29/3/53

ตอนที่ 10: ชีวิตบนตึกแถว



วันแรกของชีวิตบนชั้นสองของร้านวีดีโอ
พวกเรา5คนพ่อแม่ ฉัน และน้องชาย อยู่ร่วมกันบนห้องในชั้นสองของร้านวีดีโอ
ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดประมาณ24ตารางวาได้ ห้องก็กว้างขวางพอควร
พื้นเป็นหินอ่อนสี่ขาว ในห้องมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบเล็กๆและฟูกขนาด7ฟุต1อัน โต๊ะทำงานคอมพิวเตอร์อีก1ตัว
แค่นั้น มีผ้าม่านหนึ่งผืนที่แบ่งกั้นห้องระหว่างส่วนนอนกับส่วนทำงานของแม่
แค่นั้น..............
ในชั้นเดียวกันมีห้องน้ำและส่วนของครัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ไม่มีบรรยากาศของบ้านเหมือนเคย.....แต่ยังดีที่ ยังมี "เรา"
ครอบครัวของเรา พ่อแม่และน้องอีกสองคน
ที่สาธุฯนี่ไม่ไกลจากโรงเรียนเรามากนักเพราะโรงเรียนของเราอยู่คลองเตยไปมาก็ค่อนข้างสะดวกร้านใกล้ตลาดมีอาหารเยอะแยะ ที่จริงพวกเราก็ไปๆมาๆเสมอแค่เพียงไม่เคยคิดว่าต้องมาอยู่อย่างถาวรเพราะไม่มีบ้านอีกแล้ว
ช่วงแรกแม่ติดต่อรถรับส่งให้มารับที่ร้านตอนเช้า แต่รถรับส่งมารับตั้งแต่ตีห้าและน้องชายฉันก็เพิ่งอยู่อนุบาล
ไม่นานแม่ก็ทนไม่ไหวต้องไปรับส่งลูกเองเพราะสงสารลูกที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาแต่งตัวคอยรถตั้งแต่ตีห้า
ตอนเช้าแม่จึงไปส่งฉันกับน้องชายทุกเช้าและหอบพ่วงน้องเล็กตามไปด้วยทุกๆวัน
อาหารเช้าที่โรงเรียนเหมือนเคย....ก่อนจะกลับมาดูร้านเปิดร้านตอนเช้า ถ้าแม่กลับช้าบางทีลูกน้องก็มักตื่นสายไม่เปิดร้านแต่เช้า พวกเราจะตื่นตีห้าหรือตีห้าครึ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จประมาณ6โมงเช้า แล้วก็นั่งแท๊กซี่ไปโรงเรียน แม่คงนั่งรถเมลืไม่ได้หรอก มีมือแค่สองมือต้องจูงลูกขึ้นรถเมล์สามคนคงทำไม่ได้แน่ เพราะรถเมล์บ้านเราใช่ว่าจะดีนัก เคยมีครั้งหนึ่งด้วยซ้ำที่ฉันขึ้นรถปุ๊บรถเมล์ออกรถไป แม่ยังไม่ทันขึ้น แม่ต้องจูงน้องวิ่งตามรถเมล์แม่แทบขาดใจพอรถจอดแม่ไม่ยอมขึ้นแต่อุ้มฉันลงจากรถเพราะตอนนั้นฉันก็แค่สี่ขวบ
แม่โอบกอดฉันไว้อย่างตกใจที่สุด ตั้งแต่ครั้งนั้นแม่ไม่ยอมพาพวกเราขึ้นรถเมล์อีกเลยแม่ว่าตราบใดที่แม่ไม่ได้มีสามมือพอที่จะจูงลูกได้สามคน แม่จะประหยัดด้านอื่นเพื่อให้ฉันได้ขึ้นรถแท๊กซี่ไปโรงเรียน
น้องเล็กน้องของฉันจึงถูกเลี้ยงมาในร้านวีดีโอมากกว่าในบ้าน
