27/8/52

ตอนที่ 8 : หมอเก่งของอาม่า





วันนี้ เราได้มาถึง
วัดย่านฝั่งธนบุรี ตามบัญชาของอาม่าแม่ของป๊ะป๊า ที่ว่าหมอนี้เก่งนักหนา เพื่อนอาม่าแนะนำมา ทุกครั้งที่มีรายการหมอเก่ง แม่จะรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาเสมอ รวมทั้งพวกเราด้วย แม้คราวนี้แม่จะไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่แต่ก็ยังมีความหวัง
ก่อนมา แม่เข้าใจว่า คงเป็นหมอโบราณเหมือนหมอวัดโพธิ์ การแพทย์แผนโบราณประมาณนั้น ท่หมอคนรักษา
อาจจะสมถะ สันโดษช่วยเหลือคนอยู่ตามวัด
เมื่อมาถึงวัด รถยนต์หรูหรา ที่จอดอยู่มากมาย บ่งบอกความดังของหมอได้ดีในระดับหนึ่ง สถานที่ของวัดช่างร่มรื่น ใหญ่โต พวกเราอดตื่นเต้นไม่ได้ ที่มาสถานที่ใหม่ๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นวัดไทย เพราะเห็นเหมือนศาลา
โล่งๆให้คนรอเต็มไปหมด เขาเข้ามารอเพื่อรับบัตรคิว และก็ยาวเหยียดมาก คนที่มาดูมีหลายระดับ บ้างก็ดูมั่งมี
บ้างก็ดูยากจน ระหว่างรอ พวกเราเดินสำรวจวัดข้างใน อ้าววัดไทยแต่มีมังกร ท่าทางจะไม่ใช่อย่างที่คิดซะแล้ว
ข้างใน เป็นลานกว้างๆ มีรูปปั้นมังกร ศาลามังกร สีแดงๆ สวยงาม แผนผังเหมือนในหนังจีนบู๊ลิ้ม
ที่จะจัดบ้านเหมือนสี่เหลี่ยม กลางบ้านคือลานประลองยุทธ โล่งๆ ที่นี่จะมีอีกที่หนึ่งที่เข้าใจว่าเป็นโบสถ์
มีพระพุทธที่ดูคล้ายพระจีนมากกว่า มีคนรออยู่แล้ว นั่งคุยกัน เจ้าหน้าที่หรือเด็กวัด ก็มาบอกว่า
วันนี้ หมอลงบ่ายโมง มาั้ตั้งแต่เช้าเพื่อมารอรับบัตรคิว และรอต่อไปจนถึงบ่ายโมง
แต่ไม่เป็นปัญหาเลย มีโรงครัว อาหารน่าทานเป็นอาหารเจที่ดูสะอาดสะอ้านน่าทาน ทานได้ไม่อั้น
พอเขาตั้งเสร็จ ก็มาเชิญทุกๆคนให้ไปตักทานตามใจ จะรวมเป็นกลุ่มกินกันหรือจะต่างคนต่างกินก็สุดแต่ความต้องการ

พอได้เวลาหมอมา............................ทุกคนที่นั่งคุยจอแจอยู่ก็เงียบเพราะมีคนมาบอกว่าหมอมาแล้ว
ตอนเดินเข้ามาเป็นคณะเราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ฉันก็พยายามมองว่า คนไหนเป็นหมอ ก็ยังไม่เห็นคนไหนจะ
ดูคล้ายหมอสักคน แต่คนนั่งข้างๆบอกกันว่าคนตรงกลาง หมอที่ฉันเห็นคือผู้ชายอายุประมาณ 40-45 ปี
ดูธรรมดามาก มีเด็กผู้ติดตามมาห้าคน คนแรกตามหลังหมอ มีหน้าที่พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจแล้วแปลเป็นไทยให้เราฟัง อีกคนมีหน้าที่เรียกคิวมาถาม อีกสามคน จ่ายยา ตามหมอสั่ง และรับเงินบริจาค
จากคิวแรกผ่านๆไป การรับบัตรคิว เขาจะให้กรอกวันเดือนปีเกิดของผู้ป่วย ตอนรับคิวด้วย
เวลาหมอวินิจฉัย มันน่าแปลกที่ คนไข้จะมาก็ได้ ไม่มาก็ได้ ก็แปลกดี
พอถึงคราวหมอเรียกแม่ แม่ก็ไป
"คนป่วย ป่วยมานานแล้วใช่ไหม แต่หาสาเหตุไม่พบ" หมอพูด (พูดภาษาไม่รู้จักแต่มีคนข้างหลังแปล)
"ใช่ค่ะ " ถามเหมือนรู้
"ไม่เจ็บ ไม่ปวด แต่เดินไม่ค่อยได้ ใช่ไหม" หมอถามอีก
"ใช่ค่ะ"
"เป็นกรรมเก่าน่ะ ให้ไปเอายันต์ ยันต์อันนี้ไม่ค่อยให้ใครนะ วันนี้จะให้คุณ และเอายาไปทานชุดนึง ยันต์เอาต้มน้ำดื่มส่วนนึง และใส่น้ำอาบส่วนหนึ่ง"
"ค่ะ"

