27/8/52

ตอนที่ 9 : ลาก่อนบ้านของเรา




จากบ้านหลังน้อยที่เคยอยู่ตั้งแต่เกิด ความทรงจำที่อบอุ่น เพื่อนบ้านที่ใจดี และเพื่อนๆน้องๆ ที่เคยวิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ มาสู่ ตึกแถวห้าชั้นย่านสาธุฯ ที่เป็นที่ตั้งของร้านวีดีโอของพ่อ............

ร้านวีดีโอที่สาธุประดิษฐ์นี้ ข้างล่างเป็นพื้นกระเบื้องสีขาวที่เขาทำมาอยู่แล้วแต่ได้รับการขัดถูใหม่อย่างสะอาดสะอ้าน กำแพงบุวอลเปเปอร์แทนการทาสีสีขาวนวล ชั้นวีดีโอสีเหลืองสด ตัดกับเค้าเตอร์ใหญ่สีน้ำเงินสด สดใส ร้านมีลักษณะด้านหน้ากว้าง ด้านหลังแคบลงเหมือนไซดักปลา ด้านขวาติดร้านค้าของเก่า หรือร้านรับซื้อขยะนั่นเอง ซึ่งร้านนี้จะมีฝุ่นทุกวัน จนชั้นสองที่เป้นห้องนอนต้องเอาสก็อคเทปมาติดตามหน้าต่าง ด้านซ้ายติดร้านขายเกมส์เพลสเตชั่น ถัดไปก็ร้านทอง
ชั้นที่เป็นห้องนอนอยู่ชั้นสอง มีครัว ห้องน้ำ พร้อม ครัวก็แบบง่ายๆ แค่เตาไฟฟ้า เตาเดียว ห้องนอนก็มีห้องเดียว
แม่แค่ซื้อที่นอนใหญ่ๆ มาต่อกันไว้ครึ่งห้อง แบ่งห้องเป็นสองส่วนคือส่วนทำงานของแม่กับส่วนที่นอนด้วยผ้าม่านที่แม่เย็บเอง ทุกอย่างง่ายดาย เราขนมาแค่โต๊ะทำงานของแม่กับตู้เสื้อผ้าใบเล็กใบเดียวจากบ้านเดิม เพราะนอกนั้นมันก็ขนมาไม่ได้ แม่ไม่ทำอะไรเลยกับห้องนอนนี้

" แต่งไปก็เท่านั้น ไม่ใช่บ้านของเรา มันไม่เหมือนแต่งบ้านตัวเอง จะสวยจะดีอย่างไรก็ทำให้บ้านของเราไม่ไปไหนเสีย" แม่บอกเหตุผล

และชีวิตเรียบง่ายแต่ยุ่งเหยิง ก็เริ่มต้นที่นี่

เรามีพี่เลี้ยงและลูกจ้างประมาณ 10 คน ที่นี่จะพักกันที่ห้องอัดชั้นสี่ และชั้นห้า สำหรับพนักงาน ทุกชั้นที่นี่มีเหมือนกันคือ ครัวกะห้องน้ำ เหมือนห้องชุดเลยที่เดียว การแต่งตึกแถวของที่นี่นับว่าดี ทันสมัย วัสดุดี เพราะเจ้าของเป็นคนละเอียด ประกอบกับผู้เช่ารายล่าสุดเขาเป็นร้านขายหินอ่อน ชั้นสองที่เรานอน เลยเป็นห้องนอนหินอ่อนเย็นดี เสียอย่างเดียว ที่ร้านติดกับร้านขายของเก่า ฝุ่นเลยมีมากมาย
ห้องฉันมีเรื่องกรองอากาศถึง 3 เครื่อง และที่นี่คือที่ๆเป็นบ่อเกิดต่อโรคภูมิแพ้ของฉันเลยทีเดียว

จะเล่าถึงเรื่องที่ชาวบ้านแถวนี้บอกว่า ตึกแถวห้องนี้เจ้าที่แรง แต่แม่ฉันทำมาค้าขึ้นอยู่คนเดียวนับแต่ทำการค้ามา ก็ไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมเหมือนกัน

แต่แม่บอกว่า วันนั้นมาดู เห็นเจ้าที่ที่คนจีนวางไว้ไหว วางอยู่ข้างบันได
แม่เองเป็นคนไม่ยึดถืออะไรแบบนี้ แต่มีกฎอยู่ว่าจะไม่ลบหลู่ เราเดินขึ้นเดินลงดูห้อง กระโปรงก็สะบัดไปสะบัดมา เรียกว่า ใครใส่กระโปรงก็คงเรียกว่ารดหัวเจ้าที่หากเจ้าที่มีจริง
แม่บอกว่า แม่ก็นึกแบบนั้น ก็อดไม่ได้
บอกพ่อฉันว่า
" ป๊า ย้ายได้ไหม ดูไม่ดีเลยเดินข้ามไปข้ามมา "
แล้วแม่ก็ไปยกย้ายไปอยู่ตรงหลังเคาเตอร์ในวันที่จะมาทำความสะอาด แม่ก็ยกมือไหว้แล้วบอกว่า
" ฉันไม่รู้ธรรมเนียมนะคะ อย่าถือสา แต่ฉันเห็นว่า เดินไปมา ก็รดหัวท่านคงไม่ดี ขอย้ายนะคะ แล้วก็ขอทำความสะอาดบ้านท่านด้วย หากท่านมีจริงก็อยู่ที่นี่ให้มีความสุขแล้วกันนะคะ "แม่พูดกับเจ้าที่
จากนั้นแม่ก็บอกว่า "ก็ยังไม่ทันได้ยินคำตอบนะลูก แต่แม่เห็นสมควรย้าย ก็ย้ายไปแล้ว"
แล้วแม่ก็ตั้งเจ้าที่ไว้ด้านหลังเค้าเตอร์ตรงที่เก็บเงินให้หน้าหันสู่หน้าร้าน แม่ก็ไปถามร้านขายของบูชาว่า
ต้องทำอย่างไรบ้าง เขาก็แนะว่าต้องมีน้ำชา อาหาร ขนม ให้เจ้าที่ แม่ก็ทำตาม แต่อาหารเปลี่ยนตามแม่กิน เพราะแม่ไม่รู้ว่าเจ้าที่ชอบทานอะไร แต่เอาเป็นว่า เราทานอะไร เจ้าที่ก็ทานแบบนั้นแล้วกัน แม่คิดแบบนั้นแล้วก็ทำแบบนั้น
" แล้วมันไม่ผิดธรรมเนียมหรือคะ" ฉันสงสัย
" ไม่รู้สิ แม่คิดแต่ว่า หากเป็นเราทานอะไรเหมือนเดิมทุกวันก็คงเบื่อ เปลี่ยนๆบ้างน่าจะดี เจ้าที่น่าจะมีจิตใจเหมือนๆกับเรานี่แหละ" แม่ตอบแบบมั่วนิ่มตามความคิดตัวเอง
"และแม่ก็ไม่เคยขออะไรเจ้าที่นะลูก เพราะแม่ชอบคิดว่า ใครๆคงขอท่านแยะและ แม่ไหว้ทีไรก็บอกว่า
ขอให้เจ้าที่มีความสุขทุกครั้ง" แม่บอกฉัน
และแม่ก็มักพูดว่า "ชีวิตเราๆต้องลิขิตมันเอง จะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเราเอง หากใครทำชั่วก็อย่าโทษคนอื่นเลย เพราะคนที่ทำคือตัวเรา"
และนี่ก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าที่ที่ใครๆแถวนั้นพอรู้ว่าเราจะเช่าก็มาเล่าให้ฟัง ว่าท่านเฮี้ยนนัก ใครมาไม่เกินสามเดือนก็ต้องย้ายออก แต่พวกเราก็อยู่มาได้หลายปีทีเดียว แถมกิจการดีวันดีคืน ยกเว้นตอนเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลง จากวีดีโอเป็นวีซีดี เครื่องเล่นวีดีโอมันแพง แต่เครื่องเล่นวีซีดีกลับถูกมากเงินแค่พันบาทก็ซื้อได้แล้ว ขณะที่เครื่องเล่นวีดีโอกลับห้าพันบาทขึ้นไปและพ่อก็เก็งผิดคิดว่าจะเหมือนเมืองนอกที่วีดีโอยังคงอยู่ พ่อจึงไม่ยอมตามกระแสเปลี่ยนวีดีโอเป็นวีซีดีทำให้การค้าเราสู่คู่แข่งไม่ได้

แม่เล่าว่าตอนที่แม่มาดูห้อง แม่ก็รู้สึกว่าชอบห้องแถวนี้แม่จึงบอกพ่อว่า
" ห้องนี้ดีนี่ป๊า สวยดี" ทั้งๆที่แม่เป็นจอมค้าน แต่แม่กลับโอเค
แม่บอกว่าก็แค่เอาชั้นมาวาง ก็ทำการค้าได้แล้ว ห้องแถวก็ยังสภาพดี มีแค่ฝุ่นมาก ก็ทำความสะอาดเสียเท่านั้นเองแอร์ก็มีตั้งสามตัว เรียกว่าเอาเครื่องมือทำมาหากินมาติดตั้ง ก็ทำการค้าได้เลย
และแม่นั่นแหละตอนก่อนจะเปิดร้านได้ แม่กับพี่เลี้ยงของฉันชื่อ "พี่แอ๋ม" เป็นคนเชียงราย แม่จะเอาฉันไปส่งโรงเรียนก่อนแล้วจึงค่อยๆมาทำความสะอาด ถูพื้นเป็นสิบๆรอบ ลงน้ำยาเสียขาว ห้องน้ำสะอาด ทำอยู่แบบนี้เป็นอาทิตย์ๆ เพราะไม่มีใคร เนื่องจากตอนนั้นมีแค่แม่กะพี่แอ๋ม 2 คน พ่อฉันเปิดร้าน แต่ภาระน่าจะกลายเป็นของแม่
ตั้งแต่ ทำความสะอาด ตกแต่งสถานที่ หาวีดีโอ พิมพ์รายชื่อเข้าเครื่อง สมัยนั้น ร้านแม่เป็นร้านแรกที่ใช้ระบบบาร์โค๊ด มีเครื่องสแกนบาร์โค็ต ทันสมัยกว่าร้านใดใด จะรู้หมดว่าม้วนไหนลูกค้าคนใดเช่าไป เพราะจะมีทั้งรหัสเรื่อง รหัสม้วน ซึ่งการพิมพ์รายชื่อ หนังเป็นพันๆ ก็มาจากฝีมือแม่ทั้งสิ้น ยังรวมไปถึงการสแกนปก ทำสติ๊กเกอร์ พิมพ์บาร์โค๊คเพราะสมัยก่อนวีดีโอเป็นระบบอัด ไม่ใช่มาสเตอร์แบบปัจจุบัน ร้านวีดีโอนี้ แม้จะเล็ก แต่ดูทันสมัยที่สุดให้ย่านนั่น ขนาดที่ลูกค้าบางรายจะเข้า ถามว่า
"ผมต้องถอดรองเท้าไหมครับ"
" ไม่ต้องค่ะ "
" แต่ผมไม่กล้าเหยียบเลย ร้านสะอาดสะอ้านนัก ข้าวของก็เป็นระเบียบ ดูหรูหรา"
แล้วคนนั้นก็ถอดร้องเท้าเข้ามา