น้องเล็กจึงน่าสงสารที่สุด เกิดมาช่วงพ่อแม่ลำบากแล้ว จึงไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือมีเสื้อผ้าสวยๆใส่เหมือนฉันกับน้องชายเมื่อก่อน เสื้อผ้าของน้องเล็กส่วนใหญ่ก็ซื้อตามตลาดแถวๆร้าน ที่แม่จะพยายามเลือกที่ดูดีหน่อยแม้ไม่ใช่เสื้อผ้าในห้างแต่แม่ฉันก็จะเลือกที่ดูดี น่ารักๆน้องของฉันผิวขาวแม้ไม่สวยแต่ก็เกลี้ยงๆแต่งอะไรก็น่ารักแถมฉลาดมากๆ น้องเป็นคนช่างสังเกตุจะคอยสังเกตุว่าใครเก็บอะไรไว้ตรงไหนหากหาไม่เจอนะคะถามน้องเล็กจะตอบได้หมด น้องเล็กจะมีที่นอนหลังเค้าเตอร์ด้านล่างที่แม่นั่ง เวลาเฝ้าหน้าร้านที่น่าขำคือขนาดแม่เลี้ยงลูกหน้าร้านก็ยังมีลูกค้าตาถั่วไม่รู้ว่าแม่เป็นภรรยาเจ้าของร้านคิดว่าเป็นลูกสาวและนั่งเลี้ยงน้องมีคนบอกป๊าว่า"เฮียนี่โชคดีมีลูกทันใช้ " แถมยืนจีบแม่ซะอีก
เรื่องขำๆของลูกขาคนที่ขี้ม้อก็มีอยู่ว่า วันหนึ่งลูกค้าขี้ม้อที่ยืนจีบแม่บ่อยๆก็เข้ามายืนคุยเล่นเหมือนเคย
วันหนึ่งก็มีลูกค้าที่เป็นเด็กวัยรุ่นมาสะกิดแม่บอกว่า
" พี่ๆลูกค้าคนที่พี่คุยอยู่เนี่ยเขาไม่ได้รูดซิบกางเกง พี่บอกเขาหน่อยสิ"
" ไม่กล้าบอกหรอก น้องบอกสิ" แม่ว่า
แล้วพี่วัยรุ่นคนนั้นก็ชำเลืองไปมองแล้วทำตายิ้มๆใส่ลูกค้าชายคนนั้น
พอลูกค้าชายเห็นคนทำท่าซุบซิบแล้วมองมาที่ตน ก็ถามว่า
"นินทาไรผมครับ"
"พี่ไม่ได้รูดซิบกางเกงน่ะ"พี่วัยรุ่นบอกทันควัน
แต่ที่ฉันเห็นพี่ผู้ชายไม่ได้เขินสักนิดเลย ก้มไปดูแล้วบอกว่าจริงด้วยแล้วก็รูดซิบพร้อมหัวเราะพูดว่า
"แหมมันคงอึดอัดอยากมาหายใจ" ทำเอาแม่และพี่วัยรุ่นและพนักงานสาวๆคนอื่นเขินแทน
........................
มาว่ารื่องน้องเล็กกันต่อ
"น้องเล็ก" เป็นน้องที่ตั้งแต่เกิดก็มีชีวิตในร้านวีดีโอ น้องเล็กต้องชื่อว่า "น้องเล็ก" เพราะไม่มีใครตั้งให้ เลยเรียกกันว่าน้องเล็กเรื่อยมาจนโต ส่วนชื่อจริงของน้องเล็กก็ยังแปลได้ ว่าชื่อน้องคนสุดท้องอีกคิดๆแล้วก็น่าสงสารที่ภาระหน้าที่ และเศรษฐกิจในครอบครัวทำให้พ่อแม่ทำเหมือนละเลยน้องคนสุดท้องไป
น้องเล็กไม่ได้เรียนเนสเซอรี่หรือเรียนเตรียมความพร้อมเหมือนพวกเราแต่เข้าอนุบาลหนึ่งเลยเหตุผลเพราะแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน
