24/5/52

ตอนที่ 7 : โภชนาการบำบัด




คราวนี้พ่อไม่ใช้ยาอะไรเลย และก็ไม่ไปนวดอะไรอีกแล้ว พ่อตัดสินใจที่จะให้วิธี “โภชนาการบำบัด” โดยถือหลักที่ว่าร่างกายจะดีแข็งแรงได้ต้องมาจากภายใน ดูสิคะพ่อฉัน เข้าใจพูดให้ดูดีเหมือนโฆษณาทีวีเปี๊ยบ แต่โฆษณานี้เพื่อแม่ของฉันคนเดียว เพื่อต่อต้านกระแสงอนของแม่นั่นเอง แม่ฉันไม่คิดว่าการที่คนเราทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในขณะที่ร่างกายไม่สมบูรณ์จะเป็นผลดี แม่ว่า “ร่างกายที่ป่วยต้องได้รับการซ่อมแซม และอาหารควรไปครบ 5 หมู่ ทานไม่ครบจะมีอะไรไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ล่ะป๊า ” นี่คือเหตุผลของแม่
ส่วนพ่อน่ะหรือ
“บริโภคเนื้อสัตว์มากๆมันก่อให้เกิดโรคมาก เพราะเนื้อสัตว์สมัยนี้มันฉีดโน่นนี่เข้าไปมาก อีกอย่างเป็นการไม่ทำร้ายสัตว์ด้วย” เริ่มคิดแบบชีวจิตซะแระพ่อฉัน
“แหมดูสิ ลืมไปเลยว่าขาหมูของโปรดเลยนะ น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะเฮีย” แม่ขอเหน็บสักนิด
” ทุกทีผักไม่ค่อยกิน กินแต่หมูแต่เป็ดไก่ แหมป่วยคราวนี้ ทีอยากให้กินอาหารครบๆดันไม่กินซะนี่ คนเรานี่นะหาพอดีไม่ได้ ก่อนหน้านั้นเตือนว่ากินไก่มากไม่ดีมันมีสาร กินขาหมูมากไม่ดีเดี๋ยวคอเลสเตอรอล ให้ทานอาหารทะเลพวกปลา เพราะมันย่อยง่าย เพิ่งผักมากๆให้มันมีกากใย แม้ไม่เคยเชื่อ พอมาคราวนี้ หนอยจะมาทำเป็นสอนเรา” แม่เล่นเป็นชุดพวกเราสามคนเลยนั่งอมยิ้ม
ตอนนี้พวกฉันก็โตขึ้นแล้ว ฉันเองตอนนี้ก็ ย่าง 10 ปีแล้ว อยู่ประถมศึกษาปีที่ 5 น้องชายอยู่ประถมศึกษาปีที่ 3 อายุได้ 8 ปีและน้องเล็กก็ขึ้นประถม 1 แล้ว ก็อายุ 6 ปี
ช่วงนี้ทางบ้านเริ่มขัดสนหนักกว่าเดิมมาก เพราะรายได้พ่อลดลงไปมาก เนื่องจากร้านปิดและพ่อต้องออกจากงานที่ทำ เนื่องจากไม่สามารถขับรถได้แล้ว มันอันตรายเกินไป แม่ฉันก็ยังขับรถไม่ได้ เพราะเคยขับแล้วไปชนเลยทำให้แม่กลัวจนไม่กล้าขับอีกเลย พ่อมีงานแค่เซ็นชื่อตามงบบัญชี โดยให้แม่เป็นคนตรวจบัญชีและพิมพ์งบดุลให้ จากนั้นพ่อตรวจสอบและเซ็นชื่อ และแม่ก็ยังคงทำงานแปลงวีดีโอของแม่ต่อไป แต่ตอนนี้ก็มีคู่แข่งมาก และต่างตัดราคากัน แต่งานที่แม่ทำ แม่ไม่เคยลดราคาลง แม่มั่นใจในคุณภาพของของตนและลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ยังสนแค่คุณภาพก็ยังอยู่กับแม่ต่อไป แต่กลุ่มที่สนแต่ราคาถูกก็คงจากไปเพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจโดยรวมก็ไม่ดีด้วย