พอถึงโต๊ะยา มีขันใส่เงินวางไว้ ไม่มีการบังคับให้จ่าย แต่มีสายตานับร้อยจ้องอยู่
แม่ฉันจ่ายไป ยี่สิบบาท แล้วก็เดินไปรับยาและผ้ายันต์
แต่มีอีกหลายๆคนก่อนหน้านี้ จ่ายเป็นบึกๆก็มีมาก

ตอนนั้นฉันนึกในใจว่า แม่ฉันท่าจะงกน่าดู แต่ทราบภายหลังว่า แม่มีเงินแค่พันสองร้อยบาทในวันนั้น
ไหนจะค่ารถกลับบ้านแท๊กซี่ก็ไกล ไหนจะค่าอาหาร งานแม่แต่ละวันรับเงินมาก็ใช้ไปจนหมด
แม่บอกฉันภายหลังว่า "ในเมื่อเขาเขียนว่า ตามแต่ศรัทธา แม่จะศรัทธาได้อย่างไร แม่สังเกตุว่า กี่คนๆก็ยาถุงแบบเดียวกันนี้มีสามชุด ยาอะไรก็ไม่รู้ ป่วยอะไรๆก็เหมือนกันหมด ก็คงมีคนหายนะ แต่คงไม่ได้หายเพราะหมอนี่หรอก" แม่ว่า
"แต่หมอเขาก็พูดเรื่องป๊ะป๊าถูกนี่คะแม่" ฉันแย้ง
"พลอย ร้อยทั้งร้อย มาหาหมอแบบนี้ เพราะไม่ค่อยมีหวังทั้งนั้นแหละ แต่จะมีกี่คน กินยาหมอนี่แล้วไม่รักษาหมออื่น แม่ไม่เชื่อเด็ด ยกเว้นคนๆนั้นเป็นโรคอุปทาน"
ฉันนิ่ง เพราะคิดว่า มันก็จริงนะ ผ้ายันต์ สกปรกๆ ที่เขาส่งให้เผาแล้วกินกะอาบ มันจะรักษาพ่อฉันให้หายได้อย่างไร กับยาดำๆเขียวๆ ชุดละสามเม็ด ยาอะไรก็ไม่รู้

วันนั้น พอกลับไปบ้าน แม่ก็บอกตามหมอสั่งมา
แต่ตามด้วย " ถ้ากล้ากินก็กินไปนะ จะทำให้ ผ้ายันต์เผาไฟ ที่เขียนทองๆท่าทางจะมีสารตะกั่วนี่น่ะ"
แล้วแม่ก็เผาผ้ายันต์ทำตามที่หมอบอก แบ่งส่วนหนึ่งใส่น้ำให้ป๊าดื่ม กับใส่น้ำให้อาบ
แต่แม่ก็ไม่ได้สนใจว่า ป๊าฉันจะกินหรือไม่กินอย่างไร
แม่ของฉันกับเรื่องพวกนี้ดูจะเข้ากันไม่ค่อยได้ เรื่องเจ้าเข้าทรง แม่ไม่เคยเชื่อ
เจ้าอะไรแม่ก็ไม่เคยจำ แม่ไปเพราะอาม่าบอกว่าหมอดีแค่นั้น
เข้าตำรา ไม่ลองไม่รู้นั่นเอง

แล้วแม่ก็ทำกับข้าวตามปกติ

วันนั้น ตอนเรานั่งทานข้าวกันอยู่ ก็มีคนมากดออดหน้าบ้าน
"ใครมาน่ะ" พลอยไปดูสิ
ฉันออกไปดู มีผู้ชายคนหนนึ่งกับผู้หญิง ที่ไม่คุ้นหน้าเลย
"แม่ ไม่ทราบค่ะ ไมู่้รู้จัก" ฉันร้องบอก
ประตูรั้วเปิดอยู่ ผู้ชายกะหญิงคนนั้นก็ผลักประตูเข้ามาเลยมาถึงประตูด้านในตรงที่ฉันยืนอยู่