น้องเล็กมักถูกดูแลโดยลูกจ้างที่ร้านในตอนแรก เพราะภาระหนักอึ้งของแม่และพ่อจนกระทั้งวันหนึ่งที่แม่เห็นเหาที่หัวน้องเล็กทั้งๆที่น้องเล็กวัยแค่สามเดือน พี่เลี้ยงที่มาเลี้ยงน้องเล็กมาจากต่างจังหวัดมาทำงานที่ร้านและไม่สะอาด หัวพวกเขาก็มีเหาเสมอแม่เล่าว่า ตอนที่แม่เห็นแมลงอะไรไม่รู้อยู่บนหัวน้องเล็กแม่ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคือ"เหา"เพราะแม่ไม่เคยเป็นพอทราบว่าเป็นเหา แม่ต้องเรียกพนักงานทั้งหมดมาสำรวจเหาและจัดการใส่ยาฆ่าเหาให้หัวพนักงาน แม่บอกว่ารู้สึกแย่มากที่มีตัวเหามาขึ้นหัวลูกวัยสามเดือนได้ ตั้งแต่นั้นมาน้องเล็กก็มานอนรวมกับพวกเราในห้องชั้นสองและแม่ดูแลเอง แม่บอกว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่แม่กอดน้องเล็กและแปลกที่เหมือนน้องเล็กจะรู้ว่านี่คือแม่ พอแม่อุ้มก็จับมือแม่ไว้และพอแม่จะวางก็ร้องไห้เสียงดังจนแม่ตัดสินใจเลี้ยงน้องเล็กเอง แม่ว่าน้องเล็กเลี้ยงง่ายไม่เหมือนฉันและน้องเยี่ยม พอโตขึ้นหน่อยน้องเล็กก็ไม่ทานข้าวบด แต่ทานข้าวเหมือนพวกเราเลย ไม่ยอมให้ป้อนแต่จะทานเอง โดยยิ้มอาหารเข้าปากเลย แม่ก็ปล่อย วางอาหารไว้ให้บนโต๊ะเด็กจะเปื้อนจะเลอะก็ไม่ว่าและสอนให้ใช้ช้อนตักเข้าบ้างไม่เข้าบ้างหกบ้างแม่ก็ไม่ว่า พอน้องเล็กเดินได้ น้องเล็กก็เดินไปนั่งกระโถนฉี่เองเลียนแบบพี่ๆ ไม่ฉี่เปื้อนเลยน้องเล็กชอบไปโรงเรียนส่งพี่ๆ แถมเปิดปิดวีดีโอทีวีเป็นตั้งแต่เล็กๆและชอบดูวีดีโอ"กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม" วนไปวงมาไม่รู้กี่รอบ
ตอนที่เราอยู่ที่สาธุฯพ่อยังคงต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงานน้ำตาลที่กาญจนบุรีอยู่ แม้การเดินของพ่อจะไม่สะดวกช่วงนั้นฉันจำเหตุการณ์ได้ครั้งหนึ่งฉันอาเจียรไม่หยุดแม้จะทานยาแล้วที่จริงฉันไม่สบายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พ่อไม่ได้พาไปโรงพยาบาลแต่ให้แม่พาไปร้านหมอใกล้ๆ หมอไม่ใช่หมอเด็ก เป็นหมอผู้ใหญ่ทั่วๆไป พอตรวจเสร็จก็จ่ายยาให้ ฉันก็กลับบ้านแล้วแม่ก็ป้อนยาตามปกติแต่ก็อาเจียรตลอด ตกเช้าก็ยังเป็นแบบเดิมก่อนพ่อจะออกไปทำงานแม่ก็ว่าพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมดูอาการไม่ดีขึ้นเลย พ่อก็ว่าเดี๋ยวก็หายน่ากินยาไป พอกลางวันอาการก็เหมือนเดิม แต่ที่แย่คือ ฟันของฉันที่เริ่มโยก แม่เล่าว่า แม่สังเกตุเห็นฟันฉันมันเหมือนเหบินออกมาผิดปกติ เอามือไปจับ ฟันทุกซี่โยกหมดเลย แม่ตกใจมาก โทรหาพ่อพ่อก็ว่าไม่เป็นอะไรมั้ง แต่ครั้งนี้แม่ไม่สนพ่อแล้ว แม่อุ้มฉันขึ้นรถไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า อาการที่เห็นคือฉันแพ้ยาอย่างรุนแรง จนเหงือกบวม ฟันโยก พอพ่อกลับมาแม่เล่าให้ฟังพ่อจึงบอกว่า
