31/3/53

ตอนที่ 11 : ชีวิตกับความหวัง



ช่วงนี้พ่อของฉันดูมีกำลังวังชาขึ้น อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่ได้ร้านที่ต้องการสมใจ มันคงเป็นแรงกระตุ้น

ผสมกับแรงจูงใจให้ชีวิตมีความหวังต่อไป

ร้านยังไม่ทันจะเปิด แม่คำนวณค่าใช้จ่ายและหนี้สิน แต่พ่อกลับคำนวณรายได้ ตั้งแต่ร้านเยี่ยมยังไม่เปิดกิจการ

" ป๊าทำไมชอบคิดแต่ว่าเปิดร้านมันจะต้องกำไรอย่างเดียว ไม่คิดว่าสมัยมันเปลี่ยนไป วีดีโอกำลังจะหมดยุค

ไม่คิดบ้างหรือว่าเขาจะไปเล่นวีซีดีกัน ไม่คิดหรือว่า เราอาจขาดทุน ไม่คุ้มกับค่าปรับปรุงร้านที่ต้องลงทุนไป แค่ค่าดอกเบี้ยก็ไม่น่าจะคุ้มแล้วนะ" แม่ทักท้วงสีหน้าเปี่ยมสุข ที่มีหวังของพ่อ

" เฮียไม่เคยคำนวณอะไรพลาด วีซีดีคุณภาพไม่ดี ฝรั่งยังไม่ดูเลย คนรวยก็ข้ามไปดูดีวีดีกันหมด เชื่อสิ ไม่นานก็เลิกฮิต" พ่อของฉันเถียงอย่างมั่นใจ

แล้วก็ถึงวันที่ "ร้านเยี่ยมวีดีโอ " เปิดกิจการ

" ร้านเยี่ยมวีดีโอ" ตั้งอยู่แถวสะพานสี่ เลยสาธุประดิษฐ์ร้านเดิมไปแค่แยกเดียว อยู่บนอาคารค่อนข้างใหม่ เป็นตึกห้าชั้น สองห้องติดกัน ทาสีน้ำเงินขาวด้านนอกตึก มีป้ายไฟขนาดใหญ่หน้าร้าน ดูเด่นมาก

ผนังร้านภายในทาสีครีมอมส้ม ดูอบอุ่นและทันสมัย ประกอบกับชั้นวีดีโอสีเหลืองและขาว ทำให้ดูสะดุดตาสว่างไสว พื้นของร้านปูด้วยกระเบื้องยางสีเทาอ่อน แบ่งเป็นสองตอน ด้านหน้าวางวีดีโอภาพยนต์ต่างประเทศ วีดีโอจีน ไทย และการ์ตูน ที่ออกใหม่ๆ ไม่เกินหกเดือน แต่ชั้นสองของร้านจะเป็นวีดีโอที่สนุกเป็นเรื่องดีๆแต่ออกฉายนานแล้วและหนังจีนชุดมากมาย ทุกเรื่องที่มีเป็นวีดีโอ เรียกว่า ที่ไหนไม่มีเช่าแล้ว ที่นี่มีแน่นอน แต่ที่แตกต่างคือ ด้านล่างของร้านวีดีโอ แบ่งเป็นมุมเล็กๆ ให้บริการเช่าหนังสือการ์ตูนและนวนิยายด้วย เรียกว่า อะไรที่เป็นรายได้ พ่อของฉันก็เอาหมด พ่อยังคงรักษาคุณภาพของวีดีโอไว้เหมือนเคย แต่การรักษาคุณภาพนั้น มันทำให้เทปที่อัดเต็มร้าน ล้นไปหมด เพราะต้องใช้เทปใหม่อัดวีดีโอ ซึ่งร้านอื่นๆเขาจะอัดหนังใหม่ทับเรื่องที่ไม่มีคนดูแล้ว ทำให้ประหยัดต้นทุนได้ และสามารถอัดทับได้เรื่อยๆ หากเทปไม่เสีย เช่น ยับ ย้วย ขาด ขึ้นราเสียก่อน แต่ร้านของพ่อจะไม่ทำ ทำให้ต้นทุนร้านนั้นสูงกว่ามาก พ่อจะใช้เทปคุณภาพดี มันก็ทำให้มีราคาแพงกว่าคนอื่นอีกด้วย บางทีแม่ก็มองว่า เทปที่ไม่มีคนเช่าแต่วางรกร้านนี่ช่าง