ในยุคนั้นร้านวีดีโอดีๆยังไม่แพร่เข้าไทย มีแต่ร้านท้องถิ่นที่ดูรกๆ ไม่เป็นระเบียบ แต่วีดีโอร้านเรา
มีปกทุกม้วนแม้จะเป็นของสแกนก็ตาม ใส่กล่องเหมือนมาสเตอร์ และเทปวีดีโอใช้เทปม้วนใหม่หมด
การอัดก็เครื่องรุ่นใหม่ หัวอัดแบบสีทองพิเศษ ที่จะให้ภาพและเสียงคมชัดกว่าเดิม

ในวันเปิดร้าน พี่นก จากบ้านป้าเดือน ป้าเดือน และลุงทิน และเรารับพนักงานเพิ่มสี่คน มาช่วย
วันนั้นแม่บอกว่า นอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าเปิดร้านแล้วจะมีคนเข้าร้านไหม เพราะว่า ร้านเราแพงที่สุด
เนื่องจากเน้นคุณภาพ สมัยนั้นเขาเช่ากันม้วนละ 20 บาท แต่ร้านเรา ม้วนละ 30บาท ยกเว้นการ์ตูนกับหนังจีนชุดเท่านั้นที่ม้วนละ 20บาท

เราขึ้นป้ายผ้าหน้าร้านว่า "สมัครสมาชิกฟรี 100ท่านแรก เท่านั้น" ร้านเปิดตั้งแต่ 6.00-24.00น
ร้านส่วนใหญ่ปิดสี่ทุ่ม แต่ร้านเราเก็บลูกค้าที่เลิกงานดึกด้วย อีกอย่างเพราะค่าเช่าแพงมาก
แต่ทำเลนับว่าใช้ได้ใกล้ตลาดและโรงงานหลายแห่ง

วันเปิดร้าน เปิดปุ๊บ มีคนรอหน้าร้านตั้งแต่เปิดประตูร้าน
"วันนั้นะพลอยไม่ถึงครึ่งวันสมาชิกมาสมัครไม่รู้มาจากไหนนัก สิบโมงเช้าเต็มร้อยคนแล้ว เราเลยต้องขยายรับสมาชิกฟรีทั้งวัน วันเปิดร้าน พนักงาน พี่นก แม่ ป้าเดือน ช่วยกันเขียนรายชื่อกรอกเข้าเครื่อง ทำเช่า
ยืนกันตั้งแต่ หกโมงเช้าจนค่ำก็ยังมีคน วันเดียวได้สมาชิกพันเศษได้ ไม่รู้มาจากไหนนัก เล่นเอาเทปที่ลงแค่สามพันม้วน เกือบหมดร้านเลย ค่าเช่าวันแรกได้สามหมื่นกว่าบาท ขนาดไม่รวมค่าสมาชิก"

วันนั้น ไม่มีใครได้ทานข้าวเลย ลืมหิวไปเลยจนกระทั่งสามทุ่ม มันเหนื่อยมาก แต่เหนื่อยบนความดีใจ
คุณยายคุณตาก็มาด้วย มาเห็นคนแน่นไปหมด เลยพาพวกเราไปทานข้าวแทนแม่ซึ่งยุ่งมากเนื่องจากลูกน้องก็ใหม่ แม่เองก็ใหม่ แม่ของฉันสิน่าขำมาก
แม่เป็นคนชอบอ่านหนังสือมากกว่าดูวีดีโอ แม่ไม่รู้จักดาราดังๆสักคน ขนาดซิลเวสเตอร์ สตาโลน
ที่แสดงแรมโบ้ หรืออาโนล จากคนเหล็ก แม่ยังไม่รู้จักเลย
"สมัยเปิดร้าน ลูกค้ามาถามหาหนังไม่รู้จักสักเรื่อง ดีที่ร้านเรียงตามรหัสเรื่องไว้ เลยหาถูก" แม่เล่า
"อยู่หน้าร้านหลายๆวันเขา เลยรู้แล้วว่า นี่คือจุดอ่อนอย่างรุนแรง แม่จึงเริ่มดูวีดีโอแบบรวดเร็ว พอรู้แนวหนัง
เริ่มจากหนังดัง ต่อด้วยหนังดาราดัง หนังเข้าโรง และเริ่มรวมรวมวีดีโอที่แสดงโดยคนๆเดียวกัน จัดเรียงเป็นหมวดหมู่นักแสดง เปลี่ยนแนวการจัดไปเลยสำหรับดาราดัง" แม่เล่าต่อ
"แม่ดูหนังวันละสิบเรื่องได้มั้ง ดูแล้วก็กรอให้เร็วๆ พอดูหนังเด่นจบแล้วก็หันไปดูหนังที่ไม่ค่อยมีคนเช่า และก็เจอเรื่องดีๆหลายเรื่อง ที่คนไม่เคยหยิบ แต่แม่จะแนะนำหนังดีๆเหล่านั้นให้ลูกค้าได้"
จากคนไม่ดูหนังเลย กลายมาเป็นต้องดูหนังทุกเรื่อง จนลูกค้าติดแม่เลยทีเดียว
ถามเรื่องไหนบอกได้หมด
เวลาลูกค้าอยู่ในร้าน แม่จะพยายามเปิดหนังที่ดีๆแต่คนไม่ค่อยรู้จักเพราะไม่เข้าโรงพวกนี้ เน้นเปิดเฉพาะ
ตอนมันๆ ไม่นาน ม้วนที่เปิดอยู่ มักจะโดนคนเช้าทุกครั้ง นี่เป็นเทคนิคในการเสนอสินค้าของแม่
นี่แหละแม่ฉัน ชอบมีการพัฒนา อยู่เสมอ
และอย่างรวดเร็ว ปรับตัวได้ง่าย
เรื่องร้านนี้มีเรื่องแปลกๆและขำๆอีกมาก
เรื่องเจ้าที่เฮี้ยนนั้นก็มีเรื่องหนึ่งคือ เสียงเคาะประตู ตอนนั้นร้านสาธุฯ จะเปิดหกโมงเช้า คนเปิดร้านคือพนักงานผลัดเช้า
วันไหนที่พนักงานลงมาช้า เพราะเขาต้องมาเอากุญแจในห้องนอน แม่ก็จะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องนอน ตอนหกโมงตรงพอดี พอเปิดออกไปก็ไม่มีใครอยู่ เพราะพนักงานยังไม่ลงมา
วันหนึ่งพ่อยังอยู่ในห้องยังไม่ไปทำงาน แม่ก็ได้ยินเสียงเหมือนเช่นเคยในวันที่พนักงานมาเปิดร้านช้า แต่คราวนี้แม่ไม่ลุกไปเปิดประตู แกล้งนอนเฉยเสีย แต่พ่อฉันลุกไปเปิดประตู
พอพ่อเดินกลับมา แม่ก็แกล้งถามว่า
"ใครมาเรียกหรือป๊า "
" ไม่รู้เหมือนกัน ไปเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นมีใคร " พ่อตอบ แต่แม่อมยิ้ม
แม่บอกว่า "มันเป็นบทพิสูจน์ว่า แม่ไม่ได้หูแว่วไปเอง ในหลายๆวันที่ผ่านมา เพราะเสียงนี้จะได้ยินเวลาหกโมงตรงทุกวันหากร้านยังไม่ได้เปิด แต่หากวันไหนพนักงานเปิดหน้าร้านแล้วก็จะไม่ได้ยิน
และเรื่องเจ้าที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พนักงานขโมยเงินก็จะมีเหตุให้แม่จับได้ แบบคามือเลย หรือพนักงานหนีไปเที่ยวเวลาแม่ไม่อยู่ ก็จะทำให้แม่ทราบได้ทุกครั้งไป
มีวันหนึ่งที่ขำคือ
ครั้งที่พวกพนักงานปีนตึกลงมาจากชั้นสามที่มีหน้าต่างเหล็กดัดที่เปิดได้สำหรับใช้หนีเวลาไฟไหม้
พวกพี่นก พี่แอ๋ม พี่ปุ้ย หนีเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวกะผู้ชายข้างร้าน โดยใช้ทางนั้นปีนผ่านชั้นสองที่เรานอนกันบ่อยๆ และวันนั้น แม่ก็เห็นพอดี ปกติม่านปิดอยู่ ถ้าไม่สังเกตุก็จะไม่เห็น เราจึงเห็นแค่เงารางๆปีนมายืนที่เชิงขั้นสอง แนวกันสาด ก่อนจะกระโดดลงไป แม่ทราบมาก่อนแล้วว่าพนักงานของแม่ชอบหนีเที่ยวโดยปีนลงไปทางหน้าต่างร้านออกทางระเบียงแล้วกระโดดลงไป จะกลับมาตอนประมาณเที่ยงคืน เพราะร้านทองบอกแม่ถึงพฤติกรรมของลูกน้องสาวๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แอบดูเด็กหนุ่มร้านขายของเก่าอาบน้ำที่ดาดฟ้าเวลาเลิกงานเที่ยงคืน ลูกน้องสาวๆก็แอบดูจากชั้นสามห้องอัดเพราะร้านค้าของเก่าเป็นตึกแค่สองชั้น และคืนนี้แม่ก็เห็นกับตา
แทนที่แม่จะไปห้ามหรือว่า เปล่าเลยแม่ฉันไม่ว่าอะไร แต่เดินขึ้นไปชั้นสามเพื่อล็อคกุญแจหน้าต่างเหล็กดัดบานที่ใช้สำหรับเป็นทางหนีไฟที่พวกพี่ๆใช้ปีนออกไปข้างนอกและปีนกลับมาทางหน้าต่างบานเดิม แล้วแม่ก็นอนสบายๆ
เช้าตรู่แม่ก็ไปเปิดร้านและไปส่งฉันกับน้องที่โรงเรียนตั้งแต่ตีห้าครึ่งเหมือนปกติ พอเปิดร้านออกไป ก็พบพี่ๆนั่งกันหน้าสลอน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่หน้าร้านเรียงแถวเลย
แม่ก็ทักว่า "เป็นไงบ้าง อากาศข้างนอกสบายดีไหม ไปเปิดร้านได้แล้ว " แม่ทักยิ้มๆ
แค่นั้นแหละค่ะ
พวกพี่ๆยกมือไหว้ขอโทษ เป็นแถว "หนูขอโทษค่ะ จะไม่ทำอีกแล้ว"
นี่แหละวิธีทำโทษลูกน้องของแม่ แม่ไม่ดุ แต่ชอบกลั่นแกล้งเล็กๆ ให้สำนึก

