2/4/53

ตอนที่ 12 :ชีวิตและโชคชะตา



จากชีวิตที่มีความหวังของพ่อฉัน ตอนนี้กิจการของร้านเยี่ยมที่ดำเนินมาเกือบปีครึ่งก็พอไปได้ทีเดียว กับความขยันของพ่อแม้ขาแขนจะแย่ลง เพราะพ่อยังคงชีวิตแบบเดิมคือพักผ่อนไม่พอ และมักจะดื้อเวลาหมอบอกอะไรก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไอ้ที่ห้ามก็มักทำ หรือชอบทำตัวเหมือนหนูทดลองยาและทดลองหมอ (หมอนวด แผนไทย แผนจีน หมอจับเส้น แม้กระทั่งชาวบ้านที่อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ )คนแล้วคนเล่า
แต่อาการของพ่อก็ดูทรงๆ แย่ลงไม่มากนักในช่วงนี้

ส่วนร้านเยี่ยมนั้น ถ้าไม่คิดค่าที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารล่ะก็ ก็กำไรพอสมควรที่เดียว แต่ก็เพราะตัวที่เรียกว่า " ดอกเบี้ย" ที่ไม่มีวันหยุดราชการนี่แหละ มันทำให้ไม่เหลืออะไรเลย และภาวะนี้พ่อของฉันก็เริ่มมีโครงการใหม่ๆอีกแล้ว พอดีพ่อของฉันมีลูกค้าที่เปิดร้านสเต็ก 29 บาท และร้านของเขาไปได้สวยทีเดียว พ่อเลยนึกอยากจะเปิดร้านอาหารกะเขาบ้าง
พ่อมีลูกค้าร้านวีดีโอที่เป็นหัวหน้าเชพหรือพ่อครัวใหญ่จากภัตรคารชื่อดังที่มักมาเช่าวีดีโอและคุยกันถูกคอกับพ่อ เขารับปากจะส่งลูกน้องเขาที่เก่งมาเป็นเชฟที่ร้านพ่อและวางระบบร้านอาหารให้พ่อ หากพ่อสนใจจะเปิดร้านอาหารจริงๆ ก็ดูว่าจะเชื่อเขา พ่อฉันน่ะใครเอารายได้มาเสนอ พ่อก็มักจะสนองแทบทุกคราไป เงินเดือนเชฟรองก็ไม่ถูกสองหมื่นห้าต่อเดือนทีเดียว หากใครเป็นเชฟดังๆเก่งๆ ว่ากันว่าค่าจ้างแพงขนาดเป็นแสนก็ยังมี แต่พ่อเปิดร้านธรรมดาที่ใครๆก็เข้ามาทานได้ไม่ใช่ภัตราคาร ค่าจ้างระดับสองหมื่นห้านี่ ก็ไม่ใช่ว่าถูกนัก
พ่อเริ่มวางโครงการและบอกแม่ในวันหนึ่ง
" น้อง เฮียว่าจะเปิดร้านอาหารนะ " พ่อบอกกับแม่ฉันอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว
" หาเรื่องใหม่ทำอีกแล้วเหรอ" แม่พูดอย่างขัดคอ
" ลูกค้าพ่อเปิดร้ายสเต๊ก 29 ตอนนี้ขยายสาขาสองสามแล้ว ร้านอาหารน่ะกำไรดีจะตาย " แล้วพ่อก็ยกข้อดีมากมายก่ายกองมาบอกแม่
" แล้วพ่อทำเป็นรึ ใครจะทำอาหาร "
"มันมีสูตรสำเร็จ พ่อจ้างพ่อครัวเก่งๆคนเดียว แต่เขาขอเอาลูกมือของเขามาช่วยด้วยอีกคน แต่ลูกมือราคาไม่แพงอะไร แค่เป็นงานแล้ว นอกนั้นเราก็ฝึกเด็กของเราน่ะแหละ" พ่ออธิบายและบอกราคาค่าจ้าง
" มันก็ยืมมือคนอื่นหายใจ น้องไม่เห็นด้วยนะ แต่หากอยากจะทำนักก็ทำไป ลองเตรียมไว้หมดแล้วก็คงค้านไม่สำเร็จ"
" อีกอย่างวีดีโอเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยดี เผื่อเราอาจรุ่งในด้านอื่น " พ่อพูดต่อ แววตาอย่างมีหวังและความเชื่อมั่นมาอีกแล้ว ซึ่งแววตาแบบนี้ มันหมายถึงการทุ่มสุดตัวอีกแล้ว
"แล้วพ่อก็วางแผนว่า จะย้ายร้านวีดีโอขึ้นไปชั้นสองและสาม ส่วนด้านล่างเปิดเป็นร้านอาหาร กะว่าจะ แบบขายสเต๊ก และของย่างๆ เช่นเนื้อกระทะ แต่ทำดีหน่อยแบบบาบิคิวพลาซ่า " พ่ออธิบายโครงการใหม่