ไม่คุ้มเลยจริงๆ เพราะม้วนวีดีโอมีขนาดใหญ่ เปลืองที่เก็บ บางเรื่องอัดเป็นร้อนม้วน เวลาคนไม่ดูแล้วก็กองเต็มร้าน จะมีจำนวนน้อยก็ไม่ได้ เพราะหนังชนโรงนั้น ความต้องการดูลูกค้าก็มีมากเวลาหนังออกเป็นวีดีโอใหม่ๆ คนก็แย่งกันเช่า หากไม่มีของให้เช่าลูกค้าก็หนีไปเช่าที่อื่น เผลอๆ ไม่กลับมาเช่าร้านเราอีกเลย

วันแรกของการสมัครสมาชิกร้าน ถึงแม้คนไม่มากมายเท่าที่ร้านสาธุฯ ที่เรียกว่าล้นหลาม แต่ก็ถือว่ามาก เพราะร้านเยี่ยมถือเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุด ทันสมัยที่สุดในย่านนั้น แม่ของฉันและพวกเราก็อดตื่นเต้นไม่ได้ คุณตาคุณยายก็มาจากชลบุรี อาม่า แม่ของพ่อ ก็มาจากคลองเตย ทุกๆคนล้วนลุ้นว่าจะมีคนเข้าร้านไหม และจะมีสมาชิกเท่าไหร่ในวันแรก แม่ไปตรวจดูความสะอาดและความเรียนร้อยของคอมพิวเตอร์ ฉันวางวีดีโอแต่เช้า ตลอดเวลาระหว่างเตรียมการเปิดร้าน แม่ต้องเป็นคนตีร์ชื่อหนัง ทำสต็อคหนัง ทำปก สติกเกอร์ ส่วนพนักงานก็ต้องอัดหนัง เช็คหนังที่อัดทุกม้วนเลยทีเดียว ส่วนพ่อฉันก็ไปทำงานกลางวันเหมือนเคย ดูๆไป ก็เหมือนแม่เปิดร้านมากกว่า เพราะคนทำคือแม่ฉันทั้งนั้น แม่ฉันยังหน้าตาเหนื่อยหน่าย แม่ไม่ยินดียินร้านกับร้านใหม่นี้ แต่แม่ก็ยังไปคอยต้อนรับลูกค้าที่มาสมัครสมาชิกร้าน ด้วยสีหน้าและถ้อยคำอ่อนหวานเหมือนเดิม พนักงานร้านเยี่ยม เครื่องแบบใส่กางเกงขายาว และเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนแขนสั้น ผูกเนคไท สีน้ำเงินมีลายการ์ตูรของวอลดิสนี่น่ารักๆ ดูทันสมัยลำลองกึ่งทางการ ดูทำให้ร้านของเรามีระดับขึ้นมาก ผนังร้านก็มีโปสเตอร์หนังสวยๆ ใส่กรอบตกแต่งผนังไว้ และยังมีเครื่องเสียงที่ต่อแบบโฮมเทียร์เตอร์ ทำให้เสียง

วีดีโอที่เปิดดูกระหึ่มเร้าใจ น่าเช่าเรื่องนั้นๆยิ่งนัก

วันแรกของร้านรายได้ก็เป็นที่น่าพอใจ พ่อดีใจจนออกนอกหน้า และยังคงวาดฝันถึงรายได้ที่จะมาจ่ายค่ายาของพ่อเอง จ่ายค่าดอกเบี้ย และยังคิดไกลไปถึงจะไปรักษาที่เมืองนอกทีเดียว