ชีวิตเราเปลี่ยนไปมาก จากบ้านที่มีคนรับใช้ ตอนนี้แม่ต้องทำทั้งงานบ้านและงานหารายได้เอง ฉันจะช่วยแม่ตอนกลับจากโรงเรียน แม่ก็มักจะบอกว่า”ให้ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อนเถอะพลอย” แม่อยากให้ลูกเต็มที่กับการเรียน แต่พวกเราก็ต้องคอยดูแลพ่อเวลาแม่ไม่อยู่ เวลาวันหยุด พวกเราก็ยังสนุกสนานกับการช่วยกับซักผ้า ปิดผ้า ตากผ้า พวกเราช่วยแม่ซักผ้าจนเปียกไปหมดทั้งตัว ซักเสร็จก็เล่นน้ำต่อกันทุกที ความสุขเล็กๆของพวกเรา เพราะพวกเราไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลย
พ่อผอมไปมาก ร่างกายขยับได้ลำบากมาก แต่ก็ยังเดินได้อยู่โดยใช้ไม้เท้า และคนพยุง เวลาไปไหนๆ พ่อต้องเกาะฉันไว้ เพราะแม่ต้องดูน้องสองคนและถือของ เรียกรถแท๊กซี่อีกสารพัด เช่นเวลาพาไปหาหมอ บ้านเรายังคงอยู่ศรีนครินทร์ และยังเรียนที่เดิม อย่าคิดแปลกใจว่าทำไมยังมีเงินเรียนที่โรงเรียนดีๆนะคะ รายได้ของมากเพียงพอขนาดนั้น แต่แม่บอกว่า” แม่ไม่อยากให้ลูกๆรู้สึกแย่ไปกว่านี้ ” ตอนนั้น นอกจากได้รับการช่วยเหลือจาก พี่แป้นเรื่องค่าเล่าเรียนแล้ว ก็ยังมีคุณอาน้องของพ่อคนหนึ่งช่วยเรื่องค่ายา ค่าหมอของพ่อ “
ฉันจำได้ว่า ช่วงนั้น บางทีฉันป่วย (ฉันมีโรคหอบเป็นโรคประจำตัวและโรคภูมิแพ้) ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าต้องค้างที่โรงพยาบาลเพราะอาการหนัก แม่จะน้ำตาไหลและเดินออกน้องห้องหมอเลย เพราะว่า แม่ไม่มีเงินรักษาลูก แม่จะกุมมือฉันไว้แน่น ไม่พูดอะไร น้องชายจะเงียบกริบเพราะเริ่มรู้ดีว่าเพราะอะไร ส่วนน้องเล็ก พี่ๆเงียบก็เงียบตาม
ฉันป่วยบ่อยมากในบางครั้งเช่นเวลาฝนตก ฉันเคยแพ้ฝนที่ตกลงมาโดนตัว ขนาดที่ผื่นนูนแดงขึ้นทั้งตัว ต้องหาหมอให้ดมยาแก้หอบขนาดวันละหกรอบ ที่แม่ต้องพาวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล
ครั้งนั้นแม่ก็ต้องโทรไปหาที่บ้านของแม่ พอแม่เอ่ยคำว่า “พลอยต้องเข้าโรงพยาบาล…………….”แค่นั้นจะได้รับคำตอบว่า “พอดียุ่งอยู่นะ เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่” และนั่นทำให้แม่รู้ดีว่าปลายสายหมายถึงอะไร
คนที่แม่บอกว่าไม่อยากโทรไปมากที่สุดก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนสนิท เพราะแม่เกรงใจมากที่สุด
คนอ่านอาจงงว่าทำไมแม่ของฉันมีเพื่อนน้อย แม่เล่าว่า “สมัยเรียนหนังสือ แม่ได้เงินแค่สองพันห้าร้อยบาทต่อเดือนในชีวิตมหาวิทยาลัย ที่ต้องทานข้าวสามมื้อ และไม่มีหนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน สองพันห้าร้อยบาทมันรวมอยู่ในทุกค่าใช้จ่ายต่อเดือน หนังสือก็ต้องยืมเพื่อนอ่าน ก็พี่แป้นคนดีอีกนั่นแหละ ส่วนเวลาเพื่อนๆจะไปทานข้าวกลางวันกัน แม่ก็ต้องไม่ไป หลบเข้าห้องสมุดเสีย เพราะว่าแม่ไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน เพราะเงินทานข้าวก็ต้องเอามาเป็นค่าซีร๊อกหนังสือเรียนบ้างหรือเจียดซื้ออุปกรณ์การเรียน ของใช้ส่วนตัวเช่นสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ แม่มีเงินแค่อาหารมื้อเดียวหรือบางทีมีแค่มาม่าห่อเดียวด้วยซ้ำ เพราะครอบครัวของแม่เป็นแค่ข้าราชการ เมื่อทางบ้างต้องมาซื้อบ้านให้ลูกอยู่ที่กรุงเทพฯ ค่าใช้จ่ายก็มากโขแล้ว มหาวิทยาลัยที่แม่เรียนก็ได้ชื่อว่าแพง ก็เลยมีเงินค่าใช้จ่ายให้ได้แค่นี้ และน้องชายของแม่ก็เรียนโรงเรียนประจำที่ดี ก็รายจ่ายไม่น้อยเลย แม่จึงต้องตัดตัวออกจากสังคมเพื่อนฝูง จะมีก็แต่เพื่อนที่ไม่ดูถูกกันและชอบพอนิสัยกันจริงๆเท่านั้น” แม่เล่าเรื่องอดีตทีไรก็ต้องเสียงเครือๆทุกที แม่คงไม่ค่อยโอเคกับทางบ้านนักฉันนึก
และวันนั้น วันที่ฉันป่วยหนักก็จบลงด้วยแม่โทรหาพี่แป้นอยู่ดี
“เอาเข้าโรงพยาบาลไปเลยจ๊ะ” พี่แป้นตอบมา
“จ๊ะ” แม่รับคำ แต่พี่แป้นคงไม่รู้หรอกว่า ปลายสายร้องไห้ไปแล้ว แม่ฉันมักพูดว่า เพื่อนทำไมช่างดีกว่าญาติพี่น้อง แม่ก็มีแค่น้องชายคนเดียว แต่คงหมายถึง………………..ไม่บอกดีกว่านะ
ต่อเรื่องโภชนาการบำบัดของพ่อฉันล่ะนะอาหารอย่างแรกคือต้มผักโขมกับไข่ต้มคืออาหารจานหลักที่พ่อขอ พ่อว่าผักโขมมันดีมีเพื่อนพ่อไม่สบายแต่กินผักโขมทุกวันก็ดีขึ้น ในผักโขมมีธาตุเหล็กมาก และเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินบี-1 วิตามินบี-2 วิตามินบี-6 และสารแอนติออกซิแดนท์ที่สำคัญอีกหลายตัว พ่อฉันเลยกินอยู่อย่างเดียว กับ ไข่ต้ม อยู่ 7 วันเลย พ่อจะมีของหวานคือ ถั่วเขียวต้มน้ำตาลแดงใส่ขิงแก่เยอะๆ ขิงแก่แก้ท้องอืดเฟ้อ ส่วนถั่วเขียวมีประโยชน์ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย อันนี้ต้องขอบอกว่าพวกเราก็แย่งกินเพราะอร่อยดี
อาหารทั่วไปไม่มีอะไรตื่นเต้นหรอกนะคะ แต่ที่น่าตื่นเต้นมีหนึ่งรายการสยอง อิอิอยากรู้ละจิ
เอาที่ไม่สยองก่อนแล้วกัน
เจ้านายพ่อฉันคือคุณป้าจิต ป้าจิตเอาเอ็นกวางมาให้ต้ม เข้าตำรายาจีนว่า อะไรเสื่อมก็กินอย่างนั้นก็จะมีสารที่แก้กัน เส้นเอ็นพ่อไม่ดีเลยอาจเป็นสาเหตุที่เดินไม่ดี
เอ็นกวางที่ดีมีราคาแพงหากไม่ได้ป้าจิตให้มาคงซื้อทานไม่ไหว เอ็นกวางที่ฉันเห็นเป็นเหมือนเนื้อแห้งๆ ต้องเอามาสับเป็นท่อนๆ เวลาต้มกลิ่นสาบดุจกลิ่นสัตว์อย่างไรอย่างนั้น กลิ่นสาบรุนแรงจนคนไม่ชินทนไม่ไหว
แม่ฉันแทบอาเจียร การต้มต้องเคี่ยวเอาน้ำแรกทิ้งก่อน เพราะมิฉะนั้นจะสาบจนกินไม่ลง แล้วจึงเปลี่ยนน้ำเคี่ยวให้เปื่อยและปรุงรสนิดหน่อยก็กินได้
แต่ที่น่าสยองคือ…………..เมนูแมลงสาบ
แมลงสาบที่ว่านี้ เราต้องไปซื้อมาจากร้านยาจีนนะคะ ไม่ใช่ไปดักเอาตามบ้าน แบบนั้นมันไม่สะอาด
ว่ากันว่า คนจีนใช้ขี้แมลงสาบหรือแมลงสาบมาผสมเป็นยามานานแล้ว สรรพคุณคือ บำรุงระบบประสาท
ทำให้ไม่ชักกระตุก ไม่เกร็ง ฉันฟังจากที่พ่อบอกนะคะ แหล่งข่าวไม่ทราบ ใครอยากลองกินต้องไปถามที่ร้านขายยาจีนนะคะ
“น้องไปซื้อแมลงสาบมาให้เฮียหน่อยสิ” พ่อบอกแม่ในวันหนึ่ง
