า

ดูว่า มีกระดูกทับเส้น หรือเนื้องอกมาทับเส้นประสาทอะไรหรือเปล่า ค่าตรวจ ครั้งละห้าหมื่นกว่าทีเดียว

ถ้ารู้สาเหตุคงเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับเงินขนาดนี้

การ MRI จะมีเครื่องมือใหญ่ๆ ให้คนเข้าไปได้ คนป่วยต้องนอนเฉยๆไม่กระดุกกระดิก

แล้วเครื่องก็จะแสกนทุกมุม ครั้งแรกหมอสั่งให้แสกนกระดูกส่วนบนตั้งแต่คอลงมา

การแสกนมีสองแบบ แบบฉีดสีกับไม่ฉีดสี ฉีดสีจะทำให้เห็นชัดเจนขึ้น แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย

ด้วยความอยากรู้แน่ชัด พ่อเลยเลือกแบบฉีดสี และการรอคอยผลการตรวจ MRI ก็เริ่มขึ้น แม่ก็เริ่มหาข้อมูลจากคนไข้ที่มารอตรวจ บางรายก็ว่า เมื่อก่อนเขาก็เป็นแบบพ่อ หาสาเหตุไม่เจอ พอดีไปอัลตร้าซาวที่สมอง

เลยพบว่าเส้นประสาทที่สมองมันสปาร์ก เหมือนซ็อต เลยสั่งการไม่ดี ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว เดินได้แล้ว แม่เก็บข้อมูล ถามถึงหมอที่เก่งทางนี้ คนไข้บ้าง ญาติคนไข้บ้าง ก็แนะนำหมอจากโรงพยาบาลโน้นนี้กันไปตามเรื่อง ต่างก็แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน

เสียงพยาบาลเรียกพ่อเข้าไปพบ

"หมอไม่พบความผิดปกติใดใดจากการMRI นะครับ" หมอบอกพ่อกับแม่

"หมอครับ ผมน่ะเป็นโรคพากิมสันหรือเปล่า ผมเริ่มมีอาการกระตุกๆนิดๆนะครับ"พ่อพูดกับหมอ

หมอเลยบอก ให้พ่อไปนั่งที่ขอบเตียงตรวจ แล้วก็เคาะๆ จากนั้นก็เอาเข็มไปจิ้มๆ แล้วถามพ่อว่าเจ็บไหม

ทุกๆอย่าง พ่อรับรู้ตามปกติ พ่อเจ็บ และตอบสนองอย่างที่คนปกติควรจะเป็นทุกอย่าง

สรุปคือ พ่อไม่ได้เป็นพากิมสันและไม่มีอาการบ่งชี้ของโรคอัมพาต

"ส่งคุณ.......ไปหาหมอด้านสมองนะ" นี่คือคำวินิจฉัยของหมอ

จากหมอกระดูก สู่หมอด้านสมอง..............................