แล้วพ่อก็เอารูปถ่ายแบบร้านของลูกค้าพ่อมาให้แม่ดู
" แม่ก็พูดแค่ว่าก็สวยดี จะทำตามนี้หรือ "
พ่อพยักหน้า นั่นก็หมายถึงว่า แม่ไม่อยากจะพูดไม่อยากจะขัด แต่ไม่ว่าพ่อจะเปิดกิจการอะไร สุดท้ายก็ไม่พ้นภาระตกอยู่ที่แม่ทุกทีไป


แล้วไม่นานร้านเยี่ยมก็ก็ถูกดัดแปลงให้ด้านล่างของร้านเป็นร้านอาหาร

ชั้นวีดีโอถูกเลื่อนไว้ชั้นสองและสามแต่คงรูปแบบเดิมในวันหนึ่ง ไฟชั้นล่างถูกเปลี่ยนให้สว่างไสวขึ้น กระจกหน้าร้านถูกถอดออกเปิดโลงในเห็นด้านใน ผนังที่เป็นกรอบใส่รูปโปสเตอร์หนังมาใหม่ หนังดัง ถูกเปลี่ยนเป็นภาพการ์ตูนน่ารักที่เป็นรูปเชฟอ้วนๆขำๆ ที่ดูแล้วตลกน่ารักซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำจากปลายพู่กันของพี่แป้นเพื่อนรักของแม่ฉัน สร้างบรรยากาศให้อบอุ่นทีเดียว โต๊ะเป็นสไตล์คันทรี แบบง่ายๆ จานชามก็เป็นแบบเรียบๆที่แม่ไปเลือกซื้อมาจากจตุจักรที่ราคาไม่แพงนัก ด้านหลังร้านที่เคยเป็นที่เก็บจีนชุด ถูกดัดแปลงเป็นห้องครัว และลานชะล้าง ซึ่งต้องทำท่อดักไขมันตามข้อบังคับของการเปิดร้านอาหาร เมนูอาหารเริ่มถูกกำหนดโดยพ่อและเชฟที่มาวางระบบ ซึ่งตกลงว่าร้านของอาหารของพ่อนั้นจะขาย ขายสเต็ก 29 และ " สเต๊กลาว " เป็นเมนูหลักชูโรง

"สเต๊ก 29 "ก็คือสเต๊กที่ทำจากเนื้อหมูธรรมดาน่ะแหละ มาหมัก หั่นชิ้นบางหน่อย ทอดกับเนยหอมๆ
เสริฟพร้อมผักลวกสองสามชนิด เช่นแครอท ถั่วแขก มันฝรั่ง เป็นตัวชูโรงของร้าน เพราะราคาแค่ 29 บาท กำไรไม่ต้องพูดถึงกับอาหารจานนี้เพราะแทบไม่มีเลย แต่เราจะหากำไรจากจานอื่น เช่นสเต๊กจานร้าน ที่เวลาทอดเสร็จแล้วจะวางใส่จานเหล็กที่เผาจนร้อน เวลามาเสร็จก็ยังกะออกจากกระทะเลยทีเดียว ร้อนหอมชวนรับประทาน

ส่วน " สเต๊กลาว" นั่นก็คือ สเต๊กที่หมักกระเทียมพริกไทยนำไปทอดพอสุกพอดีๆและเสริฟพร้อม ส้มตำแซบๆ อร่อยนัก