วันรุ่งขึ้น พ่อยังคงหยุดงานต่ออีกหนึ่งวัน พ่อไปเปิดร้านแต่เช้า พร้อมๆพนักงาน เรารับคนงานใหม่ที่เคยอยู่เซเว่นมาทำงานด้วย และเอาพนักงานที่เป็นงานและเก่งจากร้านสาธุฯเข้าไปทำด้วยมีพนักงานหญิงห้าคน และพนักงานผู้ชายหนึ่งคน พ่อบอกว่า หากร้านไปดี พ่อจะได้ไม่ต้องไปทำงานข้างนอก เพราะไม่นานพ่อก็คงไม่สามารถขับรถได้ เพราะตอนนี้พ่อก็อาการมากขึ้นแล้ว


วันนั้น พนักงานร้านเยี่ยมชื่อ พี่นก บอกว่า พ่อเดินเข้าร้านมา และ..........หกล้มหงายหลัง

แม่ที่กำลังไปส่งฉันและน้องที่โรงเรียน ได้รับโทรศัพท์ระหว่างทาง ว่าพ่อฉันล้มหงายหลัง

" โชเฟอร์ กลับที่เดิมเลยค่ะ" แม่บอกคนขับแท๊กซี่ แล้วให้ไปส่งที่ร้านเยี่ยม พอเห็นป๊าแม่ก็บอกว่า

" ป๊า ไปโรงพยาบาลนะ " แม่เรียกแท๊กซี่ทันที พ่อพยักหน้า แต่ปากพูดว่า ไม่ต้องมั้ง พักหน่อยเดี๋ยวคงหาย

" ไม่ ไปโรงพยาบาลเลย แม่ยื่นคำขาด เราไม่ใช่หมอ หากข้างในเป็นอะไรจะไปรู้ได้ยังไง"

