19/5/52

ตอนที่ 4 : หมอฝังเข็ม




หลังจากวันนั้น เราก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลอีกหลายหมอ กับ MRI อีกหลายรอบ คราวนี้มีเพื่อนของพ่อ แนะนำว่า ให้ไปหาหมอจีน เป็นหมอฝังเข็ม ที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง เมื่อเราไปถึงพอลงจากรถ ก็ได้กลิ่นยาคละคลุ้งไปทั่ว โรงพยาบาลนี้ค่อนข้างเก่า แม้มือชื่อก็ตาม เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิของจีนแห่งหนึ่ง สภาพผิดจากโรงพยาบาลเอกชนในสมัยนี้มากมาย อาคารค่อนข้างเก่าเราต้องไปรับบัตรคิวรอตรวจ เพราะมีคนมากจริงๆ ห้องตรวจก็เหมือนทั่วๆไป
หมอคนใหม่ของพ่อนี้เป็นชาวจีน อายุมากแล้ว คงประมาณหกสิบได้ ว่ากันว่ามือหนึ่งของที่นี่ ถึงมีคนไข้ต่อคิวรอยาวทีเดียว หมอแก่ ผมสีเทาๆ หน้าเหมือนอาแป๊ะจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายใน ทำให้เราจิตนาการไปว่า หมอคงใช้พลังลมปราณขัดเคลื่อนคลายจุดตามจุดสำคัญต่างๆ ให้พ่อหายดีได้ ว่ากันว่า ศาสตร์การฝังเข็มนี้ เป็นเรื่องที่หมอสมัยปัจจุบันพยายามศึกษากันมากทางยุโรป เพื่อนำมาใช้ผสมผสานกับแผนปัจจุบัน คนรักษาต้องเชี่ยวชาญในการรู้สรีระของมนุษย์ และจุด เส้นเอ็มต่างๆ ทางกายภาพเป็นอย่างดีด้วย มิฉะนั้นอาจไปฝังโดนเส้นตายได้
วิธีการตรวจของหมอจีนแตกต่าง หมอเข้าไปกดตามจุดต่างๆ ดัดแข้งดัดขามากมาย เหมือนพ่อต้องเจ็บ แล้วก็บอกว่า เส้นเอ็นของพ่อนั้นมันเริ่มแห้ง หมอไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้ไหม คุณมาหาช้าไปหน่อย หากมาแต่แรงน่าจะเอาอยู่ หมายถึงทำให้หายได้ จะลองดูไหม ฝังเข็มและลองทานยาหมอดู
หมอตรวจพ่อเสร็จก็ถึงคราวไปรอฝังเข็ม อันนี้เป็นอันตื่นตาตื่นใจ ห้องฝังเข็ม แบ่งเป็นล็อคๆยาวเหยียด มีม่านกั้นไว้เป็นสัดส่วนเฉพาะเตียง พ่อต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และรอหมอฝังเข็ม มาแล้วหมอคนเดิม…..ผู้เฒ่าจอมยุทธแห่งเขาเหลียงซาน ว่าเข้านั่น เพ้อเจ้อจริงๆฉัน
และแล้วจอมยุทธของฉันก็มาถึงเตียงพร้อมอาวุธครบมือ นั่นก็คือเข็มหนึ่งร้อยเล่ม (ฉันไม่ได้นับหรอกนะคะ แต่มาทราบตอนหลังว่ามีร้อยเล่ม) พอเปิดกล่องออกมา แม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆที่เป็นโรคกลัวเข็มอย่างที่สุดหน้าซีด ฉันเห็นแม่นิ่งอยู่ครู่แล้วก็เดินออกไปเลยไม่ดูแล้ว น้องเล็กเห็นเข็มก็สนใจมองนิ่งไปใกล้ๆ จนพยาบาลบอกว่าให้ถอยออกไป ห่างๆหน่อย
ฉันถามหมอจอมยุทธว่า “หมอ จะเอาเข็มจิ้มพ่อหมอทุกเล่มเลยหรือ” ฉันจ้องตาเขม็งที่เข็มทั้งหมดที่มีขนาดต่างๆกัน เรียกเป็นแนวตามขนาดและความยาว เข็มดูบางๆแต่ยาวต่างๆกัน
หมอยอมยุทธพูดว่า” เริ่มจากที่หัวก่อนนะ” พ่อพยักหน้ารับทราบ “เจ็บนิดหน่อย หากเจ็บมากให้ร้องออกมาเลย” หมอพูดต่อ “วันนี้หมอจะเริ่มที่ด้านหน้าก่อน เน้นด้านขวาเพราะคุณมีปัญหาที่ขาซ้าย และแขนขวา”
ที่หัวเป็นเข็มเล่มยาวๆบางมากมาก ฉันไม่ได้นับว่าที่หัวมันมากแค่ไหน พ่อทำหน้าเจ็บนิดๆ เวลาโดนเข็ม แต่ยังไม่มีร้องโอ้ยเลย เป็นฉันคงร้องโรงพยาบาลแตกไปแล้ว น้องชายคนกลาง กับน้องเล็ก ยืนนิ่งเงียบ ตาจ้องเหมือนฉัน แต่แม่หายไปเลย เข็มเล่มแล้วเล่มเล่า ทิ่มแทงพ่อจากหัว ใบหน้า ตามแขน ตามขา และลำตัว มากมาย จนฉันต้องถามว่า “กี่เล่มค่ะหมอ”
“100 เล่ม” หมอตอบ แล้วหมอก็อธิบายว่า