"พ่อเห็นพยาบาลหน้าห้องที่คลีนิคตำยาใส่ขวดตอนที่เขาทำยาให้พลอย"
"แล้วทำไมเพิ่งมาบอก" แม่เสียงแข็ง "ถ้าทราบก็ไม่ให้ลูกทาน หรือพาไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว"
" แล้วป๊าก็ยังจะให้ลูกทานยาหมอนี่อีกนะ " แม่พูดอย่างโกรธๆ
การแพ้ยาครั้งนั้นได้เป็นบทเรียนที่เป็นข้อเตือนพ่อแม่ทุกคนแล้วว่าอย่ามักง่ายพาลูกไปหาหมอที่ไม่ใช่หมอเด็ก เพราะมันเสี่ยงต่อการที่ลูกคุณจะได้รับยาไม่เหมาะสมกับเด็กเล็ก
การอยู่ที่ร้านนี้ทำให้ฉันป่วยบ่อยมาก เพราะฝุ่นจากร้านขายของเก่าข้างๆ บางวันฉันมีอาการหอบวันละ6ครั้ง แม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออกพาฉันไปโรงพยาบาล จากหน้าต่างธรรมดา ก็ต้องมีเทปใสติดตามช่องหน้าต่างทุกช่องที่แม่คิดว่าฝุ่นจะเข้าถึงลูกได้ ในห้องนอนของเราต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศถึง3เครื่องหนักๆเข้าคุณอาของฉันที่เป็นหมอเลยซื้อเครื่องพ่นยาแบบพกพาให้เพื่อความสะดวกไม่ต้องวิ่งไปโรงพยาบาลวันละหลายๆครั้งชีวิตในห้องแถวช่วงนี้จึงไม่ได้สุขสบาย ส่วนพ่อฉันก็เริ่มการคิดหาการลงทุนอีก เพื่อจะได้มีเงินเข้ามาหากพ่อทำงานข้างนอกไม่ได้ ช่วงนี้พ่อเริ่มออกหาทำเลที่จะตั้งร้านอีก และเริ่มหาการลงทุนด้านอื่นๆ พ่อไม่มีเงินหรอกพ่อเองก็โดนศาลสั่งล้มละลายพ่อต้องไปหยิบยืมเงินจากอาหมอน้องชายมาลงทุน หลายๆคนไม่เห็นด้วยรวมทั้งแม่ แม่ไม่อยากให้พ่อถลำลึกลงไปอีก หรือทำอะไรเกินตัว
แต่พ่อก็พูดจนอาหมอรับปากจะให้ยืมเงินไปทำร้านวีดีโออีกแห่ง
ครั้งนั้นพ่อที่เริ่มมีอาการเดินขัดและนิ้วก็เริ่มกำของเล็กๆไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์ขับรถเวียนไปมาเพื่อหาทำเลสำหรับร้านวีดีโอใหม่อีก
พอไปเจอทำเลแถวสามแยกที่ใกล้แมคโดนัล แต่พอไปถามใครๆตอนนั้นยังไม่ทราบใครเป็นเจ้าของบ้าน แต่ไปถามราคาเช่าร้านแถวๆนั้นก็ตกห้องละสามหมื่นห้า แต่พ่อก็ยังติดใจตึกแถวหลังนั้นอยู่ดี จึงพยายามถามไถ่หาเจ้าของตึกจนได้