"สวัสดีครับ " คุณเป็นเจ้าของบ้านนี้ใช่ไหม
"ค่ะ" แม่ตอบรับอย่างงงและไม่พอใจนิดๆที่เขาถือวิสาสะเปิดเข้ามาเลย
"ผมจะมาบอกว่า บ้านหลังนี้ผมซื้อไว้แล้ว และคุณต้องย้ายออกไปภายในเดือนนึง"
แม่ยืนนิ่ง " ค่ะ" คำพูดที่ออกมาจากปากเบามาก
สองคนนั้นบอกว่า เขาซื้อจากการขายทอดตลาด สายตาที่กวาดมองทั่วบ้านของเรา เขารู้สึกพอใจบ้านเราไม่ได้รกสกปรก แต่ดูกว้างสวย ทาวเฮ้าสองชั้นสองหลังติดกัน ที่เจาะทะลุเชื่อมกันอย่างตั้งใจเป็นห้องครัว
ห้องอาหาร มุมรับแขก ห้องนั่งเล่นแบบญี่ปุ่น ห้องซักรีด ห้องคนรับใช้ ห้องน้ำด้านล่างมีสองห้อง ห้องครัวเล็กๆ แต่ก็ทันสมัย ด้านบน มีห้องนอนใหญ่ ที่ใช้เนื้อที่ด้านบนทั้งหลัง ที่ห้องนอนใหญ่นี้ แบ่งเป็นห้องนอน
และห้องแต่งตัว ที่มีมุมวางของเล่นลูกๆ อย่างเป็นระเบียบ รวมทั้งห้องน้ำใหญ่สวยมาก ห้องนี้ผนังสีครีม และพรมสีชมพูอ่อน ลานจอดรถปูกระเบื้องสวยงาม มีมุมไม้กระถาง หลายอย่าง บ้านเราจึงดูใหญ่ที่สุดในบริเวณบ้านแถวๆนัน

ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอนกลางที่ใช้สำหรับให้ฉันและน้องสาวนอนด้วยกันสองคน จัดเป็นสองเตียง สีขาวฟ้า พรมสีฟ้าอ่อนเข้ากัน

ห้องนอนที่สาม เป็นพรมสีน้ำเงิน เฟอร์นิเจอร์สีเทาอมฟ้าอ่อน สำหรับน้องเยี่ยม

บ้านเราจึงเป็นบ้านที่มีสามห้องนอน สี่ห้องน้ำ ที่มีเนื้อที่ใช้สอยเต็มพื้นที่ภายในจึงดูกว้างขวาง

สำหรับฉัน มันคือบ้านของเรา ที่ฉันอยู่ตั้งแต่เด็กๆ และฉันก็รักมันมาก

และวันนี้
เป็นวันที่มีคนแปลกหน้า มาบอกว่า บ้านของเรากลายเป็นบ้านของเขาไปเสียแล้ว

บรรยากาศในบ้านดูซึมเศร้าไปในทันตา อาหารตรงหน้าทานไม่ลงอีกต่อไป
แม่ขึ้นข้างบนไปแล้ว ไม่พูดอะไร

ฉันหันไปมองป๊ะป๊า ป๊านิ่งเงียบ พวกเราเลยเดินขึ้นข้างบนบ้าง

เราสามคนเข้าไปเคาะห้องแม่
แม่มาเปิดประตู รอยน้ำตาที่ยังอยู่บนใบหน้า
ไม่มีคำพูดใดใด นอกจาก แม่โอบกอดลูกไว้ทั้งสามคน แล้วร้องไห้เงียบๆ