และแล้วงานต่อมาก็คือ การออกแบบรูปแบบเมนู การทำอาหารแล้วถ่ายรูปประกอบเมนู โดยแม่ของฉัน จากนั้นการตลาดของร้านอาหารของพ่อก็คือ การส่งจดหมายไปยังสมาชิกร้านวีดีโอทั้งหมดทั้งร้านเยี่ยมและร้านสาธุฯ ตามรายชื่อที่มีอยู่ ให้ทราบถึงกิจการใหม่ที่เปิดเสริมขึ้นรายการนี้และรายการกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่นหากเช่าวีดีโอครบ 300บาท ก็จะได้บัตรส่วนลดในการทานอาหารที่ร้าน 20 เปอร์เซ็น หรือ ทานอาหารครบ 500 บาท ก็จะได้ส่วนลดในการเช่าวีดีโอ 15 เปอร์เซ็น ทุกคนในร้านทำงานหนัก ต้องนั่งจ่าหน้าซองในแผ่นพับและติดแสตมป์เป็นพันๆใบ บ้างก็จ่าหน้าซองในไปรษณียบัตร บ้างก็ต้องไปยืนแจกใบปลิวโฆษณาตามสถานที่ๆมีคนมากๆ เช่นตามตลาด ป้ายรถเมย์ ในย่านนั้น พนักงานร้านทุกคนก็ดูเต็มใจทำ เพราะแม่ของฉันมักให้การดูแลพนักงานดี อย่างนายจ้างผู้มีน้ำใจ เงินจะไม่มีอย่างไร แต่แม่ก็จะกันรายได้เป็นค่าจ้างพนักงานก่อนเสมอ

ไม่นานร้านอาหารด้านล่างร้านวีดีโอก็เปิดกิจการ ด้วยรูปแบบร้านที่สบายๆนิสัยใจคอเจ้าของร้านที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ทำให้วันแรกที่เปิดร้าน คนมากมายที่เข้ามาลองลิ้มชิมรส เรียกว่า ยืนรอคิวกันริมฟุตบาทเลยทีเดียว
แม่ที่ไม่ยินดียินร้ายกับพ่อก็ยังเชิญคุณตาคุณยายและพี่แป้นพี่ตุ่ยมาลองทาน แม้ฝีมือพ่อครัว แม่จะรู้สึกว่า ก็ธรรมดา ไม่เก่งกาจสมราคาคุยนัก อาหารค่อนข้างรสชาติไม่คงที่ตามที่แม่ชิม แต่คนก็เต็มร้าน แน่นมาก ในวันเปิดกิจการ และแม่ก็ต้องเป็นคนตื่นไปตรวจตราความสะอาดและความพร้อมของร้านอย่างอดไม่ได้แต่เช้าเหมือนทุกๆครั้งที่มีการเปิดกิจการ แล้วก็กลับมาดูกิจการร้านสาธุฯ
" น้องๆ คนเต็มร้านเลย " พ่อโทรมาบอกแม่ที่ร้าน
"ก็ดีแล้วนี่ "
พ่อหน้าบาน แต่แม่ฉันกลับหน้าตาดูเหนื่อยหน่ายเมื่อพูดถึงร้าน


ช่วงนี้แม่เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง ความเซ็งจัดของแม่ ทำให้แม่หันมาทำตัวแก้เซ็ง เช่น เปลี่ยนทรงผม และสไตล์การแต่งตัว แม่จากใส่ชุดหลวมๆสบายๆออกนอกบ้าน แบบกางเกงตัวเสื้อตัวก็ออกไปส่งฉันถึงโรงเรียนได้แล้ว ก็เป็นใส่เสื้อผ้าที่มีรูปทรงทันสมัยขึ้น เรียกง่ายๆ จาก "ยายเพิ้งทำแต่งาน หัวยุ่ง" เป็นคุณแม่ที่ทันสมัยขึ้น แม่มีกลุ่มผู้ปกครองที่มีลูกที่เรียนที่โรงเรียนเดียวกับฉันเป็นเพื่อนบ้าง ส่วนเพื่อนสมัยเรียน แม่ก็คบกับพี่แป้นคนเดียวเพราะปกติแม่ก็ไม่ชอบสมาคมหรือยุ่งกับใคร ไม่สนที่จะทำความรู้จักใครด้วยซ้ำ แม่มักพูดเสมอว่า

"มีเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา" นี่แหละอุดมคติในการคบเพื่อนของแม่
เพื่อนกลุ่มนี้ถูกแนะนำให้รู้จักโดยอาซิ้มของฉันเอง อาซิ้มก็คือน้องสะใภ้ของแม่เองของทางฝ่ายพ่อฉัน ซึ่งมีลูกสาวที่อ่อนกว่าฉันปีเดียวและลูกสาวอาซิ้มกับฉันเรียนโรงเรียนเดียวกัน ลูกสาวอาซิ้มหน้าตาน่ารัก แม่ชอบบอกว่าเหมือนเทวดาน้อยตอนลูกพี่ลูกน้องของฉันคนนี้ยังเด็กๆ อาซิ้มมักไปช็อปปิ้งกับผู้ปกครองคนอื่นๆและวันหนึ่งก็แนะนำเพื่อนกลุ่มนี้ให้แม่รู้จัก แต่เพื่อนใหม่ที่แม่ชอบมากที่สุดเห็นจะเป็น "น้าพัด" ที่แม่มักพูดถึงเสมอๆอย่างขำๆ
แม่เล่าว่า ตอนที่แม่รู้จักน้าพัด น้าพัดหน้าตาสวยแต่ไม่สูงมากนัก น้าพัดและสามีจะมารับลูกด้วยกันเสมอ ดูทั้งคู่เหมาะสมกันดี แม่มักมองสามีภรรยาคู่นี้เสมอๆมานานแล้ว เจอหน้ากันก็ได้แต่ยิ้มๆ ที่มองก็เพราะว่า แม่มักมาก่อนเวลารับลูกและนั่งรอลูกๆ และสามีภรรยาคู่นี้ก็จะมารับลูกของเขาพร้อมกันเสมอๆ เท่าที่จำได้ ไม่เคยเห็นขาดไปแม้สักวันเดียว แม่มองแล้วรู้สึกว่าช่างน่ารักและอบอุ่น

แม่เล่าถึงน้าพัดว่า มีวันหนึ่งน้าพัดจะแนะนำให้รู้จักเพื่อนใหม่อีกคนหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึงโรงเรียนว่า
"คนนี้นะ เป็นคุณแม่ยังสาว สวย เอกลักษณ์คือ หน้าหลังเหมือนกัน "แล้วน้าพัดก็เอามือวางไปที่ผนังห้องอาหารโรงเรียน แล้วก็ลูบผนังห้องอาหารแล้วก็พูดว่า
"เมื่อลูบๆ แล้วก็สะดุดตะปู นี่คือ หน้าอกของคุณแม่สาวสวยคนนี้"
ตอนแรกแม่ยังงงๆ แต่มาถึงบางอ้อตรงที่เจอพี่คนสวยคนนี้เดินเข้ามา
คุณแม่คนใหม่คนนี้ รูปร่างโปร่งบาง ผิวขาว แต่งตัวทันสมัย ผมยาว หน้าตาตกแต่งอย่างดี ดูมีฐานะและชอบแต่งตัว แต่ๆๆ…………………….หน้าอกเธอช่าง แบบราบเรียบดุจสาววัยเริ่มรุ่น หรือเรียกง่ายๆคือ นมเพิ่งจะขึ้น แม่เล่าว่า แม่อดที่จะอมยิ้ม ในคำเปรียบเปรยของน้าพัดคนนี้ไม่ได้ แม่นึกชอบเพื่อนคนนี้ถึงความช่างมีอารมณ์ขันอยู่ไม่น้อย