ระหว่างที่อยู่ที่ร้านนี้ พ่อก็ยังสามารถพูดได้ดี แม่จะเดินขัดๆอยู่ และเริ่มแย่มากขึ้น แต่พ่อก็ยังใช้ชีวิต ทำงานข้างนอกของพ่อตามเดิม กับไปร้านลาดบัวขาว ชีวิตพ่อไม่เคยหยุดนิ่ง
พ่อที่ฉันไม่ค่อยเคยเห็นหน้า นอกจากได้ยินเสียงพ่อกรนยามหลับ มันช่างดังมากมายจนคนที่หลับยากอย่างแม่ฉันไม่ได้นอน การนอนของแม่คือหลับคาโต๊ะทำงาน
แล้วตื่นมาส่งลูกไปโรงเรียนตอนตีห้า ดูลูกแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วหอบน้องเล็กที่ยังไม่ไปโรงเรียนแต่ต้องติดตามไปส่งพี่ๆทุกวัน กับฉันและน้องเยี่ยมที่เรียนอยู่แถวคลองเตยไปแต่เช้า เพื่อป้องกันรถติด และประหยัดค่าแท๊กซี่ แล้วก็ไปทานอาหารเช้าที่โรงเรียน ที่สะอาดสะอ้านราคายุติธรรม
ตอนเย็น แม่ก็จะไปรับพวกเรา และนั่งสอนกลางบ้านที่โรงเรียนเราทั้งสองคน จนเสร็จพร้อมแบบฝึกหัดเสริมที่แม่เตรียมมาจากบ้าน ตามที่แม่เห็นว่าลูกของแม่มีข้อบกพร่องตรงจุดไหน เสร็จงานสองอย่างของพวกเรา ก็จะปล่อยให้น้องเยี่ยมเล่นจนถึงหกโมงเย็น พวกเราจึงจะกลับบ้าน เหตุผลก็คือ อากาศที่โรงเรียนดีกว่า ไม่อยากให้ลูกๆอุดอู้อยู่แต่ในห้องและฝุ่นจากร้านข้างๆ
ฉันมองว่า แม่คงอึดอัดมาก แม่โตมาจากบ้านกว้างขวางเนื้อที่ 600 ตารางวา ไม่เคยอยู่ห้องแถว
แม่คงอึดอัดที่ชีวิตทั้งวัน อยู่ในห้องที่หน้าต่างเปิดไม่ได้เพราะฝุ่น แต่แม่ไม่พูดเท่านั้นเอง
พวกเราทุกคนก็คิดถึงบ้านเดิมที่เคยอยู่ แต่เราไม่อยากพูดเหมือนกัน
นี่ล่ะมั้ง ชีวิต ไม่มีเส้นทางของใครที่จะเรียบและสงบได้ตลอด .........................

พ่อของฉันยังคงไปหาหมอและไปนวดเป็นประจำแต่อาการก็เลวร้ายลงอยู่ดี จากการสั่นกระตุกของกล้ามเนื้อ
จากขาเป็นแขนเพิ่มขึ้น มหกรรมทานยาแปลกยังคงมีกันต่อไป รวมทั้งสารพัดน้ำมหัศจรรย์ราคาแพงต่างๆ ที่ใครบอกว่าดี ก็ต้องซื้อมาทานทั้งนั้น
แต่พ่อจะดีขึ้นได้อย่างไร
พ่อยังไม่ค่อยพักผ่อน หมกหมุ่นกับการทำเงินและขยายกิจการ การย้ายมาอยู่ร้าน ทำให้พ่อทำงานมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะพ่อมักตัดไม่ขาด เป็นโรคกลัวลูกน้องโกง เพราะชีวิตพ่อโดนโกงบ่อย โดยเฉพาะจากเพื่อนสนิทมิตรสหาย ที่จะมีจริงใจจริงๆไม่กี่คน และสุดยอดเพื่อนคนหนึ่งก็คือ "ลุงหนวดของพวกเรา ที่จริงใจเสมอ"
เพื่อนบ้านแถวร้านวีดีโอนี้ มันเป็นสังคมของพ่อค้าแม่ขาย ที่คนแถวๆนั้นกลับยกย่องแม่ฉันมากกว่าใคร เพราะฉันเห็นพ่อค้าแม่ขายแถวนั้น เรียกแม่ฉันนำหน้าด้วย" คุณ................."ทุกครั้ง
แต่แม่ฉันก็ไม่ยุ่งกับใคร แค่ทักทายอุดหนุนตามปกติเท่านั้น แต่คงเพราะไม่ยุ่ง ไม่ชอบการนินทา
เลยทำให้ใครๆเกรงใจมากกว่า อีกอย่างแม่มีน้ำใจ โดยเฉพาะกับแม่ค้าที่ขายของหน้าร้าน แม่ไม่เคยเก็บค่าเช่า เลยไม่ว่าจะตอนรอบเช้าและรอบเย็น แม่ค้าเหล่านี้ เลยเหมือนประชาสัมพันธ์ชั้นดี เชิญชวนคนมาเข้าร้าน เพราะหน้าร้านรอบเช้าชื่อ เจ๊เหลียน ใครๆว่า แกปากกรรไกรโรงพยาบาล แต่แกก็เคารพเกรงใจแม่ แถมเอาใจแม่อย่างดีเสมอ ส่วนคนรอบกลางคืนชื่อ เจ๊ดำ ทำอาหารอร่อยราคาประหยัดลูกค้าเยอะ
" อย่าไปเก็บเขาเลย ถือว่าเขาเป็นหูเป็นตา เพราะเขาเป็นคนถิ่นนี้ ร้านเราปิดดึก จะได้มีเพื่อน ให้คนครึกครื้น"
"สมัยนี้ เซ่เว่นยังโดนปล้นเลย" แม่บอก
ร้านวีดีโอนี้ ไม่เคยปิดสักวัน เวลาเทศกาลร้านอื่นๆปิดเช่นสงกรานต์ ตรุษจีน แต่ร้านนี้ไม่เคยปิด เพราะแม่ประกาศว่า ใครกลับบ้านกลับไป อยู่เองได้ แต่ใครอยู่ แจกทอง ไม่ยักมีใครกลับเลย แม่ซื้อทองให้คนละสลึง
แต่รายได้วันเทศกาลที่ร้านอื่นๆปิดนะ วันละเฉลี่ยประมาณห้าหมื่นบาท ถ้าปิดคงเสียดายแย่
แม่พาลูกน้องไปเที่ยวแบบไปตอนห้าโมงเย็นไปทะเลและค้างหนึ่งคืนแล้วก็กลับมาเปิดร้านห้าโมงเย็นช่วงคนมาก แม่ไม่เคยพักแต่ก็ยังปลีกเวลาพาลูกน้องไปเที่ยวได้

ลูกน้องของแม่แต่ละคนก็แปลกๆ ส่วนใหญ่เป็นคนเมืองกาญจนบุรี เขาเคยมีอาชีพเก็บพริกมาก่อน เก็บวันละกระสอบได้ค่าแรงแค่ห้าสิบบาท บ้างก็ตัดอ้อยจนมือบาดหมด แต่แม่เอามาสอน ทุกคนได้เดือนละสี่พันห้าร้อยบาท ตามอัตราขั้นต่ำสมัยนั้น แต่ที่แปลกคือ พอสิ้นเดือน แม่จ่ายค่าจ้างให้ลูกน้อง แต่พ่อแม่ของพวกเขากลับนัดกันมาเอาเงิน พอบอกว่าให้เงินลูกคุณไปแล้วนี่ เขาว่าแม่ใหญ่เลยว่า
"คุณให้มันทำไม มันก็ใช้หมดสิ" แม่ของพี่ปุ้ยลูกน้องคนหนึ่งพูด
"เขาทำงานให้ฉัน ฉันก็ต้องจ่ายค่าจ้างให้ ไม่ใช่แม่ทำงานนี้" แม่แย้ง
" ไม่ให้เขาจะกินใช้อย่างไรเล่า" แม่เริ่มโมโหกะแม่ๆพวกนี้
วันนั้น ลูกน้องของแม่ต้องถอดทองที่คอออกให้แม่ของเขาไป ทองที่แม่ซื้อให้ตอนอยู่ทำงานช่วงวันหยุด
พวกเราเคยไปตามบ้านพี่ๆพนักงานพวกนี้
เป็นชนบท อาชีพพ่อแม่คือ รับจ้างทั่วไป ยามได้เงินทองจากลูกมา ก็นั่งเล่นไพ่ กินเหล้า หมดเงินเมื่อไหร่ค่อยออกไปรับจ้าง ....
ฉันนึกในใจว่า "มิน่าถึงจน"
พนักงานของแม่ไม่มีใครอยากกลับบ้านสักเท่าไหร่