“อะไรนะ ” แม่ร้องขึ้นอยากตกใจ ก็แม่ฉันเกลียดแมลงสาบมากขนาดไม่กล้าเหยียบ
แม่เล่าถึงสาเหตุการเกลียดว่า “สมัยก่อนอยู่บ้านแถวหลังรามฯ ไม่ค่อยทำครัว ท่อน้ำทิ้งมันก็แห้ง วันหนึ่งแม่เห็นแมลงสาบหนึ่งตัววิ่งลงท่อน้ำทิ้งหลังบ้าน แม่ก้ไปเอาไบกอนมาฉีดลงไปในรูท่อ แค่นั้นแหละ แมลงสาบเป็นร้อนๆวิ่งกรูออกมาจากท่อน้ำ แม่ต้องวิ่งหนีเข้าบ้านปิดประตูร้องให้คนข้างบ้านมาปราบ โดนฉีดยาฆ่าแมลงผ่านมุ้งลวด แม่ขยะแขยงสุดชีวิตเพราะมันกรูมาหาแม่จนต้องวิ่ง มันไม่กลัวคนเลย แถมบางตัวบินได้เสียอีก” แม่เล่าอย่างภาพความสยดสยองยังฝังอยู่ในใจ
“แมลงสาบหรือป๊าป๊า” น้องชายฉันถามขึ้นมาบ้าง
“เหยย แมลงสาบ ” ฉันร้องออกมาอย่างนึกขยะแขยง
“แมลงสาบกินได้ด้วยเหรอ” น้องเล็กถาม
“เอามาไมเนี่ย” แม่ถาม แล้วพ่อก็บอกสรรพคุณของมัน
“แหวะ” แม่ร้อง “ป๊ากล้ากินเหรอ กินแล้วตายท้องเสียจะว่าไงล่ะ” แม่ขัด
“ใครบอกว่ามันดี ฉันยอมตายดีกว่ากินมัน ” แม่ยังไม่ยอมง่ายๆ
“สกปรกจะตายเหม็นก็เหม็น กินลงด้วยเหรอ”
แม่เริ่มต่อรองด้วยความโปรแกรมว่าด้วยความสกปรกของแมลงสาบ แล้วบรรยายต่อด้วย
“ป๊าไม่เคยดูเหรอ หนังเรื่องโจอพาตเมนส์ มันสกปรกมาก กินเศษขยะ อาหารเน่าบูด มันขึ้นหมด …………..” แม่ยังคงพยายามต่อไป
แต่ในที่สุดวันนั้น แม่ต้องไปร้านขายยาจีนเพื่อซื้อ แมลงสาบ กับแคปซูลเปล่าๆ ซื้อสิ่งที่เกลียดที่สุด
พวกเราตามไปดูที่ร้านยาจีน “เถ้าแก่ แมลงสาบมีขายไหมคะ”
“มีลื้อจะเอาเท่าไหร่” เถ้าแก่ถาม
“ขายยังไง มีเยอะขนาดนั้นเลยหรือเถ้าแก่ ” แม่ยังสงสัย
แล้วแม่ก็ถามสรรพคุณแมลงสาบ ก็ได้ทั้งคำตอบและวิธีทำ แม่หน้าตาดูแย่มากในตอนนี้ แบบรับไม่ได้อย่างรุนแรง แต่ก็ต้องตกลงที่จะซื้อ 1 กิโล แมลงสาบที่เราเห็น ตัวไม่ใหญ่มาก แต่มันก็เป็นแมลงสาบแห้งๆ หนึ่งกิโล ราคาแมลงสาบไม่ใช่ถูกนะคะ ค่อนข้างแพงทีเดียวแต่ถูกกว่าเอ็นกวาง
แม่กลัวไม่กล้าหยิบถุงแมลงสาบ เลยบอกว่า “ใส่ถุงซ้อนๆกันได้ไหม”
นี่ขนาดตากแห้งนะคะ ยังกลัวขนาดนี้
กลับมาถึงบ้าน พ่อก็บอกให้แม่คั่วแมลงสาบแล้วตำจากนั้นก็บรรจุลงแคปซูลให้พ่อ
“อะไรนะ นี่ฉันต้องทำด้วยเหรอ” แม่โวยวาย สีหน้าไม่พอใจ
แล้วแม่ก็ไปตามป้าหมวยแม่บ้านแถวนั้นให้มาคั่วให้ พร้อมบดแมลงสาบเป็นผงตักใส่แคปซูลให้พ่อ
พวกเราอยากเห็นก็ตามป้าหมวยคั่วแมลงสาบและดูกรรมวิธีทำแมลงสาบ
“ป้าเอาแมลงสาบใส่กระทะครึ่งถุง ส่วนที่เหลือเก็บใส่ตู้เย็นนะ”พ่อสั่ง
แม่ได้ยินก็โวยลั่นบ้าน “อะไรเนี่ยจะให้แมลงสาบไปใส่ในตู้เย็นเนี่ยนะ ไม่เอาๆ”
“แมลงสาบในตู้อาหารคนเนี่ยนะป๊า อ๊วก ใครจะกล้ากินน้ำ กล้ากินอาหารในนั้น ไม่เอา น้องไม่ยอม”
ป๊าเริ่มโมโหแม่ “ก็ห่อหลายๆชั้นสิ มันก็ไม่มีกลิ่น เอาไว้ช่องล่างสุดที่ใส่ผักแล้วอย่าให้เอาอะไรไปใส่ช่องนั้น”