ตึกแถวหลังนั้นเป้นห้องร้างสองห้องติดกัน มีห้าชั้น แต่ปิดร้างไว้นานมาก สอบถามว่า เมื่อก่อนเป็นโรงรับจำนำเก่า แต่ปิดไปแล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาเช่าต่ออีกเลย ปิดไว้เฉยๆ สอบถามไปมาก็ทราบว่าเจ้าของตึกก็คือคนๆเดียวกับเจ้าของตึกแถวในย่านๆนั้น ชื่ออาจารย์พยอมเป็นศาสตราจารย์ที่มหวิทยาลัยเดียวกับที่พ่อจบมา และบ้านอาจารย์ก็อยู่แถวๆนั้น พ่อจึงกลับมาหาแม่แล้วชวนแม่และพวกเราไปหาอาจารย์เข้าของห้องแถวสองห้องนั้นที่บ้าน
" ป๊าก็ไปเองสิอยากทำอะไรก็ไปเอง" แม่พูด
"น้องต้องไปด้วยสิ เวลาน้องติดต่ออะไร ดูมันราบรื่นดีทุกครั้ง" พ่อบอก
"เฮ้อ"แม่ฉันถอนหายใจ

แล้ววันรุ่งขึ้นพวกเรา ห้าคนก็เดินทางไปบ้านอาจารย์พยอม บ้านอาจารย์เป็นบ้านไม้เก่าๆ อยู่ติดถนนใหญ่แถวๆสะพานสี่ เนื้อที่กว้างขวางมีบ้านไม้แบบสมัยเก่าอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสองหลัง รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ๆดูร่มรื่น ทั้งไม้ผลเช่น มะม่วง ชมพู ขนุน และไม้ดอกต้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง หอมไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นดอกปีปที่หล่นมาจากต้นสูงๆ หรือดอกมะลิที่เป็นพุ่ม ออกดอกขาวหอมไปทั่วบริเวณ จนฉันนึกชื่นชมที่เห็นบ้านไทยๆแบบโบราณแต่ดูอบอุ่น ท่านกลางใจกลางย่านชุมชนสะพานสี่แห่งนี้ไม่ได้
อาจารย์พยอมเป็นสตรีสูงวัย อายุประมาณหกสิบเศษๆ ร่างท้วมหน้าตาอ่อนโยน ผมสีเทาๆ พวกเราสามคนยกมือไหว้ท่านพร้อมๆกัน สร้างรอยยิ้มอ่อนโยนที่มองดูพวกเราทำให้เราสามคนรู้สึกชอบคุณยายคนนี้มากๆ คุณยายถามไถ่เรื่องที่พ่อกับแม่มาขอพบท่าน และเหลือบดูการเดินของพ่อเล็กน้อย พ่อฉันตอนนี้ถิอไม้เท้าแล้ว และเดินกระย่องกระแย่ง
"เราสนใจจะถามเรื่องการเช่าห้องแถวที่เป็นโรงรับจำนำเดิมที่สามแยกครับ" พ่อบอก

จากนั้นเมื่อพ่อกับแม่นั่งคุยธุระกับอาจารย์พวกเราก็เดินดูต้นไม้ วิ่งเล่น ดูปลากันสนุกสนาน ไม่นานคุณยายก็ถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำพาพวกเรามาที่ห้องแถวที่พ่ออยากเช่า ซึ่งอยู่ห่างไปแค่สามห้องตึกแถว
ในห้องแถวหลังนี้ ติดกันสองห้องเจาะทะลุกัน พอเปิดเข้าไป สภาพเหลือจะรับได้ สภาพห้องมีน้ำท่วมขังสูงประมาณหัวเข่าผู้ใหญ่ ในห้องมืดทึบมองภายในเป็นผนังโล่งๆ มีเค้าเตอร์แบ่งกั้นห้องไว้มีเหล็กดัดเหนือเคาเตอร์ คุณยายบอกว่า สภาพก็ยังเหมือนโรงรับจำนำเหมือนเดิม
" ที่นี่ไม่ได้ให้ใครเช่ามาสิบปีแล้ว และมีน้ำท่วมเวลาหน้าฝนนะ" คุณยายบอกพ่อ