เรื่องจากวันนั้น ทำให้แม่ไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้เต็มจำนวน พนักงานเลยมีสมุดเงินฝากมาฝากเงินไว้กับแม่ แล้วแม่ก็อดไม่ได้อีก พวกแม่ๆพวกนี้ช่างมาเอาเงินตามเวลาสิ้นเดือนจริงๆ พวกพนักงานของแม่
ไม่มีเงินก็เริ่มมีขโมยเงินร้านให้ต้องตรวจกันบ่อยๆ วิธีการก็คือ ไม่ทำยืม เพราะเป็นเครื่องคอมมันมีข้อมูลเงินอยู่ ดังนั้นเลยไม่ทำยืม ให้เช่าเปล่าๆเลย แต่แม่ตรวจเจอเพราะม้วนไหนที่มาคืน มันต้องขึ้นว่า"คืน" ไม่ใช่ขึ้นมาว่า "วีดีโอม้วนไม่ได้ถูกยืมออกไป" สุดท้ายต้องมานั่งจับขโมย และแม่ก็จบลงด้วยยอมรับคำขอโทษจากลูกน้องเพราะความสงสารและแม่ก็อดไม่ได้ที่ต้องแบ่งอาหารของแม่เองให้พนักงาน หนักๆเข้า แม่ก็เลยให้พนักงานทำอาหารให้แม่แต่เยอะหน่อยเหลือพวกเขาก็กินกันไป
สรุปให้เงินเดือนเต็มตามอัตรา แล้วยังต้องเลี้ยงอาหารสามมื้อ รวมที่พักอาศัยอีก

เรื่องพนักงานมีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้ที่สุดคือ เรื่องพี่สองคน ชื่อ ชล กับ น้ำ
สองคนนี้เป้นคนสุรินทร์ หนีมาทำงานที่ร้าน แม่เข้าใจว่าเขามาหางานทำเหมือนคนอื่น ก็รับไว้ ไม่นานแม่ของสองคนนี้ก็มาจะเอาตัวลูกกลับ ลูกของเข้า เข้ามากอดเท้าแม่กราบแล้วว่า
" คุณขาช่วยอย่าให้แม่เขาเอาตัวไปเลย" พี่ชลกับน้ำร้องไห้กอดเท้าแม่
" ฉันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร พวกเธออายุไม่ถึง १५ปีเลย " แม่แย้ง
"ทำไมไม่อยากกลับ ตอนเธอมาเธอมาโกหกฉันว่าแม่ให้มา"
แล้วพี่สองคนก็เล่าว่า "แม่ของหนูเอาหนูไปขายให้กับคนเขมรค่ะ หนูไม่อยากเป็นเมียมัน"
แม่อึ้งไปเลยก่อนถามว่า " ขายเท่าไหร่เหรอ"
" หมื่นหนึ่งค่ะ" ทั้งสองคนตอบ
"หมื่นเดียวนี่นะ "

ตอนนั้นแม่ฉันบอกว่า ถ้าหมื่นเดียวก็อยากจะซื้อไว้เลยทีเดียว เพราะช่วงนั้นเงินก็พอมีอยู่
"นี่ หมื่นเดียวฉันจ่ายให้ก็ได้ อย่าเอาลูกไปเลย ยังเด็กอยู่เลย อยู่นี่เขาจะได้เรียนได้ด้วย"
" ไม่ได้ค่ะคุณ ฉันเอาเงินเขามาใช้แล้ว และรับปากไปแล้ว ถ้าไม่ทำ พวกนี้มันจะฆ่าเอา"
แล้วเขาก็เล่าว่า พวกนี้เขาซื้อเอาไปแต่งงานเพื่อจะเข้ามาอยู่ในไทยได้ และพวกเขมรมันโหด
หมู่บ้านเขาติดชายแดน เรื่องแบบนี้คือเรื่องปกติ
วันนั้น แม่ต้องตัดใจ แต่บอกว่า "หากพูดกับแม่ได้ แล้วค่อยมาแล้วกันนะ ชล น้ำ"
"จริงๆนะคุณ " แม่รับปาก
แต่พี่สองคนนั้นก็ไม่กลับมาเลย

"ไม่คิดเลยว่าจะเจอแม่ใจร้ายที่ขายลูกกินได้อยู่อีก" แม่รำพึงอย่างเศร้าใจ
อย่างพนักงานที่ชื่อ"พี่แอ๋ม"ที่เป็นพี่เลี้ยงฉันด้วยตั้งแต่ฉันเกิดอยู่กับแม่มาเป็นห้าปี ไม่มีเรื่องไม่ซื่อสัตย์ พ่อแม่พี่แอ๋มก็ไม่เคยมาหาที่กรุงเทพเลย จะรอให้พี่แอ๋มกลับเอาเงินไปให้ปีละครั้งซึ่งก็มากพอควร เพราะพี่แอ๋มทำงานบ้าน กินอยู่กับบ้านเรา ของใช้แม่ก็ซื้อให้ ไม่มีขาด เงินเดือนพี่แอ๋มจึงถูกฝากไว้ที่ธนาคารเสมอทุกเดทอน พอปีใหม่ที่พี่แอ๋มกลับบ้าน พ่อแม่ของพี่แอ๋มจึงได้เงินก้อนโตพอควรสำหรับคนจนๆทีเดียว
พี่แอ๋มเป็นคนลำปาง อ้วนๆ แต่ทำงานใช้ได้พอสมควรแต่ที่อยู่กับแม่ได้เพราะของแม่ไม่เคยหายเรียกว่าในสายตาแม่พี่แอ๋มคือลูกจ้างที่แม่ไว้วางใจ
แต่พอพี่แอ๋มมาเป็นแคชเชียร์ที่ร้านวีดีโอ พฤติกรรมของพี่แอ๋มและพ่อแม่ก็เปลี่ยนไป
พ่อแม่พี่แอ๋มเดินทางมาหาลูกสาวทุกเดือนและบางเดือนๆละสองครั้ง ทั้งๆที่ต้องเสียค่าเดินทางไม่น้อยทีเดียว รายได้โดนยักยอกอย่างแยบยลโทยการให้เช่าตอนกลางคืนดึกๆแล้วไม่ทำว่าเช่าเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ รายได้ค่าเช่าก็จะไม่ขึ้นที่เครื่อง เวลารับเงินก็รับแล้วยื่นม้วนกันไปเฉยๆ รับเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียว ในที่สุดแม่จับได้ เพราะมีการนำเทปมาคืนตอนที่แม่อยู่พอดีคอมพิวเตอร์ขึ้นว่าเทปไม่ผ่านการเช่า แรกๆไม่กี่ม้วน แม่ก็คิดว่าบังเอิญ ทุกครั้งที่เครื่องขึ้นแบบนั้น แม่จะถามว่าเช่าไปตอนไหนคะกับใคร แต่แม่ไม่ถามพนักงานจนแน่ใจว่าความสงสัยของแม่ถูกต้อง แม่ว่า
"ถ้านานๆเจอทีก็คงคิดว่าเป็นความสัพเพร่าของพนักงาน แต่นี่อะไร แค่นั่งอยู่ไม่นานเจอไปหลายสิบ และมาจากการเช่ากับพนักงานคนเดียวกัน"
แม่บอกกับพนักงานทุกคน
แล้วพี่แอ๋มก็สารภาพเรื่องนี้ ไม่มีคำว่าอภัยแค่ไม่จับส่งตำรวจแม่ให้พี่แอ๋มกลับบ้านไม่รับเข้าทำงานอีกต่อไป
ไม่ว่าพี่แอ๋มจะขอร้องหรือร้องไห้อย่างไรก็ตาม
" เธอก็รู้นี่นะฉันไม่เลี้ยงคนไม่ซื่อสัตย์"
แม้แม่จะเสียดายลูกน้องที่อยู่กันมานานแต่แม่ก็ตัดใจ
บทเรียนสอนแม่ว่า
"บางครั้งพระเดชมันศักดิ์สิทธิ์กว่าพระคุณ นายจ้างบางคนโหด ลูกจ้างกลัวและไม่กล้าทำผิดเลย"
เรื่องพนักงานทำความร้อนใจให้แม่เสมอ บางครั้งก็ตบตีกับดังลั่นเพราะแย่งวิทยุกัน เช่นรายพี่ศรีและพี่ปุ้ยที่มาปลุกแม่ตอนตีสองที่นอนอยู่ชั้นสอง
ก็อกๆๆๆๆๆ"คุณคะ มีคนตบกัน" พี่พนักงานคนหนึ่งมาเรียกกลางดีก
" ศรีกับปุ้ยมันตบกันค่ะ หนูห้ามมันไม่ฟังคุรไม่ห้ามที"
" ไปเรียกมานี่ ทั้งสองคน"
พอพี่ทั้งสองมา "เรื่องอะไรกับมาตบกันกลางดึกเล่ามาสิ"
จากการสอบถามก็คือ สองคนนี้ฟังเพลงคนละแบบแล้วก็แย่งวิทยุกันไม่แบ่งกันใช้
" ไปเอาวิทยุมา ในเมื่อมีแล้วทะเลาะกัน ไม่ต้องใช้ทั้งหมดทุกคน" แล้วก็สั่งพี่นกว่า
" เอาสองคนนี้ให้ไปนอนในห้องอัดทั้งคู่ ล็อคห้องซะ อยู่บ้านเดียวกันตบกันดีนักตบไปเลย ห้ามหยุดนะ ไปเลยพรุ่งนี้เช้าจะมาดูว่าใครชนะ" แม่สั่ง
แต่พอพี่สองคนไปนอนด้วยกันในห้องอัด กลับไม่มีเสียงแม้เสียงทะเลาะกัน เงียบสงบ
เช้ามาพอแม่ให้พี่นกไปเปิดก้เห็นสบายดีทั้งคู่ไปตบตีกัน
" จะตบกันอีกไหมจะได้ให้อยู่ต่อ"
" ไม่แล้วค่ะ" ทั้งสองคนรับคำ
..........................
พนักงานร้านเรามียี่สิบกว่าคนหากรวมทุกๆร้านแต่ละคนมีที่มาแตกต่างกัน ปัญหาร้อยแปด แม่ต้องปกครองร้านรวมทั้งพนักงานตั้งแต่อายุไม่มากทั้งๆที่นิสัยแม่ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วหลังจากปิดกิจการ แม่ก็เบื่อการมีลูกจ้างไปเลย