วันแรกที่รู้จัก ถ้อยคำบรรยายถึงสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆมีมาให้ฟังไม่ขาดสาย ล้วนแต่มีคนโทรมาหาแม่เล่าเรื่องแบบเผาๆของแต่ละคนให้ฟัง
มีคนหนึ่ง ชื่อ" ป้าแขก " โทรมาเล่าให้แม่ฟังตอนกลางคืนว่า
"น้อง พัดน่ะมันแสบนะ มันเคยหลอกให้พี่แต่งตัว บอกว่าจะเลี้ยงอาหารตอนตีสองที่เยาวราช โทรมาให้พี่แต่งตัวรอ บอกว่าจะมารับ แล้วก็ไม่มา มันบอกว่าพอดีจะมาแล้ว แต่มีรถคอนเทรนเนอร์เสียขวางถนนมาไม่ได้ คิอดูนะน้อง ตีสอง มันโทรหลอกให้มากินฟรี ให้แต่งตัวรอ แล้วมันไม่มีรับพี่"
ก็ "ป้าแขก" คนนี้ ว่ากันว่า มีชื่อเรื่อง กินฟรี "หากแชร์กันออกข้าไม่ หากฟรีล่ะก็ข้าไป" เพื่อนๆคนอื่นเลยชอบแกล้งบ่อยๆ แต่ที่คดีเด็ดสุดน่าจะเป็น การหลอกป้าแขกว่า จับรางวัลได้ทีวี29นิ้ว ตอนงานผู้ปกครองของโรงเรียน
เรื่องมีอยู่ว่า ในงานผู้ปกครองที่ทางโรงเรียนจะจัดขึ้นแล้วให้เด็กนักเรียนแสดงให้พ่อแม่ดู มีการขายโต๊ะจีน ที่จริงไม่มีการชิงรางวัลเลย ไม่ว่ารางวัลอะไรก็ไม่มี คืนนั้นผู้ปกครองกลุ่มนี้ก็รวมกับซื้อโต๊ะจีน โต๊ะเดียวกัน เพื่อจะได้นั่งร่วมโต๊ะกัน และพี่แขกเกิดกลับไปก่อน แถมเอาหางบัตรติดไปด้วย พอตกเช้า น้าพัดก็มาบอกพี่แขกว่า
" แขก เมื่อคืนนี้โต๊ะเราจับฉลากได้ทีวีสี 29นิ้ว แต่ไม่มีหางบัตร จึงไม่ได้รับทีวี นี่ถ้าได้นะจะเอาไปขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกัน "
ทีวี29นิ้วสมัยก่อนสี่ห้าหมื่นบาททีเดียวเรียกว่าแพงมากไม่เหมือนสมัยนี้
" โคตรเสียดายเลย " น้าพัดทำบ่น
" ใช่ๆๆ" ฝ่ายสนับสนุน ร่วมด้วยช่วยกันแกล้ง
" เฮ้ยจริงหรือ โรงเรียนนี้งกจะตาย มีการแจกรางวัลด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ อย่ามาอำเลยพัด" เสียพูดเริ่มสั่นๆ แบบไม่แน่ใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
" ทำไงดี หางบัตรทิ้งไปแล้ว " พูดเหมือนไม่เชื่อแต่กลับบอกว่าทำไงดี
" เฮ้ยไปหาก่อนสิแขก " เดี๋ยวเรากับฟ้าจะไปถามให้ว่ารับได้อีกไหม" ไปกันฟ้า ไปห้องธุรการกัน
แล้วสองคุณแม่คนเก่งก็เดินไปห้องธุรการทำทีไปถามซิสเตอร์ในห้อง แต่พี่แขกก็ง่วนกับการรื้อและรื้อๆๆๆอย่างกับว่าไอ้หางบัตรที่ทิ้งไปแล้วมันจะมาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง
พี่แขกเล่าให้แม่ฉันฟังภายหลังว่า พี่นะนอนไม่หลับเลย กลับบ้านไปก็ไปหาถังขยะบ้าง ในกระเปาถือบ้าง ตามพื้นตามโต๊ะเผื่อตกอยู่ ไม่ได้ทิ้งไป ตอนกลางคืนก็มีคนโทรมาถามอีกว่า หาเจอยัง พี่ก็บอกว่าจริงหรือเปล่าเนี่ย ที่ถามก็เพราะว่าไม่เคยได้ยินว่าในงานมีการชิงโชค ถ้าทราบจะรีบกลับทำไม

แต่พอเช้านี่สิ สองตัวดีมาตบโต๊ะ บอกว่า
" พี่ทำให้พวกเราอดได้รางวัลทีวี29นิ้วเลย "