พอถึงโรงพยาบาลประจำ ที่มีหมอประจำ หมอคนนี้ชื่อ"หมอเอ" หมอต้องสั่ง MRIนั่นก็คือ

การตรวจกระดูกด้วยคลื่นแม่เหล็ก การตรวจนี้ สามารถทำให้เราเห็นตั้งแต่กระดูก เส้นเลือด และเส้นประสาท มีสองแบบคือ แบบฉีดสีและไม่ฉีดสี หากฉีดสีก็จะเห็นชัดเจนกว่า
" ปลายประสาทของคุณมันแย่ขึ้นนะ มันฝ่อ "
" ยังขับรถหรือเดินมากอยู่หรือเปล่า" หมอถาม
พ่อพยักหน้าหมอจึงบอกว่า " ควรหยุดได้แล้ว มันอันตรายต่อตัวคุณ ขับรถในสภาพร่างกายแบบนี้ แล้วหากใช้ขามาก มันก็จะล้า ควรออกกำลังกายแค่เบาๆ" หมอแนะนำ แล้วก็จัดยาให้เหมือนเคย เป็นยาที่ฉันจำชื่อได้ว่าชื่อ นิวรอนติน และนิวโรเบียน ยาที่ใช้ในโรคนี้ให้หายนั้นไม่มี จะมีแต่ยาที่รักษาสภาพไม่ให้การเสื่อมเร็วนัก และยาบำรุงเส้นประสาทเท่านั้น และมีราคาแพงมาก หมอของพ่อคนนี้มักจะถามว่า เบิกได้ไหม หากตอบว่าไม่ได้ หมอเอก็จะเขียนใบสั่งยาให้ไปซื้อที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่หมอประจำอยู่ และส่วนหนึ่งก็ซื่อที่โรงพยาลที่มารักษานี้ หมอเอ ผู้เห็นใจคนไข้ เพราะท่านคงทราบว่าโรคนี้มันกินเงินนัก และไม่มีทางหาย หมอเอ เคยเอายาที่ญาติผู้ป่วยของคนที่เสียชีวิตจากโรคนี้ไปแล้ว แล้วเขาบริจาคยาราคาแพงนี้มาให้พ่อด้วย จากนั้นแม่ก็พาพ่อกลับไปพักที่ร้านที่สาธุฯ แล้วก็ไปซื้อยาที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง วันนั้นพวกเราไปกับแม่เหมือนเคย ยื่นใบสั่งซื้อยาแล้วรอเรียก ที่นี่เขาจะให้ยื่นใบสั่งยาก่อน แล้วก็รอเรียกเพื่อชำระเงิน แล้วถึงไปรับยาที่สั่งซื้อ ตอนที่เห็นราคาค่ายาที่ใบสั่งยา แม่กำเงินที่ถือในมือแน่น เพราะว่ามันคือ
เงินก้อนเดียวที่มีเหลือสำหรับเตรียมจ่ายค่าใช้จ่ายที่รอจ่ายอยู่ทั้งหมด เช่นค่าเทอมลูก ค่าเช่าร้านสาธุฯ มันไม่พอค่ายา และรายได้เมื่อวานก็หมดไปกับค่าตรวจหมดแล้ว รวมทั้งเงินค่าเทอมลูกบางส่วนด้วย...........
แม่รับใบจ่ายเงินมา ยังยืนนิ่ง ครุ่นคิด และกำเงินที่เหลือในมือแน่น เพราะแม่ไม่มีเงินพอ
" น้องคะ ฉันขอซื้อแค่ครึ่งเดียวได้ไหมคะ เอาเงินมาไม่พอค่ะ " แม่แจ้งเจ้าหน้าที่ห้องยา
เจ้าหน้าที่ได้ไปดำเนินการเปลี่ยนใบเสร็จ ตัดจำนวนลดลงแค่ครึ่งเดียว
แล้วเงินก้อนสุดท้าย ค่าเทอมลูกสามคนทั้งหมด ก็หมดไปกับค่ายาพ่อ
พวกเรากลับบ้านกันอย่างเงียบๆ ตลอดทาง แม่คงจูงมือน้องเล็กกะฉันพร้อมกัน อีกมือหนึ่งจะจูงน้องเยี่ยม แม้มีลูกสามคน แม่ก็จะจูงเราทั้งสามคนพร้อมๆกันเสมอ เราไปหาแท๊กซี่เพื่อกลับไปที่ร้าน