นี่แหละ การย้ายที่อยู่ของฉันมาอยู่ร้านค้า ชีวิตที่ยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยปัญหาของคนที่อยู่ร่วมกัน
และมันก็คือบททดสอบที่ทำให้รู้จักความอดทน ไม่ว่าจะลำบากเบื่ออย่างไร ชีวิตก็ต้องก้าวต่อไป.......................
ปัญหาร้านวีดีโอมีมาก เช่นลูกค้าไม่ยอมจ่ายค่าปรับ
ลูกค้าขโมยเทปวีดีโอไปเป็นเป็นไส้หนังโป๊มา แล้วเด็กเล็กๆที่เช่าการ์ตูนกลายเป็นได้ดูหนังโป๊แทน
เทปมักโดนขโมยบ้าง ไม่คืนบ้าง กลัวเสียค่าปรับแล้วไม่มาเช่าต่อบ้าง
ทำการค้าไปมา ม้วนเทปเลยกองเต็มร้าน
ลามขึ้นไปถึงชั้นห้า ต้องหาซื้อชั้นวางหนังเก่าๆ มาจัดไว้ให้หาเจอได้ง่าย
ส่วนคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าปรับบางคน ขนาดที่ต้องบอกว่า
"กองเทปไว้หน้าร้านเลยค่ะ และคุณไม่ต้องเดินเข้ามา"

เรื่องลูกค้ารายนี้มีอยู่ว่า สมัยหนึ่งเป็นช่วงลิขสิทธิ์เข้ามาใหม่ๆ บังคับให้ทุกร้านต้องเป็นเทปมาสเตอร์ทั้งหมด
และเข้าระบบเช่าผ่านเครือข่ายซีวีดี CVD
จะมีคนมาเช็คยอดเงิน หากไม่จ่าย ร้านก็ต้องจ่าย
เงินขาด ร้านก็โดนปรับ
เทปหายก็ต้องจ่ายในราคาเต็ม
วุ่นวายไปทั่วสำหรับกิจการร้านวีดีโอช่วงนั้น
หนังใหม่ยืมได้วันเดียว
เกินกำหนดปรับวันละ 10บาท
เล่นเอาวันเริ่มโครงการ ต้องยืนอธิบายให้ลูกค้าฟังจนถึงร้านปิด ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
แต่ลูกค้ารายนี้ ฟัง ทราบ แต่ไม่ปฏิบัติซะงั้น
" ผมไม่จ่าย "ลูกค้ายืนกราน
" ผมไม่ได้เช่ากับบริษัทซีวีดี ผมไม่ทำตาม "
นั่นแหละ ไม่ว่าแม่จะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่จ่าย จึงจบลงด้วยการถอดสมาชิกและห้ามเข้าร้าน
แล้วลูกค้าคนนี้ก็ไปเช่าร้านใหม่ ซึ่งก็เป็นร้านอีกสาขาหนึ่งของเราที่สะพานสี่ แต่คนละชื่อร้าน
แล้วปัญหาเดิมก็เกิด
ตอนแม่ทราบ เพราะพนักงานโทรมาบอกว่า
" ถ้าฉันรู้ว่าเป็นคุณจะไม่ให้สมัคร พอดีลูกน้องฉันไม่ทราบ" แม่บอก
" ถ้ารู้ว่าเป็นร้านของคุณผมก็ไม่สมัครหรอก" ลูกค้าตัวแสบเถียงใส่
"ดีใจมากเลยค่ะที่ได้ยินเพราะหากฉันรู้ว่าเป็นคุณคงบอกพนักงานไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ให้รับ ไม่มีสมาชิกยังดีกว่ามีสมาชิกแบบคุณ"
แต่สมาชิกคนนั้นก็ยังต้องไปหาเช่าวีดีโอร้านอื่นๆอยู่ดี
แต่หลังจากนั้นแม่ก็ส่งรายชื่อคนนี้ไปทั่วทุกสาขารวมทั้งสาขาคนที่รู้จักด้วย
ไม่นาน ก็ทราบมาว่า แต่ละสาขา ไม่เอาคนนี้
และลูกค้าคนนี้ก็หายหน้าไปสักสองเดือน แล้วกลับมาทำสมาชิกอีกหน แม่จำได้ แต่แกล้งทำเป็นจำไม่ได้และทักทายด้วยไมตรีอันดี คราวนี้ลูกค้าคนนี้จ่ายค่าปรับแล้ว คงเพราะหาที่ให้เขาเช่าไม่ได้