“อะไรกันเนี่ย เชิญเลย อยากทำอะไรก็ทำ แต่นี้ไปฉันไม่กินของในตู้แล้ว จะซื้อน้ำมากินเอง ไปซื้อข้าวกินเอง ใครกินลงก็กินไป” แม่ไม่ยอมง่ายๆ แล้วแม่ก็โกรธพ่อจนเข้าห้องไปเลย
ป้าหมวยเอากระทะตั้งไฟร้อน ไม่ใส่น้ำมัน จากนั้นก็เทแมลงสาบลงคั่วครึ่งถุง กลิ่นแมลงสาบคละคลุ้งไปทั่วบ้าน ซึ่งตอนนั้นฉันและน้องๆเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เลยตามแม่เข้าห้องไปด้วย กลิ่นสาบของแมลงสาบช่างสมชื่อจริงๆ มันเหม็นสาบทั่วบริเวณบ้าน สะอิดสะเอียนชวนขนลุกและขยะแขยง
พอกลิ่นเหม็นได้ที่แล้ว พ่อก็บอกว่า “วางพักมันไว้ให้เย็นก่อนเอาไปบดและกรอกใส่แคปซูลนะป้า”
แม่ได้ยินอยู่ในห้อง “เครื่องปั่นน้ำผลไม้ของฉัน อะไรเนี่ย” แม่ร้องออกมาอยากอึดอัด พวกฉันเริ่มออกความเห็น น้องเล็กเริ่มถาม “แม่จ๋า แมลงสาบทำไมพ่อต้องกิน”
“ไปรู้พ่อเหรอ คนบ้าที่ไหนจะกินแมลงสาบ” แม่ยังมีโมโห
“พลอยไม่เอาด้วยหรอกให้กินแมลงสาบ ขยะแขยง” ฉันสนับสนุนแม่เต็มเปี่ยม
“เล็กก็ไม่กิน”
เรื่องแมลงสาบนี่มันแปลกตรงที่ว่า นับแต่การคั่วแมลงสาบครั้งนั้น ทำให้บ้านเหม็นไปด้วยสาบแมลงสาบ แต่ทำให้แมลงสาบตัวอื่นๆที่เคยมาเยือนบ้านเรา มันหายหน้าหายตาไปหมด
คงเป็นเพราะว่ามันคงได้กลิ่นวิญญาณแมลงสาบโดนพิฆาต ( โดยคั่ว) เลยไม่กล้าเหยียบบ้านเราอีก ฉันคิดเองนะ หากใครต้องการพิสูจน์คงต้อง ไปจับแมลงสาบมาคั่วเอง

ส่วนน้องเยี่ยมน้องชายมักรักพ่อ ไม่ชอบว่าใคร ไม่ชอบออกความเห็นใดใดไม่ชอบพูดมักเงียบๆเสมอ ชอบรถตักและเล่นตุ๊กตากองทัพทหารสู้รบกัน ฉันสังเกตว่าน้องเยี่ยมสงสารพ่อ และอัดอัดที่พ่อป่วย และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย เพราะพ่อป่วยพ่อจึงไม่ให้พวกเราไปไหนเลย ต้องอยู่ใกล้ๆพ่อ บ้านของเรามีสองชั้นช่วงนั้นพ่อยังขึ้นลงบันได แม่ต้องดูเครื่องคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืน ตลอดคืน เลยให้ฉันไปนอนเป็นเพื่อนพ่อ เผื่อพ่อเข้าห้องน้ำกลางคืน หรือเผื่อพ่อล้ม ส่วนน้องสองคนนอนกับแม่ตรงที่แม่ทำงาน งานของแม่ทำให้แม่ต้องตื่นทุกๆ 70นาที เพื่อกดหยุดเครื่องวีดีโอ และน้องๆก็ติดแม่มากด้วย เคยนอนด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ ฉันด้วยที่อยากนอนกับแม่เหมือนเดิม แต่แม่ให้ไปนอนเป็นเพื่อนพ่อเรื่องนี้เคยทำให้ฉันน้อยใจแม่ถึงขนาดร้องไห้
“แม่ขา ทำไมพลอยนอนกับแม่ไม่ได้ พลอยก็ลูกแม่เหมือนกัน” ฉันร้องไห้
“พลอย ที่แม่ให้พลอยไปนอนกับพ่อ เพราะว่า แม่ทำงานน้องก็ยังเล็กไม่สามารถดูแลพ่อได้เลย น้องขี้เซา พ่อล้มจะได้ยินหรือลูก แม่ก็ต้องทำงานทั้งคืนหลับๆตื่นๆ กลางวันก็ต้องทำงานบ้านและดูแลพ่ออีก แล้วไหนยังต้องไปรับส่งลูก ไปส่งงาน สารพัด พลอยเป็นลูกคนโตกว่าทุกคน ช่วยแม่หน่อยไม่ได้เหรอลูก หากให้พ่อนอนคนเดียว พลอยไม่ห่วงพ่อหรือจ๊ะ ” แม่พยายามอธิบาย ยาวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“ค่ะแม่” ฉันรับคำ