ระหว่างทางฉันชำเลืองเห็นน้ำตาคลอที่ดวงตาของแม่ ร้องไห้เงียบๆ คือแม่ของฉัน มือที่จับแม่อยู่ก็กำแน่นอย่างปลอบประโลมโดยไม่รู้ตัว แม้ฉันจะยังเด็ก แต่ฉันก็รู้สึกถึงอารมณ์แม่ดี และดูเหมือนน้องๆของฉันก็จะรับรู้ด้วย ถึงนั่งกันเงียบๆ จนถึงร้านสาธุฯ
" ป๊าเป็นไงบ้างดีขึ้นไหม" แม่ถามพ่อที่นอนพักอยู่ "อืม" พ่อตอบเคลียดๆ
แม่วางยาให้ข้างเตียงเงียบๆ
" ก็ทำตามที่หมอสั่แล้วกัน ร้านเยี่ยมน่ะปิดตีสอง ป๊าไม่ต้องอยู่ถึงตีสองหรอกนะ จะอยู่ทำไม จ้างคนแล้วก็ให้เขาทำไปสิ " แม่ว่า
" นายไม่อยู่มันก็เริงร่าสิ"
" แล้วจะให้ทำยังไง ในเมื่อคนเราก็มีมือ มีหัวแค่นี้ เมื่อคืนคืนแรกก็เหอะ แต่ต่อๆไป จะอยู่ถึงตีสองทุกคืนเลยหรือ จะนั่งเฝ้าเพราะกลัวพนักงานโกงนี่นะ ถ้าคนมันจะโกง กลางวันเราไม่ได้อยู่มันก็โกงได้"
พ่อนิ่งเงียบ แต่วันนั้นพอสักพักตอนค่ำๆ พ่อก็ไปดูแลร้านเยี่ยมอีก ไม่ฟังแม่เลย
พ่อของฉันจะตรวจบัญชี เคียร์เงินที่ได้กับคอมพิวเตอร์ว่าตรงกันไหมในตอนกลางคืน พ่อกะว่าจะอยู่จนตีสองทุกคืน พ่อจะกลับจากทำงานข้างนอกประมาณสามทุ่ม แล้วไปร้านเยี่ยมเลย พ่อซื้อข้าวทานแถวๆนั้น พวกเราช่วงนี้ แทบไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย เพราะพวกเราไปโรงเรียนตอนหกโมงเช้าที่พ่อยังไม่ตื่น พ่อจะตื่นไปทำงานประมาณเจ็ดโมงเช้า ตอนเย็นหลังเลิกเรียน แม่จะไปรับพวกเรามีอาหารว่างมาฝากและดูลูกทำการบ้าน และสอนการบ้านพิเศษที่แม่จะเขียนโจทย์เตรียมใส่สมุดมาให้ฉันกับน้องเยี่ยมน้องเล็กทำ ใครทำเสร็จก่อนก็จะได้ไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นที่โรเรียน หรือวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ แม่จะทำแบบนี้ทุกๆวัน เพราะแม่เห็นใจที่ลูกๆอยู่บนตึกแถวที่ไม่มีบริเวณ ห้องก็ปิดหมดเพราะกลัวฝุ่นเข้า หน้าต่างที่ไม่มีวันเปิดเพราะอากาศที่เข้ามาจะมีแต่ฝุ่นแล้วก็ฝุ่นจากร้านค้าของเก่า แม่ว่า ฝุ่นของถุงซิเมนต์มันอันตรายมากกับระบบทางเดินหายใจ ที่ตึกแถว ไม่มีอากาศหายใจสบายๆเหมือนที่โรงเรียนนื้ที่ยังมีที่โล่งๆ และต้นไม้ พวกเราจะนั่งทำการบ้านที่ซุ้มกาละเวกที่โรงเรียน ผู้ปกครองที่นั่น มักจะดูพวกเราและชมเชยว่า มีความรับผิดชอบทำการบ้านก่อนไปวิ่งเล่น โดยเฉพาะน้องเยี่ยมที่เป็นเด็กผู้ชาย แม่ก็จะยิ้มๆ ที่มีคนชมว่าลูกแม่น่ารัก
แม่จะทำอย่างนี้ทุกๆวัน พวกเราจะกลับถึงบ้านก็ค่ำๆ บางครั้งฉันรู้สึกด้วยซ้ำว่า แม่ไม่อยากกลับเลย แม่จะตรวจการบ้านและเขียนการบ้านพิเศษสำหรับพรุ่งนี้เตรียมไว้ รอให้รถไม่ติดในย่านนั้นแล้วค่อยกลับ ซึ่งเป็นการประหยัดค่าแท๊กซี่ด้วย