ปัญหาของการเปิดร้านวีดีโอก็มีตั้งแต่เรื่องลิขสิทธิ์ เรื่องตำรวจก่อกวนหรือจะมาเช่าฟรีแบบถือบัตรเบ่งขนาดว่าร้านของเราไม่ทำอะไรที่ผิดกฏหมายก็ยังจะต้องมีการเก็บส่วยเหมือนเป็นธรรมเนียม ซึ่งแม่ฉันไม่ชอบใจอย่างมากเพราะคิดเสมอว่าทำไมต้องจ่ายในเมื่อทำมาหากินสุจริต
ตอนเปิดร้านใหม่ๆ ก็มีตำรวจที่ยศน้อยๆมาบอกลูกน้องของแม่ว่า สารวัตรให้มาเอาหนัง ลูกน้องของแม่ก็ถามหาบัตรสมาชิกตำรวจพวกนั้นก็ว่าไม่มี แบบว่าพูดตรงๆคือจะเอาฟรีน่ะแหละ แต่พี่ๆที่ร้านสาธุฯไม่เข้าใจ ก็บอกว่าให้ทำสมาชิกก่อน ตำรวจก็ยึกยักแล้วก็ขอพบเจ้าของร้าน
พี่นกก็ขึ้นไปบอกแม่ที่ชั้นสอง
" คุณคะ มีตำรวจเขามาบอกว่าสารวัตรให้มาเอาหนัง20ม้วนค่ะ "
" ก็ให้เขาทำสมาชิกก่อนสิ ทุกคนก็ปฏิบัติเหมือนกันหมดแหละนก"แม่บอก
พี่นกอึกอักแล้วบอกว่า "หนูบอกเขาแล้วค่ะ เขาขอพบคุณ"
"ไม่ต้องหรอกก็ทำเหมือนลูกค้าทุกๆคนแหละ "แม่ฉันก็งงตอบไปแบบไม่รู้ธรรมเนียมเหมือนกัน
สำหรับแม่การปฏิบัติกับลูกค้าก็กฎเกณฑ์เหมือนกันหมดเพราะร้านแม่ก็มีตำรวจใหญ่ๆยศสูงๆเป็นสมาชิก
เหมือนกันแม่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอย่างๆไรกับลูกค้าตำรวจคนนี้
" พี่นกกลับลงไปแล้วก็ขึ้นมาพร้อมนามบัตรหนึ่งใบ"ตำรวจที่มาเขาฝากมาให้ค่ะ แล้วจะขอพบเจ้าของร้าน
" รำคาญจริง อะไรกันนักกันหนา โอเคเดี๋ยวลงไป"
แม่ลงไปหน้าร้าน มีตำรวจกลุ่มหนึ่งประมาณ6คนมายืนๆเลือกหนังอยู่ พอแม่ลงไปก็ตำรวจนายหนึ่งก็ถามแม่ว่า "เจ้าของร้านหรือ สารวัตรให้มาเอาหนัง "
" สารวัตรชื่ออะไรล่ะ ไหนบัตรสมาชิก"
" ไม่มี สารวัตรสั่งว่าให้มาบอกว่ามาเอาหนัง"
" ที่นี่บริการเฉพาะสมาชิก ไม่มีสมาชิกยืมไม่ได้ สารวัตรชื่ออะไรเอาเบอร์มาเดี๋ยวโทรไปถามเอง ร้านนี้ก็มีตำรวจใหญ่ๆเป็นสมาชิกหลายคนหากเขาให้ใครมาเช่าก็ต้องเอาบัตรสมาชิกมาทั้งนั้น เอาบอกมาสารวัตรชื่ออะไร จะโทรไปถามเองหากลืมเอาบัตรมา"
"งั้นไม่ต้องก็ได้ ไปโว้ยกลับ" แล้วนายคนนั้น ที่แม่ดูยศแล้วก็ระดับน้อยๆก็ชวนพรรคพวกกลับไป
" อย่าไปให้มันนะนก ไม่ต้องไปสน แม่บอกพนักงานที่ร้าน เราทำการค้ามีต้นทุน นายมันบอกหรือแอบอ้างมาเอาฟรีก็ไม่รู้ ถามชื่อก็ไม่ให้ เห็นไหมตำรวจดีๆ เขาก็มาเช่าไม่เห็นเขาจะมาขอฟรีเลย"
พนักงานของแม่ก็รับคำ เรื่องตำรวจกับส่วยดูจะมีอยู่ทั่วไปในสังคมไทย บ้างก็ส่วยให้เทศกิจสำหรับการค้าขายริมฟุตบาท บ้างก็ส่วยหาบเร่ที่ชาวบ้านขายตุ๊กตากล้วยหอมจอมซน สมัยฉันเด็กๆคำว่าลิขสิทธิ์กำลังฮิต ทุกสิ่งทุกอย่างมีลิขสิทธิ์หมด ฉันเคยเห็นยายแก่ๆ หาบตุ๊กตากล้วยหอมจอมซนที่ฮิตสมัยนั้นหนีตำรวจ แล้วหนีไม่ทัน ตำรวจก็จับยายแล้วเอาตุ๊กตาไปหมดฉันนึกแปลกใจว่า ยายแก่ๆเหล่านั้น จะรู้จักคำว่า "กฎหมายลิขสิทธิ์หรือ" ยายก็คือชาวบ้านจนๆธรรมดาคงรับตุ๊กตาจากโรงงานมาขายเพราะรู้ว่าหน้าตากล้วยหมอจอมซนบีหนึ่งบีสองนี้คือสิ่งที่เด็กๆชื่นชอบ แทนที่ตำรวจจะจับยายแก่ๆที่หาบขายก็คงกำไรวันละไม่กี่ร้อย ขายได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ต้องหาบตุ๊กตาขายตั้งแต่เช้าตามถนน ร้อนก็ร้อนแล้วต้องมาเจอตำรวจไล่จับอีก ทุนหายกำไรหด แบบนี้ ตำรวจน่าจะจับคนผลิตที่ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ดีกว่าหรือ เพราะฉันก็เห็นเทปผีซีดีเถือนออกเกลื่อนเมือง แต่ไม่ค่อยจะไปจับกัน ผู้ใหญ่ก็มักจะพูดว่า พวกนายทุนใหญ่ๆเขาจ่ายใต้โต๊ะ หรือส่งส่วย เงินเลยกลายเป็นเครื่องมือเบิกทางในการทำผิดได้
ความคิดในวัยนั้นของฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมข้าราชการที่รับใช้ประชาชนต้องทำแบบนี้ เพราะบัญญัติคำว่า"ตำรวจ"ในหนังสือภาษาไทยของฉันนั้นคือ คนที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน หรือมีหน้าที่จับผู้ร้ายที่ทำไม่ดี ตำรวจที่ดีก็มี อย่างตำรวจจารจรหน้าโรงเรียนฉันยืนโบกรถท่ามกลางควันจากท่อไอเสียที่ฉันเห็น ลุงตำรวจต้องเป่านกหวีดมือคอยโบกรถทั้งร้อนและเหม็น น่าเหนื่อยแทน พอปีใหม่ทางโรงเรียนฉันจึงมักให้ของขวัญปีใหม่ลุงตำรวจคนนี้
และพ่อฉันก็ยังคงพักผ่อนน้อยเหมือนเดิม................
พ่อฉันหมกมุ่นอยู่กับการหาเงินๆๆแล้วก็หาเรื่องลงทุน
ที่จริงพ่อก็เป็นแบบอย่างของคนที่ไม่ยอมแพ้ ในช่วงแรก
แม้ขาจะเดินแสนลำบากแต่พ่อก็ยังขับรถไปทำงาน
แม้ร่างกายจะไม่เป็นใจแต่ใจยังสู้ต่อ
แม้กายจะอ่อนล้าแต่สมองไม่เคยหยุดนิ่งที่จะหารายได้สู่ครอบครัว
แต่พ่อก็เป็นแบบอย่างของคนที่ไม่ยอมรับความจริง พ่อโทษสิ่งต่างๆรอบตัวที่ทำให้พ่อเป็นแบบนี้แม้กระทั่งโทษว่า เพราะพ่อไปบนไว้ว่าขอให้น้องเล็กเกิดมาปลอดภัย มีอะไรก็จะให้หมด พ่อบอกว่า
" อาจเป็นเพราะที่พ่อบนไว้ก็ได้เจ้าที่พ่อบน เลยมาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพ่อ"
แต่มันมีประโยชน์อย่างไรหากเงินที่ได้มา ไม่มีโอกาสได้ใช้
หรือเงินที่ได้มาด้วยความลำบากกลับต้องใช้เพื่อการรักษาตัวเอง
วันแล้ววันเล่า.................
มีแต่ความหวังอันเลื่อนลอย....
แล้วชีวิตในห้องแถวเล็กๆก็ต้องดำเนินต่อไป
แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ใจก็ต้องสู้ทน

ตอนที่ 8 : หมอเก่งของอาม่า





วันนี้ เราได้มาถึง
วัดย่านฝั่งธนบุรี ตามบัญชาของอาม่าแม่ของป๊ะป๊า ที่ว่าหมอนี้เก่งนักหนา เพื่อนอาม่าแนะนำมา ทุกครั้งที่มีรายการหมอเก่ง แม่จะรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาเสมอ รวมทั้งพวกเราด้วย แม้คราวนี้แม่จะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่แต่ก็ยังมีความหวัง
ก่อนมา แม่เข้าใจว่า คงเป็นหมอโบราณเหมือนหมอวัดโพธิ์ การแพทย์แผนโบราณประมาณนั้น ท่หมอคนรักษา
อาจจะสมถะ สันโดษช่วยเหลือคนอยู่ตามวัด
เมื่อมาถึงวัด รถยนต์หรูหรา ที่จอดอยู่มากมาย บ่งบอกความดังของหมอได้ดีในระดับหนึ่ง สถานที่ของวัดช่างร่มรื่น ใหญ่โต พวกเราอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่มาสถานที่ใหม่ๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นวัดไทย เพราะเห็นเหมือนศาลา
โล่งๆให้คนรอเต็มไปหมด เขาเข้ามารอเพื่อรับบัตรคิว และก็ยาวเหยียดมาก คนที่มาดูมีหลายระดับ บ้างก็ดูมั่งมี
บ้างก็ดูยากจน ระหว่างรอ พวกเราเดินสำรวจวัดข้างใน อ้าววัดไทยแต่มีมังกร ท่าทางจะไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้ว
ข้างใน เป็นลานกว้างๆ มีรูปปั้นมังกร ศาลามังกร สีแดงๆ สวยงาม แผนผังเหมือนในหนังจีนบู๊ลิ้ม
ที่จะจัดบ้านเหมือนสี่เหลี่ยม กลางบ้านคือลานประลองยุทธ โล่งๆ ที่นี่จะมีอีกที่หนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นโบสถ์
มีพระพุทธที่ดูคล้ายพระจีนมากกว่า มีคนรออยู่แล้ว นั่งคุยกัน เจ้าหน้าที่หรือเด็กวัด ก็มาบอกว่า
วันนี้ หมอลงบ่ายโมง มาั้ตั้งแต่เช้าเพื่อมารอรับบัตรคิว และรอต่อไปจนถึงบ่ายโมง
แต่ไม่เป็นปัญหาเลย มีโรงครัว อาหารน่าทานเป็นอาหารเจที่ดูสะอาดสะอ้านน่าทาน ทานได้ไม่อั้น
พอเขาตั้งเสร็จ ก็มาเชิญทุกๆคนให้ไปตักทานตามใจ จะรวมเป็นกลุ่มกินกันหรือจะต่างคนต่างกินก็สุดแต่ความต้องการ

พอได้เวลาหมอมา............................ทุกคนที่นั่งคุยจอแจอยู่ก็เงียบเพราะมีคนมาบอกว่าหมอมาแล้ว
ตอนเดินเข้ามาเป็นคณะเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉันก็พยายามมองว่า คนไหนเป็นหมอ ก็ยังไม่เห็นคนไหนจะ
ดูคล้ายหมอสักคน แต่คนนั่งข้างๆบอกกันว่าคนตรงกลาง หมอที่ฉันเห็นคือผู้ชายอายุประมาณ 40-45 ปี
ดูธรรมดามาก มีเด็กผู้ติดตามมาห้าคน คนแรกตามหลังหมอ มีหน้าที่พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจแล้วแปลเป็นไทยให้เราฟัง อีกคนมีหน้าที่เรียกคิวมาถาม อีกสามคน จ่ายยา ตามหมอสั่ง และรับเงินบริจาค
จากคิวแรกผ่านๆไป การรับบัตรคิว เขาจะให้กรอกวันเดือนปีเกิดของผู้ป่วย ตอนรับคิวด้วย
เวลาหมอวินิจฉัย มันน่าแปลกที่ คนไข้จะมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ ก็แปลกดี
พอถึงคราวหมอเรียกแม่ แม่ก็ไป
"คนป่วย ป่วยมานานแล้วใช่ไหม แต่หาสาเหตุไม่พบ" หมอพูด (พูดภาษาไม่รู้จักแต่มีคนข้างหลังแปล)
"ใช่ค่ะ " ถามเหมือนรู้
"ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่เดินไม่ค่อยได้ ใช่ไหม" หมอถามอีก
"ใช่ค่ะ"
"เป็นกรรมเก่าน่ะ ให้ไปเอายันต์ ยันต์อันนี้ไม่ค่อยให้ใครนะ วันนี้จะให้คุณ และเอายาไปทานชุดนึง ยันต์เอาต้มน้ำดื่มส่วนนึง และใส่น้ำอาบส่วนหนึ่ง"
"ค่ะ"

พอถึงโต๊ะยา มีขันใส่เงินวางไว้ ไม่มีการบังคับให้จ่าย แต่มีสายตานับร้อยจ้องอยู่
แม่ฉันจ่ายไป ยี่สิบบาท แล้วก็เดินไปรับยาและผ้ายันต์
แต่มีอีกหลายๆคนก่อนหน้านี้ จ่ายเป็นบึกๆก็มีมาก