การฝังเข็ม นับเป็นศาสตร์แห่งการรักษาโรคที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยแพทย์ของจีนโบราณมีการค้นหาจุดต่างๆ ตามสรีระที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด หรือส่วนที่ทำให้ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือน และหาทางเยียวยารักษา จนในที่สุดก็คนพบวิธีการรักษาที่เรียก ว่าการฝังเข็ม การฝังเข็มมีบทบาทรักษาโรคและอาการผิดปกติต่างๆของร่างกายมาเป็นเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปี และโดยเฉพาะในรอบศตวรรษหลังที่วิชาเวชกรรมฝังเข็มได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก สำหรับประเทศไทยเองก็มีผลงานด้านการบำบัดรักษาด้วยเวชกรรมฝังเข็มมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว และในส่วนของจังหวัดเพชรบุรี โรงพยาบาลพระจอมเกล้าจังหวัดเพชรบุรีมีทีมแพทย์ที่ให้ความสนใจเรื่องศาสตร์ แห่งการรักษาผู้ป่วยด้วยการฝังเข็ม มีการค้นคว้าและศึกษาข้อมูลที่ทันสมัยเหล่านี้มาเก็บรวบรวม จนทราบว่าการฝังเข็มสามารถรักษาผู้ป่วย ได้กว่า ๕๓ โรค เช่นโรคกระดูกกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดเส้นประสาท ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน หรือโรคอื่นๆอีกมากมาย
เข็มที่นำมาใช้ในการรักษาในปัจจุบันมีการพัฒนาโดยใช้เข็มเงิน เข็มทองและเข็มทองแดง ซึ่งเข็มทั้งหมดที่นำมาใช้จะเป็นเข็มที่ปลอดเชื้อทั้งสิ้น มีความปลอดภัยสูง ซึ่งเข็มเหล่านี้เมื่อปักไปตามตำแหล่งสำคัญของร่างกายแล้วจะมีการกระตุ้นด้วยมือหรือเครื่องอิเล็กทรอนิคส์ นาน ๒๐-๓๐ นาที เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมน เพื่อให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ตามสมดุลปกติ ซึ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการฝังเข็มและการกระตุ้นก็จะเป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการรักษา ซึ่งเมื่อนำเข็มออกจากร่างกายผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ร่างกายจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


หมอพูดให้กำลังใจว่า เดี๋ยวพ่อกลับบ้านก็จะเดินได้แล้ว เอายาไปต้มกินตามที่หมอบอก แล้วอาทิตย์หน้ามาใหม่ตามที่หมอนัด เดี๋ยวพ่อหนูก็หาย ฉันยิ้มได้ น้องชายเริ่มเดินออกไปหาแม่ แต่แม่ไปไหนไม่รู้ หมอต้องเอาเข็มจิ้มไว้อย่างนี้ หนึ่งชั่วโมง
น้องเล็กเข้าไปมอง และถามพ่อว่า “พ่อเจ็บไหมคะ”
พ่อยิ้มน้อยๆไม่ตอบว่าอะไร แต่ฉันเดาว่ามันต้องเจ็บแน่ๆเลย ก็เวลาเราไปฉีดยาเรายังแทบร้องไห้ นี่เข็มเป็นร้อยไม่เจ็บได้อย่างไร แต่ความเจ็บหากหายป่วยได้มันคงคุ้มมากกว่า