เวลาที่เรากลับบ้าน พ่อก็ยังไม่กลับ เราสามคนแทบไม่เคยเจอหน้าพ่อหรือพูดกับพ่อ ยกเว้นเห็นหน้าพ่อตอนพ่อหลับอยู่ เราทานอาหารเย็นกันสี่คน นอนกันสี่คน ไปไหนๆกันสี่คน พ่อทำงานไม่มีวันหยุดเหมือนเดิม พ่อทุ่มเทให้กับร้านเยี่ยมมาก พ่อมีรายการชิงโชคไว้จูงใจสูงค้า แถมรางวัลใหญ่ก็เป็นตู้เย็น พ่อจะไปซื้อตู้เย็นมาตั้งเลย รางวัลก็ทำเป็นฉลากใส่ไว้เลย ไม่มีอมหรือหลอกลวง บางทีคนจับตู้เย็นรางวัลใหญ่ไปได้ พ่อยังไปซื้อรางวัลตู้เย็นมาอีกอัน กำไรก็น้อย จากค่าลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น เพราะวีดีโอแตกตัวเป็นหลายค่าย พ่อกลับจูงใจลูกค้าแบบนี้ เรียกว่ากำไรแทบไม่มีเลย จนแม่ว่า แล้วจะทำทำไม จนเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ฉันทะเลาะกัน เมื่อวันหนึ่งแม่ไปที่ร้านเยี่ยมแล้วเห็นตู้เย็นอีก
" อ้าวนก ลูกค้าจับได้ตู้เย็นไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังมีตู้เย็นอีกล่ะ " แม่ถามพี่นกพนักงาน
" เฮียซื้อมาใหม่ค่ะ แล้วเพิ่มรางวัลที่ฉลาก"
แม่โทรไปหาพ่อฉันเลย
" ป๊าซื้อตู้เย็นมาทำไมอีก รางวัลที่หนึ่งเราตู้เย็นมันออกไปแล้วนี่"
"ก็ออกไปแล้วสิ ถึงต้องเพิ่ม เดี๋ยวลูกค้าไม่มีเช่าเพราะเห็นรางวัลใหญ่ออกไปแล้ว "
" อ้าว ก็รางวัลเล็กๆก็ยังมีนี่ เครื่องเล่นวีดีโอ ดูฟรี นาฬิกา มันก็มีอีกมากมาย จับได้แล้วก็แล้วไปสิ"
" น่า เรื่องของเฮีย ร้านของเฮีย น้องอย่ายุ่งน่า"
" เอ้อดี ทีลูกค้า อะไรๆก็ประเคนให้หมด ที่ลูกเมีย ไม่มีจะกิน จะซื้ออะไรทีกว่าจะเก็บเงินได้ " แม่บ่น
"ร้านคุณจำไว้นะ ฉันจะไม่ไปเหยียบอีก แล้วอย่าให้ฉันไปช่วยอะไรล่ะ"
" ได้ เฮียจะทำเองหมด อย่ามาห้ามไม่ให้ทำงานแล้วกัน"
แล้วตั้งแต่วันนั้น แม่ก็ไม่ไปร้านเยี่ยมอีกเลย พ่อก็กลับบ้านประมาณตีสามเพราะกว่าร้านจะปิด กว่าจะเคลียร์บัญชี
แล้ววันหนึ่ง พ่อก็มาบอกแม่ว่า
"เฮียว่าขาเฮียลีบลง ไม่มีแรง เฮียว่าคงต้องออกกำลังกาย ทำแบบหมอว่าไม่ได้ซะแล้ว คนไม่ออกกำลังกายแข้ขาจะมีแรงได้อย่างไร"
" ไม่รุ" แม่ตอบแบบไม่สนใจนัก "หมอบอกคุณยังไม่เชื่อเลย ฉันบอกคุณจะฟังหรือไง "
แม่ฉันลองว่าขึ้นคุณกับฉันคืออารมณ์ไม่ดี
แม่คงปลงแล้ว
เพราะพ่อมักไม่ค่อยทำตามหมอ