ตอนนั้นฉันนึกในใจว่า แม่ฉันท่าจะงกน่าดู แต่ทราบภายหลังว่า แม่มีเงินแค่พันสองร้อยบาทในวันนั้น
ไหนจะค่ารถกลับบ้านแท๊กซี่ก็ไกล ไหนจะค่าอาหาร งานแม่แต่ละวันรับเงินมาก็ใช้ไปจนหมด
แม่บอกฉันภายหลังว่า "ในเมื่อเขาเขียนว่า ตามแต่ศรัทธา แม่จะศรัทธาได้อย่างไร แม่สังเกตุว่า กี่คนๆก็ยาถุงแบบเดียวกันนี้มีสามชุด ยาอะไรก็ไม่รู้ ป่วยอะไรๆก็เหมือนกันหมด ก็คงมีคนหายนะ แต่คงไม่ได้หายเพราะหมอนี่หรอก" แม่ว่า
"แต่หมอเขาก็พูดเรื่องป๊ะป๊าถูกนี่คะแม่" ฉันแย้ง
"พลอย ร้อยทั้งร้อย มาหาหมอแบบนี้ เพราะไม่ค่อยมีหวังทั้งนั้นแหละ แต่จะมีกี่คน กินยาหมอนี่แล้วไม่รักษาหมออื่น แม่ไม่เชื่อเด็ด ยกเว้นคนๆนั้นเป็นโรคอุปทาน"
ฉันนิ่ง เพราะคิดว่า มันก็จริงนะ ผ้ายันต์ สกปรกๆ ที่เขาส่งให้เผาแล้วกินกะอาบ มันจะรักษาพ่อฉันให้หายได้อย่างไร กับยาดำๆเขียวๆ ชุดละสามเม็ด ยาอะไรก็ไม่รู้

วันนั้น พอกลับไปบ้าน แม่ก็บอกตามหมอสั่งมา
แต่ตามด้วย " ถ้ากล้ากินก็กินไปนะ จะทำให้ ผ้ายันต์เผาไฟ ที่เขียนทองๆท่าทางจะมีสารตะกั่วนี่น่ะ"
แล้วแม่ก็เผาผ้ายันต์ทำตามที่หมอบอก แบ่งส่วนหนึ่งใส่น้ำให้ป๊าดื่ม กับใส่น้ำให้อาบ
แต่แม่ก็ไม่ได้สนใจว่า ป๊าฉันจะกินหรือไม่กินอย่างไร
แม่ของฉันกับเรื่องพวกนี้ดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้ เรื่องเจ้าเข้าทรง แม่ไม่เคยเชื่อ
เจ้าอะไรแม่ก็ไม่เคยจำ แม่ไปเพราะอาม่าบอกว่าหมอดีแค่นั้น
เข้าตำรา ไม่ลองไม่รู้นั่นเอง

แล้วแม่ก็ทำกับข้าวตามปกติ

วันนั้น ตอนเรานั่งทานข้าวกันอยู่ ก็มีคนมากดออดหน้าบ้าน
"ใครมาน่ะ" พลอยไปดูสิ
ฉันออกไปดู มีผู้ชายคนหนนึ่งกับผู้หญิง ที่ไม่คุ้นหน้าเลย
"แม่ ไม่ทราบค่ะ ไมู่้รู้จัก" ฉันร้องบอก
ประตูรั้วเปิดอยู่ ผู้ชายกะหญิงคนนั้นก็ผลักประตูเข้ามาเลยมาถึงประตูด้านในตรงที่ฉันยืนอยู่

"สวัสดีครับ " คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้ใช่ไหม
"ค่ะ" แม่ตอบรับอย่างงงและไม่พอใจนิดๆที่เขาถือวิสาสะเปิดเข้ามาเลย
"ผมจะมาบอกว่า บ้านหลังนี้ผมซื้อไว้แล้ว และคุณต้องย้ายออกไปภายในเดือนนึง"
แม่ยืนนิ่ง " ค่ะ" คำพูดที่ออกมาจากปากเบามาก
สองคนนั้นบอกว่า เขาซื้อจากการขายทอดตลาด สายตาที่กวาดมองทั่วบ้านของเรา เขารู้สึกพอใจบ้านเราไม่ได้รกสกปรก แต่ดูกว้างสวย ทาวเฮ้าสองชั้นสองหลังติดกัน ที่เจาะทะลุเชื่อมกันอย่างตั้งใจเป็นห้องครัว
ห้องอาหาร มุมรับแขก ห้องนั่งเล่นแบบญี่ปุ่น ห้องซักรีด ห้องคนรับใช้ ห้องน้ำด้านล่างมีสองห้อง ห้องครัวเล็กๆ แต่ก็ทันสมัย ด้านบน มีห้องนอนใหญ่ ที่ใช้เนื้อที่ด้านบนทั้งหลัง ที่ห้องนอนใหญ่นี้ แบ่งเป็นห้องนอน
และห้องแต่งตัว ที่มีมุมวางของเล่นลูกๆ อย่างเป็นระเบียบ รวมทั้งห้องน้ำใหญ่สวยมาก ห้องนี้ผนังสีครีม และพรมสีชมพูอ่อน ลานจอดรถปูกระเบื้องสวยงาม มีมุมไม้กระถาง หลายอย่าง บ้านเราจึงดูใหญ่ที่สุดในบริเวณบ้านแถวๆนัน

ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอนกลางที่ใช้สำหรับให้ฉันและน้องสาวนอนด้วยกันสองคน จัดเป็นสองเตียง สีขาวฟ้า พรมสีฟ้าอ่อนเข้ากัน

ห้องนอนที่สาม เป็นพรมสีน้ำเงิน เฟอร์นิเจอร์สีเทาอมฟ้าอ่อน สำหรับน้องเยี่ยม

บ้านเราจึงเป็นบ้านที่มีสามห้องนอน สี่ห้องน้ำ ที่มีเนื้อที่ใช้สอยเต็มพื้นที่ภายในจึงดูกว้างขวาง

สำหรับฉัน มันคือบ้านของเรา ที่ฉันอยู่ตั้งแต่เด็กๆ และฉันก็รักมันมาก

และวันนี้
เป็นวันที่มีคนแปลกหน้า มาบอกว่า บ้านของเรากลายเป็นบ้านของเขาไปเสียแล้ว

บรรยากาศในบ้านดูซึมเศร้าไปในทันตา อาหารตรงหน้าทานไม่ลงอีกต่อไป
แม่ขึ้นข้างบนไปแล้ว ไม่พูดอะไร

ฉันหันไปมองป๊ะป๊า ป๊านิ่งเงียบ พวกเราเลยเดินขึ้นข้างบนบ้าง

เราสามคนเข้าไปเคาะห้องแม่
แม่มาเปิดประตู รอยน้ำตาที่ยังอยู่บนใบหน้า
ไม่มีคำพูดใดใด นอกจาก แม่โอบกอดลูกไว้ทั้งสามคน แล้วร้องไห้เงียบๆ

เรื่องนี้ เป็นเพราะว่า ป๊าอยากลงทุน จนขอบ้านนี้ไปจำนอง แม่เล่าว่าสมัยเปิดร้าน เราต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละเก้าหมื่น ทำได้เท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยหมด ตอนแรกเรามีร้านเดียว รายได้ก็ดี แต่ป๊าขยายซะสี่ร้าน
แต่ละร้านลงทุนค่าเซ้งตึก ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตกแต่ง อุปกรณ์ ค่าเทป มากมายทีเดียว ด้วยความที่แม่ไม่อยากทะเลาะเพราะความอยากลงทุนของใคร ก็เลยยอมยกบ้านที่ป๊าใช้เป็นของหมั้นให้เขาไปจำนอง ป๊าฉันไม่ไ้ด้ทำธุรกิจแค่นี้ ป๊าชอบซื้อขายบ้าน วางเงินไว้ แล้วบ้านขายไม่ออก ซื้อที่ดินไว้แล้วที่ขายไม่ออกก็มี
ด้วยความที่ป๊าอยากรวย เลยทุ่มเงินกับการลงทุนจนหมดตัว พอป๊ะทำงานไม่ได้ ทุกอย่างจึงมีแต่หนี้ๆๆๆๆ

ไม่นานพวกเราทั้งห้าคน ก็ย้ายจากการนอนที่บ้าน ไปสู้นอนที่ร้านวีดีโออย่างถาวร

แม่ของฉันยอมรับโชคชะตาอย่างสงบ แม่ไม่ขนอะไรไป เพราะไม่รู้จะขนไปไหน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ให้ป้าเดือนขนไปไว้ที่ไร่ เพราะไม่มีที่เก็บ แม่โทรไปถามเรื่องค่าขนย้ายถอดเฟอร์นิเจอร์เขาคิดตั้งสามหมื่นห้า แม่เลยตัดใจ ทิ้งมันไปเลย ยกให้คนอื่นที่เขาต้องการไปหมด ของทุกอย่างยังดูใหม่ สวยงาม แต่แม่หันหลังแล้ว
ก็ไม่ขอเก็บอะไรไว้เลย

ร้านวีดีโอของเราอยู่สาธุประดิษฐ์ 37 เป็นร้านเล็กๆ ติดกับร้านค้าของเก่า ในตึกห้าชั้น ข้างในปูหินอ่อนที่ชั้นสอง สาม สี่ ห้า ข้างล่างสุดเป็นพื้นกระเบื้อง ตกแต่งค่อนข้างดี เพราะเจ้าของเป็นคนสมัยใหม่ มีฐานะ นิสัยดีด้วย ว่ากันว่าที่ร้านนี้นั้น ใครๆมาทำก็จะเจ๋งทุกรายไป ไม่ว่าจะทำกิจการอะไร ยกเว้นร้านวีดีโอของแม่
ที่ลูกค้าแน่นร้าน ตั้งแต่วันแรก เหตุผลที่เขาล่ำลือกันก็คือ " เจ้าที่แรง" หรือ "ผีดุ" นั่นเอง