เรื่องนี้ เป็นเพราะว่า ป๊าอยากลงทุน จนขอบ้านนี้ไปจำนอง แม่เล่าว่าสมัยเปิดร้าน เราต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละเก้าหมื่น ทำได้เท่าไหร่ก็จ่ายดอกเบี้ยหมด ตอนแรกเรามีร้านเดียว รายได้ก็ดี แต่ป๊าขยายซะสี่ร้าน
แต่ละร้านลงทุนค่าเซ้งตึก ค่าลิขสิทธิ์ ค่าตกแต่ง อุปกรณ์ ค่าเทป มากมายทีเดียว ด้วยความที่แม่ไม่อยากทะเลาะเพราะความอยากลงทุนของใคร ก็เลยยอมยกบ้านที่ป๊าใช้เป็นของหมั้นให้เขาไปจำนอง ป๊าฉันไม่ไ้ด้ทำธุรกิจแค่นี้ ป๊าชอบซื้อขายบ้าน วางเงินไว้ แล้วบ้านขายไม่ออก ซื้อที่ดินไว้แล้วที่ขายไม่ออกก็มี
ด้วยความที่ป๊าอยากรวย เลยทุ่มเงินกับการลงทุนจนหมดตัว พอป๊ะทำงานไม่ได้ ทุกอย่างจึงมีแต่หนี้ๆๆๆๆ

ไม่นานพวกเราทั้งห้าคน ก็ย้ายจากการนอนที่บ้าน ไปสู้นอนที่ร้านวีดีโออย่างถาวร

แม่ของฉันยอมรับโชคชะตาอย่างสงบ แม่ไม่ขนอะไรไป เพราะไม่รู้จะขนไปไหน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ให้ป้าเดือนขนไปไว้ที่ไร่ เพราะไม่มีที่เก็บ แม่โทรไปถามเรื่องค่าขนย้ายถอดเฟอร์นิเจอร์เขาคิดตั้งสามหมื่นห้า แม่เลยตัดใจ ทิ้งมันไปเลย ยกให้คนอื่นที่เขาต้องการไปหมด ของทุกอย่างยังดูใหม่ สวยงาม แต่แม่หันหลังแล้ว
ก็ไม่ขอเก็บอะไรไว้เลย

ร้านวีดีโอของเราอยู่สาธุประดิษฐ์ 37 เป็นร้านเล็กๆ ติดกับร้านค้าของเก่า ในตึกห้าชั้น ข้างในปูหินอ่อนที่ชั้นสอง สาม สี่ ห้า ข้างล่างสุดเป็นพื้นกระเบื้อง ตกแต่งค่อนข้างดี เพราะเจ้าของเป็นคนสมัยใหม่ มีฐานะ นิสัยดีด้วย ว่ากันว่าที่ร้านนี้นั้น ใครๆมาทำก็จะเจ๋งทุกรายไป ไม่ว่าจะทำกิจการอะไร ยกเว้นร้านวีดีโอของแม่
ที่ลูกค้าแน่นร้าน ตั้งแต่วันแรก เหตุผลที่เขาล่ำลือกันก็คือ " เจ้าที่แรง" หรือ "ผีดุ" นั่นเอง

ตอนมาเห็นที่นี่ใหม่ๆ พ่อพามาดู ตอนแรกแม่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับกิจการ เพราะแม่ชอบอาชีพเรียบๆตรวจสอบบัญชี วางระบบบัญชี คือช่วยงานป๊ะป๊าฉันไปเรื่อยๆ ไม่ชอบสมาคมกับใคร แต่งานมันเยอะมาก จนแม่นั่งทำงานตั้งแต่หกโมงเช้า ถึงตีสาม จนแม่ขณะนั้นท้องลูกคนที่สองถึงกับแท้งไปเลย ส่วนพ่อฉัน
ทำงานมากมายอยู่แล้ว กลับถึงบ้านก็ตีหนึ่งตีสองเสมอ กว่าลูกค้าจะกินด้วยคุยด้วยจนเสร็จ
แม่เคยทะเลาะกับพ่อเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

"นี่เฮีย ทำไมไม่รู้จักปฏิเสธลูกค้าบ้าง เวลาคุยงานทำไมไม่คุยเฉพาะเวลาทำงาน นี่อะไรเย็นไปกินข้าวกว่าจะกลับดึกดื่น ลูกค้าคุณก็น่าจะมีความเกรงใจบ้างนะ คนแต่งงานแล้วน่าจะให้เขากลับบ้านมาอยู่กับครอบครัวกันบ้าง ไม่ใช่สมัยก่อน ที่ยังโสด" แม่เริ่มว่าในวันหนึ่ง

" ไม่ได้หรอก ลูกค้าพวกนี้ชอบคุยเรื่องสำคัญๆ นอกบริษัท เพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน อีกอย่างก็ทำให้สนิทสนมกับเขา" ป๊าฉันตอบ