แล้วพ่อ ก็ไปหาถุงทรายมาผูกติดกับขา แบบทหารหรือนักเรียนรดฝึกทหาร แล้วพ่อก็ใส่มันเดินไปไหนต่อไหน โดยคิดว่า ออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อได้ทำงานจะทำให้ขามีแรงขึ้น เวลานั่งพ่อก็จะยกขาที่ยกอย่างลำบากขึ้นๆลงๆ พ่อไปซื้อเครื่องปั่นจักรยานแบบนั่งปั่นเล็กๆมาถีบเวลานั่งดูทีวีเฝ้าร้านที่ร้านเยี่ยม
พ่อพยายามออกกำลักายเท่าที่จะทำได้ เพราะคิดว่าจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อคืนมาได้
แต่ กล้ามเนื้อของพ่อที่ลีบไปแล้ว มันไม่เคยคืนกลับมาเลย ตอนนี้ เวลาพ่อเดินไปข้างนอก พ่อจะใช้ไม้เท้า และอีกมือหนึ่ง ยันหัวไหล่ฉันไว้กันล้ม ฉันต้องเดินช้าๆ หันหน้าไปที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะอาจทำให้พ่อเสียหลักแล้วล้มลงได้
เรื่องนี้ ทำให้ฉันมีเหตุทะเลาะกับพ่อหลายๆครั้งจนครั้งใหญ่สุดคือ
" พลอย กูบอกว่าห้ามหันหน้าไปไหนเวลาเดินยังไง"
แม่ที่เดินตามหลังที่มักจะคอยระวังหลังเสมอๆกับจูงน้องสองคน ถึงกับชงัก และฉันถึงกับโกรธมาก
ฉันไม่ตอบพ่อ รู้สึกโกรธจับใจ น้ำตาคลอ
" กูถามทำไมไม่ตอบ ฮึ"
ฉันยังคงนิ่ง
"คุณพูดกับลูกแบบนี้ได้ยังไง วาจาแบบนี้ ฉันไม่เคยพูดกับลูกหรือสั่งสอนให้ลูกพูดแบบนี้ "
" ทำไมจะพูดไม่ได้ คนอื่นเขาก็พูด " พ่อเถียง
" คนอื่นก็ส่วนคนอื่น แต่ต้องไม่ใช่มาพูดกับลูกฉัน" แม่ไม่ยอม
แม่เคยเล่าว่าครอบครัวแม่ไม่นิยมการพูดจาหยาบคาย เพื่อนแม่ที่พูดหยาบคายก็ไม่มี แม่โตมาจากสิ่งแวดล้อมดีๆ โรงเรียนดีๆ เพื่อนดีๆ สังคมของแม่จึงมีแต่สิ่งแวดล้อมดีๆ
" อีกอย่างลูกยังเด็ก การที่เด็กคนหนึ่ง คอยเดินให้พ่อจับนี่ มันก็มากพอแล้ว แค่หันหน้าไปแค่นั้น มันจะเป็นไร ลูกก็ยังเดินช้าๆอยู่นี่"
" แล้วถ้าเฮียล้ม จะว่าไง"
" แล้วมันล้มไหมล่ะ ก็ยังมีปากพูดว่าลูกได้อยู่นี่"
พ่อไม่เถียงแม่ แต่หันมาเล่นงานฉันต่อ
" บอกมาทำไมถามไม่พูด "
" พลอยไม่พูดกับป๊า เพราะแม่เคยบอกว่าหากใครพูดกับเราไม่เพราะไม่ต้องไปพูดด้วย "
" และพลอยก็ไม่ชอบที่ป๊าพูดกับพลอยแบบนี้" ฉันตอบตรงๆ
" มีแม่ให้ท้ายก็ยังงี้" พ่อว่า
" นี่คุณ...! คุณนั่นแหละผิด จะว่าอะไรนึกดูบ้างสิ ลูกอายุเท่าไหร่ ทำเพื่อคุณอะไรบ้าง หัดเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง นี่เด็กนะ เขาก็ต้องอยากเล่น สนใจสิ่งโน้นนี้บ้าง มันแปลกนักหรือ คุณน่ะแหละมันเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ ลูกทำอะไรให้คุณตั้งมากมาย แล้วแค่ลูกหันไปมองอะไรบ้างแค่นี้ มันจะเป็นไรไปนัก ขนาดมาขึ้นมึงกูกะลูก "
แม่ใส่พ่อไม่เลี้ยง แม่จะพูดตรงๆและจะปกป้องเราเสมอหากมีการว่ากล่าวหรือลงโทษอย่างไม่ยุติธรรมแม่ฉันจะถือมาก