จากนั้นห้องที่พ่อนอนซึ่งเตรียมไว้เป็นห้องฉันกับน้องเล็กเพราะมีสองเตียง ก็กลายเป็นห้องนอนของพ่อกับฉัน
พ่อเข้าห้องน้ำกลางคืนบ้างก็ต้องใช้ฉันพยุงตัวเดินไป บางทีก็ลุงไม่ขึ้นก็ฉันอีกที่ต้องดึงตัวพ่อขึ้น
บางคืนพ่อร้องขอกินน้ำ น้ำข้างเตียงที่เตรียมไว้พ่อกินหมดแล้ว ก็ปลุกขอน้ำดื่มอีก เมื่อกินน้ำก็ต้องฉี่อีก
เรื่องนี้ทำให้แม่ทะเลาะกับพ่อในวันหนึ่ง
“เฮียทำไมต้องปลุกลูกมาเอาน้ำดึกๆดื่นๆ” แม่ถามขึ้น
“ก็น้ำมันหมด หิวน้ำนี่ ก็ต้องปลุกสิ”พ่อตอบ
“น้ำก็เตรียมให้เป็นเหยือกๆ แล้วนี่ตอนกลางคืน”
“ก็กินหมดแล้ว” พ่อเถียง
“หมดก็อดทนสิ ตีสามนี่นะต้องปลุกลูก ลูกต้องไปเรียนแบบนี้จะนอนพอได้อย่างไร” แม่ว่า
“อ้าวก็คนมันหิวจะให้ทำไงล่ะ”
“หัดอดทนนะ และเกรงใจผู้อื่นบ้าง แค่หิวน้ำแล้วไม่ใช่ไม่มี มีเป็นเหยือกแต่กินหมดแล้ว ก็ต้องรู้จักพอ นี่เป็นเวลานอน แค่พลอยต้องลุกมาพาไปห้องน้ำมันก็มากพอแล้วนะ นี่กินน้ำ พอกินก็ปวดฉี่ คืนๆหนึ่งจะต้องให้ลูก
ลุกกี่หน ” แม่โวยวาย
“อย่าเอาแต่ใจนัก หัดเกรงใจลูกบ้าง เด็กต้องเรียน แบบนี้จะทำให้ลูกไปหลับในห้องเรียน” แม่ยังไม่ยอม
“แล้วการเรียนมันจะสำคัญกว่าพ่อมันหรือไง” พ่อเถียง
“พูดออกมาได้ ไม่คิด ที่พลอยยอมมานอนเป็นเพื่อนนี่ ยังมาว่าลูกแบบนี้อีกหรือ พูดแบบนี้อย่ามาพูดดีกว่า”
แม่ฉันไม่ได้ยอมพ่อง่ายๆ ในเรื่องที่ไม่เป็นธรรม
บางครั้งเวลาฉันเดินให้พ่อเกาะ แล้วหันไปมองโน่นนี่บางตอนพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อก็ด่าฉันอย่างขึ้นมึงกู
ว่าให้เดินดีๆบ้างก็ตวาดและว่าอย่างรุนแรง
แม่ก็จะออกรับแทนว่า “นี่พ่อ เด็กมันอายุเท่าไหร่ แค่หันไปมองอย่างอื่นบ้างจะเป็นอย่างไรไปเชียว”
“ก็ถ้าเฮียล้มล่ะ จะเป็นอย่างไร” พ่อเถียง
“แล้วแค่หันหัวไปมองข้างๆนี่มันล้มไหมล่ะ ก็ไม่ล้มนี่ ก็ยังยืนเถียงอยู่ได้นี่นะ”
“อยากได้คนดูแลมืออาชีพก็จ้างพยาบาลส่วนตัวสิ”
พ่อเลยต้องหยุด
ตอนนี้การเรียนของฉันตกต่ำลง และของลูกทุกๆคนด้วย แม่ไม่มีเวลาสอนการบ้านให้พวกเรา แม่เลยใช้ระบบ พี่สอนน้องเป็นทอดๆกันไป ฉันสอนน้องเยี่ยม เยี่ยมสอนน้องเล็ก พวกเราต้องดูแลซึ่งกันและกัน
ระหว่างนี้ แม่ได้รับโทรศัพท์จากครูประจำชั้นของน้องเยี่ยมในวันหนึ่ง
“ขอเชิญคุณแม่ที่โรงเรียนนะคะ” คุณครูประจำชั้นของเยี่ยมโทรมาหาคุณแม่
“ค่ะ พรุ่งนี้นะคะ”
แล้วแม่ก็ไปที่โรงเรียน ตอนนั้นน้องเยี่ยมเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่3 เป็นเด็กที่เรียนดี เรียบร้อย คุณครูก็รักทุกๆคน แล้วคุณครูจะเรียกพบด้วยเรื่องอะไรกันนะ แม่เล่าว่า แม่คิดไปตลอดทาง
ที่โรงเรียนแม่ฉันกับได้รับคำบอกเล่าที่ทำให้แม่สุดจะทน