แล้วยื่นจดหมายมีใจความว่า

"เรียนท่านผู้โชคดีทราบ

เจ้าของบัตรโต๊ะเลขที่…..ให้นำหางบัตรมาแสดงเพื่อรับรางวัลภายในวันที่….
หากพ้นกำหนดจะถือว่าสละสิทธิ์

ขอพระหฤทัยอวยพรท่าน
แล้วก็ลงลายเซ็น อธิการของโรงเรียน"

"พี่ก็เชื่อมันสองคนสนิทเลย ไปร้องไห้ ที่โรงอาหาร " สองคนนี่ก็มาปลอบแล้วบอกว่า
" ไม่เป็นไรน่าแล้วไปแล้ว ถือว่าไม่มีดวงเอง"
เรื่องก็ผ่านไปเป็นปีจนถึงปีใหม่ที่ต้องมีงานโรงเรียนแบบนี้อีก เผอิญพี่ก็ไปนั่งคุยกับผู้ปกครองคนหนึ่งว่า
"ปีนี้มางานผู้ปกครองไหมคะ"
"มาสิคะ ลูกแสดงสองคน แล้วคุณแขกล่ะคะ มาไหม"
" มาสิคะ นึกแล้วก็นึกถึงปีที่แล้ว คุณน้องได้อยู่จนจบงานหรือเปล่าคะ"
"อยู่จนจบเลยค่ะ"
"พี่น่ะน่าเสียดาย กลับไปก่อน โต๊ะพี่สิจับหางบัตรได้รางวัลใหญ่ ทีวีสี 29 นิ้วแต่พี่กลับไปก่อนแล้วทิ้งหางบัตรไปก่อน ไม่ทราบว่าได้รางวัล เลยอดไปรับรางวัลเลยเสียดายจริงๆ"
"เอ๊ะ !!!ฉันก็อยู่จนงานเลิก ไม่เห็นมีการจับหางบัตรอะไรเลยนี่คะ"
"จริงหรือคะ" พี่แขกถามย้ำ
"จริงค่ะ" แล้วผู้ปกครองคนนั้นก็ไปเรียกผู้ปกครองท่านอื่นมาถามให้แน่ใจอีก ก็ปรากฏว่า ไม่มีเลยการจับรางวัลอะไรนั้น
นี่แหละเรื่องเด็ดของน้าพัด ที่ป้าแขกเล่าให้แม่ของฉันฟัง "แหกตาข้ามปี" ป้าแขกเล่าอย่างยังไม่หายแค้น
เรื่องนี้อีกนั่นแหละพออาซิ้มฟ้าโทรมาหาแม่แล้วแม่ถามถึงเรื่องนี้ อาซิ้มฟ้า กลับเล่าด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานคนละอารมณ์กับป้าแขกเล่า แม่ก็ฟังอย่างขำๆสนุกไป
แม่มักมีผู้ปกครองโทรมาเล่าเรื่องวีรกรรมของน้าพัดให้ฟังมาก แต่แม่ก็ฟังสนุกๆไม่วิจารย์อะไร แม่ไม่ชอบนินทา ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แม่มักสอนฉันเรื่องการนินทาเสมอว่า

"หากใครมาว่าใครให้เราฟัง หากเราแก้ความเข้าใจในทางดีให้คนที่มาว่าอีกฝ่ายได้ก็ทำไป หากไม่ได้ก็เฉยเสีย อย่าออกความเห็นในเชิงเห็นด้วยให้คนที่มานินทาคนอื่นให้ฟังเด็ดขาด เพราะหากเจอคนไม่ดี ความเห็นของเขาจะกลายเป็นความเห็นของเราไปทันทีเวลาเขาไปเล่าต่อ จะกลายเป็นว่า คำว่า เอ้อ จริงๆ เราก็ว่างั้น มันจะกลายเป็นว่า เราว่าเสียเอง"

" จำไว้นะพลอย เพื่อนน่ะทุกคนมีทั้งขอดีและข้อเสีย หากเราคบเพื่อน จงมองแค่ข้อดีของเขาพอ
ข้อเสียก็อย่าไปคบ บางคนเขาไม่ดีกับคนอื่นแต่เขาดีกับเรา หากคนอื่นมาว่าให้เราฟังเราก็อย่าไปใส่ใจเลยตราบใดที่เพื่อนคนนั้นดีกับเรา แค่เราระวังไว้ก็พอ"