"น้ำไฟถูกตัดไปหมดแล้วตั้งแต่คนเก่าย้ายไป" เสียงคุณยายเล่าต่อ
"ทำไมเขาย้ายไปล่ะครับ"พ่อถาม
"อยู่ๆเขาก็หายไปเลย ไม่บอกกล่าว ทะเบียนบ้านชื่อก็ยังคาอยู่"
พ่อกวาดตาไปทั่วห้องสีหน้าพ่อเหมือนคำนวณอะไรอยู่ ครุ่นคิด แต่พอใจ
แต่แม่น่ะ ดูแล้วก็เมินกับสภาพภายใน ที่สะดุดตาแม่ คงเป็น ห้องใหญ่ๆ ห้องหนี่ง ที่โดดเด่นอยู่หลังเค้าเตอร์ภายใน แล้วแม่ก็ชวนพวกเราเดินไปแมคโดนัลที่อยู่ใกล้ๆ
ไม่นานพ่อก็เดินกลับมาจากการดูตึกแถวห้าชั้นนั้น
" พ่อจะเซ้งตึกหลังนั้นนะ มันถูกมากเลย ไม่ว่าจะค่าเซ้งและค่ารายเดือน" เสียงพอตื่นเต้นแววตาสุกใส
"อืม"แม่ตอบ
แม่ไม่สนใจอะไรมาก คงวางเฉย ให้พ่อหายืมเงิน เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะค้านอย่างไร พ่อก็ไม่ฟังแม่หรอก
ไม่นานเมื่อพ่อวางเงินคุณยายพยอมแล้ว พ่อก็ติดต่อให้ลุงหนวดช่างรับเหมาเพื่อนสนิทมาดูร้านเพื่อประเมินราคาปรับปรุงร้าน
การปรับปรุงร้านครั้งนี้เป็นงานใหญ่ เพราะเป็นตึกห้าชั้นสองห้อง แถมต้องยกพื้นสูงกันน้ำท่วมขึ้นมาอีกประมาณบรรไดสี่ขั้น และที่สำคัญต้องทุบเคาเตอร์ที่กั้นรวมทั้งห้องขนาดใหญ่มหึมาที่หลังเคาเตอร์
ไม่นานลุงหนวดก็ส่งคนงานมาวิดน้ำที่ท่วมออก และติดต่อขอน้ำประปาและไฟฟ้า พอวิดน้ำแล้วพวกเราก็ไปที่ตึกนั้นอีกครั้ง ห้องขนาดใหญ่ที่ล็อคแน่นหนาใส่กุญแจมันยังติดตาแม่มาก
"ป๊า คนเช่าเก่าที่หายไป ไม่ใช่อยู่ในห้องนี้นะ ดูสิ ห้องทำไมมันผนังหนามากเลย" แม่กระซิบถามพ่อกลัวลุงหนวดได้ยิน
เสียงลุงหนวดสั่งงัดกุญแจห้องนั้น ซึ่งถูกปิดตายด้วยกุณแจและโซ่คล้องขนาดใหญ่มาก จนคีมตัดที่มีไม่สามารถตัดได้ ต้องหากันใหม่ ลุงหนวดเคาะๆผนังห้องนั้น แล้งบอกว่า ห้องนี้ผนังปูนหนาเป็นเมตร เล่นเอาแม่ยิ่งสงสัยหนัก
"เฮียหนวด ผนังนี่หนาเป็นเมตรเลยเหรอ" แม่ถามเสียงหวั่นๆ
" ไม่ใช่ทุบแล้วมีศพนะหรือผีดุ ตึกนี้เลยล้างมาสิบปี"
"อาจเป็นได้นะเนี่ย" ลุงหนวดพูดขำๆ ในใจคงนึกเหมือนแม่เหมือนกัน
" ไม่ลองไม่รู้ ต้องทุบดู" แล้วลุงหนวดก็สั่งช่างไปซื้อคีมอันใหม่มา แล้วเอาค้อนทุบผนัง เครื่องเจาะผนังมา เพราะมันหนามากเลยต้องมาทำต่อวันหลัง เนื่องจากคนงานทดลองใช้ดอกสว่านขนาดเจาะผนังธรรมดาไม่สะเทือนเลย เห็นว่านอกจากหนาแล้วยังเป็นคอนกรีตอีก เล่นเอาห้องปริศนายังคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเราอยู่...................