“น้องเยี่ยมอยู่ๆนั่งเรียนก็น้ำตาไหนค่ะคุณแม่” ครูพูด
“ครูไปถามก็เพิ่งทราบว่า คุณพ่อป่วย และพ่อไม่ให้ออกไปเล่นตอนเย็นๆเลย ให้อ่านแต่หนังสือ ไม่ให้ลุกไปไหน จริงไหมคะคุณแม่ “คำบอกเล่าของคุณครูทำให้แม่อึ้งพูดไม่ออก นี่แม่ลืมดูแลลูกไปได้อย่างไร แม่นั่งรถกลับบ้าน น้ำตาไหล สงสารลูกตอนนั้นนึกถึงลูกชายน่ารักที่แสนจะเอาใจแม่ แม่ครับๆอยู่ตลอดเวลา
แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่า ตลอดเวลาช่วงเย็นที่แม่รับพวกเรากลับมาจากโรงเรียน ทำกับข้าวเสร็จ และแม่ต้องออไปส่งงานลูกค้า กว่าจะกลับมาก็ยามค่ำ เพราะส่งงานตามห้างต่างๆหลายแห่ง แล้วยังรถติดอีก แม่ขึ้นรถเมล์ก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้ว ช่วงนั้น สมัยก่อน เมื่อเราทำการบ้านจัดกระเป๋าหนังสือเสร็จ เราจะมีเวลาออกไปตีแบทหน้าบ้านกัน บ้างก็ขี่จักรยานบ้าง
กับเด็กๆเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
พ่อที่ป่วยไปไหนไม่ได้ ใช้เวลาตอนนี้ ให้ท่องบทสนทนาภาษาอังกฤษ และคำศัพท์มากมาย ท่องและอ่านหนังสือจนแม่มานั่นแหละ พวกเราโดนกันทุกคนยกเว้นน้องเล็กที่แค่ประถมหนึ่ง และพ่อไม่สามารถบังคับน้องเล็กได้ เพราะน้องเล็กไม่ทำซะอย่างเดียว งอแง และพ่อก็ลุกไปตีไม่ได้อยู่ดี พ่อเลยบังคับลูกที่พอรู้เรื่องและรักมากที่สุดแทนก็คือน้องเยี่ยม
น้องเยี่ยมเป็นเด็กร่าเริงมีไมตรี เล่นกีฬาเก่ง เลยมีเพื่อนบ้านมาชวนไปเล่นด้วยเสมอ แต่เดี๋ยวนี้ทุกครั้งคือคำสั่ง ห้ามไปไหนต้องนั่งอ่านหนังสือต่อหน้าป๊า ด้วยความรักพ่อมากของน้องเยี่ยมจึงทำตามมาตลอด แม้ตนเองจะอยากเล่นเพียงใดก็ตาม
เหตุผลของพ่อคือ “พ่ออ่อนภาษาอังกฤษ เพราะพ่อเป็นผู้ชาย พ่อบอกว่าผู้ชายมักอ่อนภาษา พ่อไม่อยากให้เยี่ยมเป็นเหมือนพ่อ” พ่อชี้แจงกับแม่เมื่อแม่ถาม
“แต่เฮียต้องให้ลูกรู้จักพักบ้าง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง”
“สมองเด็กมันก็เหมือนน้ำ หากมากๆเกินไปมันก็ล้นออกมา” แม่ให้เหตุผล
“อีกอย่างไม่เห็นด้วยเลยกับการเรียนภาษาโดยการท่องบทสนทนา คนเราไม่ได้พูดกับอยู่แค่นี้ หากเด็กทราบคำศัพท์ รู้จักการแต่งประโยค มันก็พูดได้เองแหละ” แม่เถียง
“น้องก็เรียนมาแต่เด็กๆ ก็ไม่เห็นต้องมาท่องเป็นประโยคๆ”
และเรื่องนี้ก็ทำให้พ่อดื้อรั้นต่อไป พ่อยังคงทำเหมือนเดิมคือบังคับเยี่ยมให้ท่องอังกฤษ
แม่เรียกเยี่ยมเข้ามาหาในตอนค่ำ แม่คุยกับน้องเยี่ยม แม่กอด แล้วบอกว่า “เยี่ยม มีอะไรลูกต้องบอกแม่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว”
“พลอยเล็กก็เหมือนกัน มีอะไรหนูต้องบอกแม่นะ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เพราะว่าเราคือ แม่ลูกกัน”
แม่สั่ง แต่แม่ล่ะคะ เวลาแม่มีอะไรแม่จะบอกใคร ………………..