" แต่มันก็น่าจะมีปฏิเสธกันบ้างนะ อาทิตย์นึงไปครั้งเดียวยังพอทน นี่อะไร ทุกวัน คุณทำงานสิบบริษัืท ชวนกันบริษัทละวัน พ่อแม่ลูก ไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลย เช้าลูกไปเรียน คุณก็ยังไม่ตื่น กว่าคุณจะกลับลูกก็หลับหมดแล้ว " แม่ฉันไม่ยอม ประท้วงต่อ

" ป๊ะก็บอกว่า อะไรนี่เหงาก็ไปห้างสิ แล้วจะทำบัตรเครดิตไว้ให้ " พ่อฉันสรุป

พ่อไม่รู้เลยว่า แม่ฉันไม่เหมือนผู้หญิงอื่นๆ แม่ไม่ชอบเที่ยว ของที่แม่ซื้อส่วนใหญ่คือของลูกเสมอ ก็ของๆฉัน เสื้อผ้าสวยๆของฉันกับน้อง เสื้อผ้าดูดีของน้องเยี่ยม หรือสื่อการเรียนการสอน สิ่งที่แม่ซื้อเสมอ คงเป้นตำราคอมพิวเตอร์ของแม่ แม่ฉันจบบัญชีมา แต่สนใจด้านคอมพิวเตอร์ ขนาดที่เรียนด้วยตัวเองจนประกอบอาชีพด้านคอมพิวเตอร์ได้ พอแม่ไม่ทำงานบัญชี แม่ก็มาเริ่มต้นงานด้านคอมพิวเตอร์จากการที่แม่ทำไว้ดูเอง
แม่ชอบเอารูปลูกๆ มาใส่เพลงเพราะๆดูเพลิดเพลิน สมัยนั้น การเปิดวีซีดี ในการแต่งงานยังไม่มีเลย แต่แม่ฉันก็เล่นทำรูปประกอบเพลง ใส่ตัวหนังสือบรรยาย แล้วแม่ก็ไปเปิดให้ป้าเดือนดู จากนั้นป้าเดือนก็อยากให้ทำให้บ้าง แม่ก็ทำให้เป็นที่สนุกสนานของแม่ จากนั้นแม่ก็คิดว่าอยากทำแบบนี้ให้คนอื่นๆบ้าง
แม่มองเห็นทำเลดีๆ คือตามเค้าเตอร์ไปรษณีย์ตามห้าง จำได้ว่าชื่อ post net กับ mail box เพราะบริการพวกนี้มักอยู่ตามทางเข้าออก ซึ่งตอนนั้น มีที่ห้างแถวบ้านฉันพอดี

แม่บอกว่า แม่มองอยู่หลายวัน แต่แม่ไม่มีเงินลงทุนที่จะเช่าอะไรพวกนี้ในห้างหรอก แล้วแม่ก็เริ่มเลย
แม่เริ่มจากการเดินเข้าไปที่บริการไปรษณีย์ แล้วถามว่า
"ขอโทษนะคะ ดิฉันอยากจะคุยกับเจ้าของจะติดต่อได้อย่างไรคะ " แม่ลุยเข้าไปถามเลยอย่างคนกล้าๆกลัวๆ
"คนนั้นค่ะเจ้าของ พอดีมาพอดีเลย" พนักงานบอก
"สวัสดีค่ะ" แม่เดินเข้าไปทักทาย
เจ้าของที่นั่นท่าทางใจดี เรียบร้อยบุคคลิคดี ดูมีฐานะ
"ดิฉันอยากจะฝากวางแผ่นโฆษณา สักขนาด A4 ที่เค้าเตอร์ได้ไหมคะ แล้วหากมีคนมาใช้บริการจะให้ทางร้าน 10 เปอร์เซ็น" แม่คุยตรงประเด็นเลยทีเดียว
นี่ค่ะ แล้วแม่ก็เอาแผ่นวีซีดี ที่มีรูปฉันและน้องชายแต่งชุดหล่อสวย ทำเป็นปกเรียบร้อย มีสกรีนแผ่นสวยงามน่ารัก ให้เจ้าของซึ่งชื่อคุณป้าปราณีดู ฉันเห็นท่านรับมาดูอย่างสนใจ แล้วบอกแม่ว่า
"น่ารักจัง ลูกๆหรือคะ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่อง เดี๋ยวจะให้ลูกชายมาคุยแล้วกันนะ มาพรุ่งนี้เวลานี้นะคะ เดี๋ยวจะบอกให้ลูกชายมาคุย" คุณป้าปราณี ตอบอย่างใจดี