ระหว่างรอพ่อ พวกเราได้แอบดูตามรอยที่ม่านแหวกของเตียงคนไข้อื่นๆ บางรายมีเข็มที่หัวอย่างเดียวเป็นร้อยๆเล่ม ดูเหมือนในหนังเลย น่าสยองมาก แต่พ่อของฉันขนาดเข็มทิ่มอยู่อย่างนั้น ก็ไม่มีอุปสรรคในการนอนเลย พ่อนอนหลับสนิทเสียงกรนกึกก้องสนั่นเมือง จนพวกเราสงสารเตียงข้างๆ คงนอนกันไม่หลับ และไม่นาน การแข่งขันกรนก็เริ่มขึ้น เพราะมีคนไข้ฝั่งโน้นกรนมากอีกคน แต่ฉันประเมินดูแล้วว่า พ่อฉันชนะขาดลอย
ชั่วโมงผ่านไป พยาบาลก็เข้ามาเอาเข็มออก แม่เพิ่งโผล่หน้าเข้ามาตามเวลา พยาบาลบอกแม่ให้ไปเอายาที่หมอสั่ง พวกเราเลยเข็นพ่อไปเอายา คราวนี้ยาไม่ได้เป็นเม็ดๆ แต่กลับประกอบด้วยใบอะไรไม่รู้มากมาย แม่ซื้อหม้อต้มยาจีนไฟฟ้า เสียงเภสัชอธิบายให้ฟังถึงวิธีต้มยาว่า ต้องใส่น้ำสองส่วนต้มไปจนเหลือน้ำส่วนเดียวให้ทานหนึ่งชามตอนเช้าเย็น ห้ามทานไช้เท้า ฟัก พอวันต่อมาก็ให้เติมน้ำหนึ่งถ้วยและต้มต่อจนเดือด ทานเช้าเย็น ทำอย่างนี้จนครบอาทิตย์แล้วก็มาหาหมอตามนัด
กลับบ้านพวกเราก็ดูยาต้มของพ่อ กลิ่นใช้ได้ น้ำดำๆ วันนั้นพ่อบอกกับพวกเราว่า “พ่อว่าพ่อเดินคล่องขึ้นนะเนี่ย” แม่ได้ยินหันมามอง แล้วบอกว่า “ก็ดีแล้ว” แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

ฉันดูเหมือนว่า แม่คงไม่อยากให้พ่อฝากความหวังอะไรอีก และแม่ก็เช่นกัน เพราะหลายครั้งแล้วที่เรามีหวังแล้วก็หมดหวัง โดยการที่หมอบอกว่า “หมอไม่ค้นพบว่าคุณเป็นอะไร ต้องรอให้อาการชัดขึ้นกว่านี้”
พ่อรักษาหมอฝังเข็มอยู่ 6 เดือนเต็มเหมือนการทำกายภาพ แต่ก็อาการเหมือนดีขึ้นในช่วงแรกแล้วก็คงตัว ไม่มากขึ้นแต่ก็ไม่ดีขึ้น พ่อได้ทานยาทั้งจีนและยาปัจจุบันที่ทางโรงพยาบาลให้คู่กันไปตามปกติ
คราวนี้ พ่อบอกแม่ว่า
“น้องพี่ว่าจะหยุดแล้ว ลองไปนวดแผนโบราณดู” พ่อบอกในวันหนึ่ง
“ตามใจป๊า” แม่ตอบนิ่งๆ ไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกใดใด
ช่วงนี้แม่คงเหนื่อยมาก เพราะต้องตื่นเช้าดูแลพ่อ ทำอาหารให้ แล้วส่งเราไปโรงเรียน กลับมาก็ทำงานบ้าน และทำงานที่หารายได้ไปด้วย พอตกเย็นก็ต้องไปรับพวกเราอีก โรงเรียนกับบ้านก็ไกลกัน แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม้ไม่ยิ้มแย้มแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร บางวันพอเรากลับบ้าน ก็มีกับข้าวและขนมอร่อยๆให้ทานจากบ้านเพื่อนบ้าน
เพื่อนบ้านคนดีที่หนึ่งคนนี้ ชื่อป้าเดือน ป้าเดือนมีลูกชื่อพี่ฝน พี่นก พี่จิ๊บ สนิทกับครอบครับเรามาก เหมือนญาติมากกว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ป้าเดือนชอบทำขนมอร่อยๆ กับข้าวอร่อยๆ เผื่อพวกเราเสมอ ป้าคงนึกสงสารแม่ ที่ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน และแม่ก็ทำอาหารไม่ค่อยเป็น อาหารของแม่มักมีแต่แกงจืด กับสารพัดนึ่งแบบอาหารเด็กเล็กง่ายๆ หรือไข่เจียว ลุงทินสามีป้าเดือนก็ทำอาหารอร่อยสุดๆ ด้วย ป้าช่วยเหลือโดยการทำอาหารให้เสมอ ช่วยดูแลเด็กเวลาแม่ไปส่งงาน แม่รักป้าเดือนมากๆ ทั้งบ้านนี้มีแต่คนที่มีน้ำใจทั้งนั้น…
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็มีสถานที่ใหม่ให้เข้าทัศนศึกษา นั่นก็คือ ศูนย์กายภาพบำบัด
จากฝังเข็มก็สู่ศูนย์กายภาพบำบัด………….