แต่ที่หนักกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องเพื่อนบ้าน
ป้าเดือน เพื่อนบ้านที่ใจดี ที่ฉันเคยกล่าวถึงมาแล้ว ที่มักทำอาหารมาให้เสมอๆ ป้าก็ยังทำเหมือนเดิม
ป้าเอาอาหารมาให้ที่บ้าง และชวนเด็กๆไปทานที่บ้านและเล่นที่บ้านบ้าง ป้ารักเด็ก และมีขนมมากมายที่ป้าทำเอง วันนั้น ………..
“ผม……………………นะครับ อยากบอกว่า ตั้งแต่นี้ไป คุณอย่ามาชวนลูกของผมไปบ้านอีก”
“ทำไมล่ะคะ แค่มาทานขนมและอาหาร บ้านเราก็อยู่แค่ตรงข้ามกัน มีอะไรหรือคะ เดือนน่ะรักหลานๆ เห็นแม่เขาไปส่งงานก็เลยอยากจะช่วยๆดูแลเด็กๆให้ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
ป้ายังคงตอบอย่างใจดีเช่นเดิม
“เปล่าครับ แต่เพราะการกระทำของคุณคือ การกระทำของคนที่แย่งลูกผมไปจากผม” พ่อตอบ
คำพูดนั้นทำให้ป้าเดือนห่างไปเลย ป้าไม่กล้ามาบ้านเราอีก แม้จะมีขนมมาฝากแต่ก็ไม่เคยชวนไปบ้านอีกเลย
กว่าแม่จะรู้ก็เป็นเดือนในวันหนึ่งที่เผอิญเจอป้าและป้าเล่าให้ฟังและบอกว่า
“น้อง พี่เดือนไม่ได้มีเจตนาอย่างที่แฟนน้องมาบอกพี่นะ” ป้าบอกแม่
“เรื่องอะไรคะ” แม่ถาม
ป้าเล่าเรื่องที่พ่อโทรไปหาป้าให้ฟัง แม่ฉันเลยขอโทษป้าเดือนเป็นการใหญ่ ป้าก็บอกว่า “น้องอย่าไปถือสาเขาเลย พี่ไม่ได้อยากมาฟ้องอะไรนะ แค่อยากบอกให้เข้าใจว่า พี่ยังเหมือนเดิม มีอะไรก็ยินดีช่วยเสมอ แค่ให้เข้าใจว่า ไม่มีเจตนาจะไปแย่งลูกใครเลย”
แม่ฉันกลับมาบ้านก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก แต่แม่เสียใจมากมายที่พ่อทำแบบนี้ แม่มาถามฉันและบ่นว่า “เพื่อนบ้านดีๆแบบนี้มีที่ไหน ทำไมป๊าของหนูต้องทำแบบนี้ด้วย”
พ่อฉันก็ยังคงกินอาหารมังสวิรัตหรือแนวชีวจิตเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำลูกยอสมุนไพรที่พี่แป้นเคยเอามาให้ลอง หรือสารพัดน้ำที่คิดว่าดี พ่อฉันทานหมด แม้แมลงสาบคั่วก็ยังกินจนหมดที่ซื้อมาด้วย
แต่โภชนาการบำบัดของพ่อ สร้างความโกรธให้แม่ก็เป็นที่ตัวสุดท้ายนี่เอง
“น้องช่วยหาซื้อกัญชาให้เฮียทีสิ มันช่วยรักษาและกระตุ้นเส้นประสาทได้” พ่อพูดขึ้น
“อะไรนะ กัญชา เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย” แม่โว้ย
“แล้วเรื่องอะไรจะมาให้ฉันเสี่ยงติดคุกเพราะมีกัญชาซะแล้ว”
“เกิดโดนจับมาจะทำอย่างไร”
“ไปซื้อที่ไหนก็ไม่รู้”
“แล้วทำไมต้องให้ฉันไปติดต่อกับพวกค้ายาด้วย จะบ้าเหรอ”
“………………………………….”อีกเป็นชุด
สรุปคือ ไม่ซื้อให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ซื้อให้ “เรื่องอะไรจะมาเป็นคนติดยาเสพติด ไอ้ที่ป่วยอยู่นี่ยังไม่พออีกเหรอ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายกับเรื่องกัญชาของพ่อ
และแม่ก็ยินยอมให้ได้แค่กินมังสวิรัติต่อไปเพียงอย่างเดียว
จากนั้นไม่นานเรื่องปวดหัวก็เกิดกับแม่อีก คราวนี้มาจากบ้านป๊ะป๊าเอง
“ให้พาหยี่เฮียไปรักษาหมอ………………ที่วัด……………………เขาว่าเก่งมากมีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรไป
ไปมาหายมาหลายรายแล้ว ให้ไปพรุ่งนี้เลยนา บอกเขาไว้แล้วลงชื่อแล้ว”
อาม่าของฉันโทรมาสั่ง
กว่าแม่จะมารู้ว่าหมอที่ว่าคือเจ้าเข้าทรงก็ถึงวัดเสียแล้ว