ตอนมาเห็นที่นี่ใหม่ๆ พ่อพามาดู ตอนแรกแม่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับกิจการ เพราะแม่ชอบอาชีพเรียบๆตรวจสอบบัญชี วางระบบบัญชี คือช่วยงานป๊ะป๊าฉันไปเรื่อยๆ ไม่ชอบสมาคมกับใคร แต่งานมันเยอะมาก จนแม่นั่งทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงตีสาม จนแม่ขณะนั้นท้องลูกคนที่สองถึงกับแท้งไปเลย ส่วนพ่อฉัน
ทำงานมากมายอยู่แล้ว กลับถึงบ้านก็ตีหนึ่งตีสองเสมอ กว่าลูกค้าจะกินด้วยคุยด้วยจนเสร็จ
แม่เคยทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

"นี่เฮีย ทำไมไม่รู้จักปฏิเสธลูกค้าบ้าง เวลาคุยงานทำไมไม่คุยเฉพาะเวลาทำงาน นี่อะไรเย็นไปกินข้าวกว่าจะกลับดึกดื่น ลูกค้าคุณก็น่าจะมีความเกรงใจบ้างนะ คนแต่งงานแล้วน่าจะให้เขากลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวกันบ้าง ไม่ใช่สมัยก่อน ที่ยังโสด" แม่เริ่มว่าในวันหนึ่ง

" ไม่ได้หรอก ลูกค้าพวกนี้ชอบคุยเรื่องสำคัญๆ นอกบริษัท เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน อีกอย่างก็ทำให้สนิทสนมกับเขา" ป๊าฉันตอบ

" แต่มันก็น่าจะมีปฏิเสธกันบ้างนะ อาทิตย์นึงไปครั้งเดียวยังพอทน นี่อะไร ทุกวัน คุณทำงานสิบบริษัืท ชวนกันบริษัทละวัน พ่อแม่ลูก ไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลย เช้าลูกไปเรียน คุณก็ยังไม่ตื่น กว่าคุณจะกลับลูกก็หลับหมดแล้ว " แม่ฉันไม่ยอม ประท้วงต่อ

" ป๊ะก็บอกว่า อะไรนี่เหงาก็ไปห้างสิ แล้วจะทำบัตรเครดิตไว้ให้ " พ่อฉันสรุป

พ่อไม่รู้เลยว่า แม่ฉันไม่เหมือนผู้หญิงอื่นๆ แม่ไม่ชอบเที่ยว ของที่แม่ซื้อส่วนใหญ่คือของลูกเสมอ ก็ของๆฉัน เสื้อผ้าสวยๆของฉันกับน้อง เสื้อผ้าดูดีของน้องเยี่ยม หรือสื่อการเรียนการสอน สิ่งที่แม่ซื้อเสมอ คงเป้นตำราคอมพิวเตอร์ของแม่ แม่ฉันจบบัญชีมา แต่สนใจด้านคอมพิวเตอร์ ขนาดที่เรียนด้วยตัวเองจนประกอบอาชีพด้านคอมพิวเตอร์ได้ พอแม่ไม่ทำงานบัญชี แม่ก็มาเริ่มต้นงานด้านคอมพิวเตอร์จากการที่แม่ทำไว้ดูเอง
แม่ชอบเอารูปลูกๆ มาใส่เพลงเพราะๆดูเพลิดเพลิน สมัยนั้น การเปิดวีซีดี ในการแต่งงานยังไม่มีเลย แต่แม่ฉันก็เล่นทำรูปประกอบเพลง ใส่ตัวหนังสือบรรยาย แล้วแม่ก็ไปเปิดให้ป้าเดือนดู จากนั้นป้าเดือนก็อยากให้ทำให้บ้าง แม่ก็ทำให้เป็นที่สนุกสนานของแม่ จากนั้นแม่ก็คิดว่าอยากทำแบบนี้ให้คนอื่นๆบ้าง
แม่มองเห็นทำเลดีๆ คือตามเค้าเตอร์ไปรษณีย์ตามห้าง จำได้ว่าชื่อ post net กับ mail box เพราะบริการพวกนี้มักอยู่ตามทางเข้าออก ซึ่งตอนนั้น มีที่ห้างแถวบ้านฉันพอดี

แม่บอกว่า แม่มองอยู่หลายวัน แต่แม่ไม่มีเงินลงทุนที่จะเช่าอะไรพวกนี้ในห้างหรอก แล้วแม่ก็เริ่มเลย
แม่เริ่มจากการเดินเข้าไปที่บริการไปรษณีย์ แล้วถามว่า
"ขอโทษนะคะ ดิฉันอยากจะคุยกับเจ้าของจะติดต่อได้อย่างไรคะ " แม่ลุยเข้าไปถามเลยอย่างคนกล้าๆกลัวๆ
"คนนั้นค่ะเจ้าของ พอดีมาพอดีเลย" พนักงานบอก
"สวัสดีค่ะ" แม่เดินเข้าไปทักทาย
เจ้าของที่นั่นท่าทางใจดี เรียบร้อยบุคคลิคดี ดูมีฐานะ
"ดิฉันอยากจะฝากวางแผ่นโฆษณา สักขนาด A4 ที่เค้าเตอร์ได้ไหมคะ แล้วหากมีคนมาใช้บริการจะให้ทางร้าน 10 เปอร์เซ็น" แม่คุยตรงประเด็นเลยทีเดียว
นี่ค่ะ แล้วแม่ก็เอาแผ่นวีซีดี ที่มีรูปฉันและน้องชายแต่งชุดหล่อสวย ทำเป็นปกเรียบร้อย มีสกรีนแผ่นสวยงามน่ารัก ให้เจ้าของซึ่งชื่อคุณป้าปราณีดู ฉันเห็นท่านรับมาดูอย่างสนใจ แล้วบอกแม่ว่า
"น่ารักจัง ลูกๆหรือคะ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวจะให้ลูกชายมาคุยแล้วกันนะ มาพรุ่งนี้เวลานี้นะคะ เดี๋ยวจะบอกให้ลูกชายมาคุย" คุณป้าปราณี ตอบอย่างใจดี

วันนี้แม่กลับบ้านด้วยสีหน้ามีความหวังมาก
วันรุ่งขึ้น แม่ไปตามนัด ลูกชายและลูกสาวคุณปราณีมาคุย
แล้วลูกชายคุณปราณีก็บอกว่า "มันน่าสนใจนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปเปิดดู แล้วป้ายเป็นอย่างไรครับ"
วันนี้ แม่อุตส่าห์พกพาป้ายมาพร้อม แม่พิมพ์ข้อความง่ายๆ คือ รับแปลงรูปภาพลงแผ่นวีซีดี พร้อมใส่เพลงประกอบ และรับแปลงวีดีโอทุกชนิดลงแผ่นวีซีดี แล้วแม่ก็ติดตัวอย่างประกอบ ก็กล่องและวีซีดีรูปฉันกะน้องเยี่ยมอันเดิมนั่นแหละ

ลูกชายคุณปราณีรับมาดูแล้วก็ยื่นไปให้น้องสาวดู เธอรับมาดูอย่างพอใจสอบถามแม่อยู่พักเกี่ยวกับรายละเอียดว่า จะให้ทางร้านทำอย่างไรบ้าง
"ทางร้านแค่รับเทป แล้วกรอกรายละเอียดลูกค้าตามแบบฟอร์ม เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร แล้วเก็บเงินมัดจำตามอัตราที่เรากำหนดไว้ให้ค่ะ รวมทั้งนัดเวลารับของ ออกใบรับของให้ลูกค้าซึ่งจะใช้เวลาสามวันนับจากวันฝากของค่ะ จากนั้นโทรบอกเรา เราจะมารับของไปทำค่ะ "
" ส่วนยอดเงินให้ทำบัญชีไว้เคลียร์กันทุกๆสิ้นเดือนค่ะ "

และแม่ก็ได้งานนี้ และความโชคดีของแม่นั้นคือ เจ้าของคนนี้มีอีก 25สาขา ซึ่งแม่ฉันก็วางหมดทุกสาขาในห้างสะดวกซื้อ ที่ใกล้บ้านพอจะไปรับของได้ รวมทั้งเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้านด้วย
แล้วของทำเล่นของแม่ ก็กลายเป็นอาชีพ ที่ทำเงินเลี้ยงครอบครัวได้อยู่นานหลายปี แม้ธุรกิจร้านวีดีโอของพ่อจะต้องปิดตัวลงเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนดู ที่จากวีดีโอเป็นดูวีซีดี หรือดีวีดีแทน แต่กิจการของแม่ก็ยังคงอยู่ โดนที่แม่ทำคนเดียว ทั้งกลางวันกลางคืน จากคนเพิ่งรู้จัก กลายเป็นมีลูกค้าประจำ งานที่แม่ทำ แม่ทำด้วยความปราณีต แม่ที่ไม่เคยฟังเพลง ต้องรู้จักเพลงเพื่อเลือกเอามาลงวีดีโอตามเนื้อหา เช่น ถ้าเกี่ยวกับรูปเด็กๆ แม่มักจะใส่เพลง "หนูอยากเป็นอะไร" หรือเพลง "รางวัลที่ยิ่งใหญ่","คู่แท้","ใช่เลย" ในรูปงานแต่งงาน หน้าปกก็จะเลือกเอาจากภาพสวยๆมาทำ รูปแบบสีสรรปกที่ดูเรียบ ทำให้งานของแม่เป็นที่ชื่นชอบจนมีลูกค้าประจำเป็นพรวน แต่แม่ก็มีกำลังทำน้อยเนื่องจากทำคนเดียว จากเครื่องคอมเพียงเครื่องเดียวจนมีสองเครื่อง

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของงานแม่ฉัน

ดังนั้นเรื่องการเปิดร้านวีดีโอจึงเป็นเรื่องเฉยๆสำหรับแม่ แต่แม่บอกว่า "เปิดมาก็ช่วย แต่จะบอกว่าชอบไหมก็ต้องบอกว่าไม่ชอบขายของ" แม่บอกกับพ่อแบบนั้น
แต่ร้านวีดีโอร้านนี้ก็กลายเป็นบ้านที่สองของเราอยู่พักหนึ่ง.........................