แม่กลับมาบ้าน ก็ลงมือวาดผัง ตามขนาดที่วัดมา แล้วออกแบบตำแหน่งวางชั้นวีดีโอ เคาเตอร์ จดรายการที่ต้องปรับปรุง คำนวณจำนวนชั้น และงบประมาณทั้งหมดแบบคร่าวๆ
แม่ไม่เห็นด้วยในการเปิดร้านนี้ แต่ก็อดที่จะช่วยพ่อไม่ได้อยู่ดี เพราะพ่อต้องไปทำงาน ไม่มีแม่คอยคิด คอยคุมงานพ่อจะทำอะไรได้ แม่ว่านิสัยพ่อบางทีทำอะไรเกินตัว คำนวณไปมาร้านนี้ค่าก่อสร้างและปรับปรุง รวมทั้งค่าอุปกรณ์และค่าลิขสิทธิ์ร้านวีดีโอ ค่าเซ้งร้าน ค่าเช่ารายเดือนล่วงหน้า รวมแล้วประมาณ สามสี่ล้านบาททีเดียว ไม่ใช่เงินน้อยๆ แม่มองจำนวนตัวเลขแล้วก็มีสีหน้าไม่สบายใจ จนฉันต้องเข้าไปถามว่า แม่เป็นไรไปคะ
"แม่ไม่ชอบเป็นหนี้เลย" เสียงแม่ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แม่ฉันก็แบบนี้ ไม่ค่อยพูดหากไม่เหลืออดจริงๆ แต่หากแม่พูดเมื่อไหร่ แม่จะพูดตรงๆจึงดูเหมือนรุนแรงแต่แม่จะจริงใจในความรู้สึก และความคิดเห็นเสมอ แบบว่าไม่มีอ้อมค้อม บางครั้งเราจึงดูเหมือนว่า พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันบ่อยๆ เพราะความคิดเห็นของพ่อกับแม่ค่อนข้างต่างกันไกลมาก เช่น เรื่องการลงทุน
"ป๊าน่ะ ไม่เข็ดหรือไง ลงทุนหมดตัว ขาดทุนมาจะมีไรกินทำไมไม่เอากำไรมาขยายกิจการ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป นี่อะไรมีแต่หนี้ๆไม่ทันจะปลอดหนี้ก็หาทางสร้างหนี้อีกแล้ว"
" ลงทุนทั้งทีก็ต้องทุ่มให้สุดตัวสิ รู้ดีรู้ชั่วกันไปเลย ทำทำไมครึ่งๆกลางๆ"
" ไม่เอาด้วยคนหรอก คนเราต้องแบ่งไว้บ้างสิคิดไว้เลยว่าจะลงทุนเท่าไหร่ หากหมดก็หมดกันแค่นั้น ไม่ใช่เอาส่วนอื่นไปโปะแบบนี้เวลาขาดทุนก็ไม่จบสักทีลากอย่างอื่นไปด้วย เห็นไหมว่า มีบ้านอยู่ดีๆ ก็เอาไปจำนองธนาคารจนไม่มีบ้านอยู่ " แม่ย้อนให้
แม่จึงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับพ่อ และไม่เคยที่จะไปเซ็นค้ำการกู้ยืมเงินของพ่อเลย
แม่ว่า "แม่ไม่ชอบเป็นหนี้ครอบครัวแม่เป็นข้าราชการ สอนมาเสมอว่าชีวิตไม่มีหนี้ดีที่สุด มีน้อยใช้น้อย ทำมากรวยมากก็ตายเอาไปไม่ได้ ทำงานจนพักผ่อนไม่พอ จนป่วยแบบพ่อ ถามหน่อยเถอะมีความสุขหรือไง"
แต่แม่ก็มักกลุ้มใจเสมอที่ เวลามีปัญหามา แม่เอาเงินพี่แป้นเพื่อนสนิทมา แต่ไม่มีปัญญาใช้คืนเลยสักครั้งเดียว เพราะลำพังเงินที่หามาได้ ก็แทบไม่พออยู่แล้ว หากมีเหตุเช่น รถเสีย ลูกป่วย แม่ก็จะแย่มากมาย ไม่มีเงินพอค่าเล่าเรียนของลูก ยิ่งพ่อที่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าดอกเบี้ยธนาคารเดือนละเก้าหมื่นกว่าทำให้เงินกำไรที่ได้มาไม่หลือเลย จ่ายดอกเบี้ย ค่าเช่าบ้าน ค่าลิขสิทธิ์ ค่าพนักงานหมดทุกๆเดือน ไม่เคยพอเลยแม่เอาเงินที่อดออมมาออกมาใช้ จนหมดเกลี้ยง .........................................

แม่ชอบดำรงค์ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งเรื่องใครแม้แต่พ่อ แม่ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบริษัทที่พ่อทำงานแต่ละที่มีอะไรบ้างอยู่ที่ไหนบ้าง ชีวิตแม่ที่ฉันเห็นสนใจอย่างเดียวคือ ลูกๆ เหมือนแม่ลืมอยู่เพื่อตัวเองมานานแล้ว...........

ไม่นานร้านวีดีโอใหม่ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น และห้องลึกลับก็ไม่มีศพอยู่แต่อย่างใด
ร้านใหม่นี้ พ่อให้ชื่อร้านว่า "ร้านเยี่ยมวีดีโอ"