วันนี้แม่กลับบ้านด้วยสีหน้ามีความหวังมาก
วันรุ่งขึ้น แม่ไปตามนัด ลูกชายและลูกสาวคุณปราณีมาคุย
แล้วลูกชายคุณปราณีก็บอกว่า "มันน่าสนใจนะครับ เดี๋ยวผมจะเอาไปเปิดดู แล้วป้ายเป็นอย่างไรครับ"
วันนี้ แม่อุตส่าห์พกพาป้ายมาพร้อม แม่พิมพ์ข้อความง่ายๆ คือ รับแปลงรูปภาพลงแผ่นวีซีดี พร้อมใส่เพลงประกอบ และรับแปลงวีดีโอทุกชนิดลงแผ่นวีซีดี แล้วแม่ก็ติดตัวอย่างประกอบ ก็กล่องและวีซีดีรูปฉันกะน้องเยี่ยมอันเดิมนั่นแหละ

ลูกชายคุณปราณีรับมาดูแล้วก็ยื่นไปให้น้องสาวดู เธอรับมาดูอย่างพอใจสอบถามแม่อยู่พักเกี่ยวกับรายละเอียดว่า จะให้ทางร้านทำอย่างไรบ้าง
"ทางร้านแค่รับเทป แล้วกรอกรายละเอียดลูกค้าตามแบบฟอร์ม เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร แล้วเก็บเงินมัดจำตามอัตราที่เรากำหนดไว้ให้ค่ะ รวมทั้งนัดเวลารับของ ออกใบรับของให้ลูกค้าซึ่งจะใช้เวลาสามวันนับจากวันฝากของค่ะ จากนั้นโทรบอกเรา เราจะมารับของไปทำค่ะ "
" ส่วนยอดเงินให้ทำบัญชีไว้เคลียร์กันทุกๆสิ้นเดือนค่ะ "

และแม่ก็ได้งานนี้ และความโชคดีของแม่นั้นคือ เจ้าของคนนี้มีอีก 25สาขา ซึ่งแม่ฉันก็วางหมดทุกสาขาในห้างสะดวกซื้อ ที่ใกล้บ้านพอจะไปรับของได้ รวมทั้งเซ็นทรัลสาขาใกล้บ้านด้วย
แล้วของทำเล่นของแม่ ก็กลายเป็นอาชีพ ที่ทำเงินเลี้ยงครอบครัวได้อยู่นานหลายปี แม้ธุรกิจร้านวีดีโอของพ่อจะต้องปิดตัวลงเพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนดู ที่จากวีดีโอเป็นดูวีซีดี หรือดีวีดีแทน แต่กิจการของแม่ก็ยังคงอยู่ โดนที่แม่ทำคนเดียว ทั้งกลางวันกลางคืน จากคนเพิ่งรู้จัก กลายเป็นมีลูกค้าประจำ งานที่แม่ทำ แม่ทำด้วยความปราณีต แม่ที่ไม่เคยฟังเพลง ต้องรู้จักเพลงเพื่อเลือกเอามาลงวีดีโอตามเนื้อหา เช่น ถ้าเกี่ยวกับรูปเด็กๆ แม่มักจะใส่เพลง "หนูอยากเป็นอะไร" หรือเพลง "รางวัลที่ยิ่งใหญ่","คู่แท้","ใช่เลย" ในรูปงานแต่งงาน หน้าปกก็จะเลือกเอาจากภาพสวยๆมาทำ รูปแบบสีสรรปกที่ดูเรียบ ทำให้งานของแม่เป็นที่ชื่นชอบจนมีลูกค้าประจำเป็นพรวน แต่แม่ก็มีกำลังทำน้อยเนื่องจากทำคนเดียว จากเครื่องคอมเพียงเครื่องเดียวจนมีสองเครื่อง

นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของงานแม่ฉัน

ดังนั้นเรื่องการเปิดร้านวีดีโอจึงเป็นเรื่องเฉยๆสำหรับแม่ แต่แม่บอกว่า "เปิดมาก็ช่วย แต่จะบอกว่าชอบไหมก็ต้องบอกว่าไม่ชอบขายของ" แม่บอกกับพ่อแบบนั้น
แต่ร้านวีดีโอร้านนี้ก็กลายเป็นบ้านที่สองของเราอยู่พักหนึ่ง.........................


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น