" จำไว้นะพลอย ไม่พูดอย่ามาพูด" พ่อยังไม่หยุด สายตาแม่ส่งมาหาฉันว่า ห้ามต่อปากต่อคำ ฉันจึงไม่พูดอะไร ยืนนิ่งๆให้พ่อจับหัวไหล่เวลาเดินต่อไป
การที่พ่อจับหัวไหล่ฉันนั้น ที่จริงมันเจ็บนะคะ เพราะหากนานๆ น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงมาที่หัวไหล่ข้างเดียว จะทำให้ปวดได้เหมือนกัน แต่ฉันก็ทนมาเสมอ เพราะพ่อคือพ่อของฉัน ฉันไม่เคยอิดออดที่จะช่วยเหลือพ่อ ไม่ว่าจะตอนกลางคืนเวลาพ่อจะเข้าห้องน้ำแล้วปลุกฉันกลางดึก หรือเวลาให้รินน้ำให้กลางดึก เพราะฉันรู้ดีว่า หากฉันไม่ทำ ภาระมันจะอยู่ที่แม่ฉัน
แต่พ่อ เริ่มพูดให้พวกเราคิดว่า พ่อสำคัญมากมายแค่ไหนที่พวกเราต้องเสียสละให้พ่อ บางทีที่แม่ไม่มีเงิน แล้วพ่อเอาไปรักษาหมอบ้าๆที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่นใครไม่รู้ที่มาทักอาการพ่อเวลาเดินที่ตลาด แล้วบอกว่าเขานวดให้หายได้ บางครั้งคลอสละเป็นหมื่น แม่ไม่พอใจที่จ่ายเงินให้กับคนที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่พ่อลองทุกทาง ถ้าแม่ไม่ให้เงินหรือทักท้วง พ่อก็จะว่า จะปล่อยให้พ่อตายไปเลยไหม พ่อไม่สำคัญหรือยังไง จนในที่สุดก็ทำให้แม่ไม่มีเงินค่าเทอมลูกบ่อยๆ จนต้องไปหยิบยืมเพื่อนมาจ่าย ที่จริงแม่บอกว่าจะเรียกว่าหยิบยืมคงไม่ได้ เรียกว่าขอคงเหมาะกว่า เพราะชาตินี้ไม่รู้เลยจะตายซะก่อนหามาคืนเพื่อนได้ไหม
.............................................
ชีวิตที่มีร้านค้าใหม่ใหญ่โต แต่เบื้องหลังคือหนี้สิน
ร้านค้าที่พ่อเอาใจใส่ ลูกค้าที่พ่อเอาใจ แต่เบื้องหลังคือ การละทิ้งครอบครัวที่คอยอยู่เคียงข้างร่วมทุกข์สุขด้วยกันเสมอ
เวลาของพ่อ คือ เวลาของการทำงานและทำเงิน
หากฉันชื้อเวลาของพ่อให้ได้พักผ่อนได้คงดี
พ่อคงไม่ป่วยเพราะพักผ่อนไม่พอ แต่พ่อกลับมองว่า
พ่อป่วยเพราะพ่อไม่ได้ทำงานมากเท่าที่อยากทำ
พ่อเริ่มโทษแม่ที่คอยบอกให้พ่อกลับบ้านเร็วๆในอดีต
เริ่มโทษแม่ที่ คอยบอกให้หยุดทำงานบ้างวันอาทิตย์
โทษแม่ที่ทำให้พ่อไม่ร่ำรวยเพราะทำงานไม่เต็มที่
และโทษทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวที่ไม่ใช่ตัวพ่อเอง...
อยากถามพ่อนักว่า "มันคุ้มไหมคะ ที่ทำงานหนักแล้วต้องจบลงด้วยป่วย
เพราะเคลียดและพักผ่อนไม่พอ เงินที่หาได้มาต้องเอามาจ่ายค่าหมอ ค่ายา ที่จ่ายเท่าไหร่
ก็ซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาไม่ได้".................