ร้านเยี่ยมดำเนินกิจการมาได้หนึ่งเดือนก็เกิดปัญหา พ่อครัวที่เอามาจากภัตรคารก็เล่นตัวซะแล้ว
ขอขึ้นค่าจ้างทั้งๆที่ร้านเปิดได้แค่เดือนเดียว เข้าใจว่าคงเห็นว่าร้านมีคนมากหน่อย ก็เรียกค่าจ้างเพิ่มหากไม่ขึ้นค่าจ้างก็จะลาออก

ทั้งๆที่ คนมากก็เพราะว่าเรายังทำการตลาดอยู่และสมาชิกร้านวีดีโออยู่ในระหว่างการส่งเสริมการขายและมาลองชิม กำไรก็ยังไม่มากมายอะไรทุนหรือไม่ต้องพูดถึง ยังไม่คืนเลยสักนิดเดียว เพราะช่วงเปิดร้านคือช่วงเรามีการโปรโมชั่นอยู่กำไรก็น้อยตาม อะไรๆก็ยังไม่อยู่ตัวสักนิดเดียว

เรื่องนี้ทำให้แม่ของฉันโมโหมากเมื่อทราบเรื่อง
" นี่แหละหนาการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ " แม่บ่นให้ฉันฟังเมื่อทราบปัญหาของพ่อ
" เปิดร้านคนมากแค่เดือนเดียวใช่วัดได้เมื่อไหร่ว่าเราจะรักษาลูกค้าได้อย่างนี้เสมอ คนไทยน่ะ แปลกอย่าง เวลาใครค้าขายอะไรแล้วดูดีก็มักจะเปิดตามกันพรึบ การเปิดร้านน่ะไม่ยากหรอกนะพลอย แต่การรักษาลูกค้าหรือกิจการให้คงอยู่เหมือนเดิมมันยากกว่า" แม่หันมาสอนฉัน
" และจำไว้นะลูก หากเราเปิดกิจการที่เราไม่ถนัดหรือไม่มีความสามารถแล้วต้องใช้คนอื่น มันก็เหมือนการยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ หรือยืมแข้งขาเขาเดิน มันไม่ไปตามใจเราเมื่อไหร่ก็ลำบากแบบนี้"

เรื่องนี้ทำให้พ่อฉันต้องไปเจรจากับพ่อครัวใหญ่ ในรอให้ร้านอยู่ตัวเสียก่อน ซึ่งพ่อครัวก็นิ่งเฉยไม่รับคำแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่อีดอัดกันอยู่ แม่ฉันจึงเรียกพนักงานที่ไว้ใจมาคุยว่า "เวลาเขาทำอะไรก็ให้ดูๆแล้วหัดทำ รู้จักสังเกตเผื่อมีอะไรเราก็จะได้หัดทำกันเองนะ" พนักงานของแม่ก็รับคำ

แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น หลังจากที่พ่อเจรจาว่ายังขึ้นให้ไม่ได้ พ่อครัวตัวแสบก็เป็นอันออกอาการ เช้ามาทำงานสิบโมงเช้าก็จริง แต่ขึ้นไปนอนเสียข้างบนร้าน ที่ชั้นห้าที่พักพนักงาน เพราะช่วงเช้าพ่อฉันไปทำงานข้างนอกไม่ได้มาเฝ้าร้าน เวลาลูกค้ามาทานอาคารครัวที่เคยเปิดสำหรับช่วงเที่ยงหรือคนที่ทานข้าวสายๆ เพราะร้านเรามีอาหารตามสั่งง่ายๆด้วย ก็เป็นอันไม่มีพ่อครัว ลูกน้องของร้านอาหารที่เป็นคนของเราไปเรียกว่าลูกค้ามา เรียกให้ลงมาทำหน้าที่ตัว พ่อครัวผู้ยิ่งใหญ่ท่านก็ไม่ลงมาซะนี่ หนักๆเข้าลูกค้าช่วงเช้าและช่วงกลางวันก็เป็นอันอันตธารหายหน้าไปหมด เพราะนึกว่าร้านเปิดเฉพาะช่วงเย็น พนักงานลูกน้องของพ่อก็ช่างแสนดี ไม่กล้าบอกกล่าวหรือทำตัวเป็นบ่าวช่างฟ้อง จนกระทั่งรายได้ในเดือนต่อมาน้อยลงไปมาก
" แปลกแฮะ รายได้น้อยลงไปครึ่งนึงทีเดียว ทั้งๆที่ตอนเย็นๆเฮียเข้าร้านก็มีคนนี่นา" พ่อเปรยให้แม่ฟัง
วันรุ่งขึ้นแม่เจอพี่นกพนักงานร้านเยี่ยมก็เอ่ยถามว่า
"นก ที่ร้านอาหารไม่มีคนหรือ ทำไมรายได้ลดลง " แม่ถามขึ้น
" ก็มีนะคะคุณ แต่ไม่มีคนทำอาหาร "
"อ้าวทำไมล่ะ พ่อครัวกับผู้ช่วยของเขาก็สองคนแล้วนี่ แล้วยังลูกมืออีก" แม่ถามอย่างสงสัย
" เขาไม่ลงมาทำค่ะ เขาจะลงมาก็บ่ายสามแล้ว พวกหนูขึ้นไปเรียกเขาก็ไม่ลงมา"
" แล้วเวลาลูกค้ามา ตอบลูกค้าว่าอย่างไรเล่า"
" ก็ต้องบอกว่าร้านยังไม่เปิด ให้มาใหม่ตอนเย็นๆ"
" ดีนี่ แล้วไม่บอกกันคนหิวข้าวกลางวันให้รอกินเย็น ใครเขาจะมารอ แถวนั้นพนักงานก็มาก แบบนี้ก็แย่น่ะสิ"
"เอางี้ อาหารง่ายๆนกก็ทำเป็นนี่นะแบบผัดกระเพราะและข้าวผัด ต้มจืด ไข่เจียว ไม่ต้องกี่อย่างหรอกเดี๋ยวทำเมนูกลางวันให้ นกกับศรีทำแทนได้ไหม แล้วฉันจะให้พิเศษที่ช่วยนะ ไม่งั้นร้านมันจะไปไม่รอดและลูกค้ามันจะหายไปหมด อีกอย่างฉันก็เคยชิมที่เราสองคนทำกับข้าวให้ฉัน รสชาติก็อร่อยดี พ่อครัวนั่นก็ใช่จะเก่งกาจอะไร ก็งั้นๆ เพราะเขามาจากร้านอาหารจีน อ้อ แล้วถ้าฉันให้เราสองคน เป็นแม่ครัวทำอาหารตามรายการสเต๊กส้มตำแบบเขา เราสองคนจะทำได้ไหม"
" ได้ค่ะ หนูดูแล้วไม่ยากอะไร หมักเนื้อหมู แล้วก็ทอดด้วยเนยเอง ส้มตำหนูก็ตำเป็น น้ำจิ้มหนูก็ทำได้ค่ะ" พี่พนักงานสองคนรับคำแม่เป็นอันดี
แม่พนักหน้าอย่างพอใจ พนักงานเก่าๆของแม่อยู่กันมานาน รักแม่ และหนักเอาเบาสู้ เพราะเป็นพนักงานรุ่นบุกเบิก แม่จบแค่ปอหก และเคยทำงานแค่เก็บพริกมาก่อนก็จริง แต่หัวไว และมีน้ำใจกว่ามาก

แล้วแม่ก็คุยกับพ่อว่า
" ป๊า น้องไม่ชอบพ่อครัวที่ทำตัวแบบนี้นะ " แม่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
" อีกอย่างใครที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีน้ำใจมาเรียกร้องขู่จะออกถ้าไม่ได้ตามต้องการ แบบนี้คงอยู่กันไม่ได้ "
แม่บอกตรงๆ
"แล้วจะให้ทำอย่างไร ก็ต้องง้อเขานี่"
" แล้วจะให้ลูกจ้างมาทำแบบนี้หรือ หากพนักงานคนอื่นทำบ้างล่ะ คงต้องขึ้นเงินเดือนให้หมดทุกคนหรือไง"
"ก็บอกมาสิ ว่าจะให้ทำอย่างไร"
"บอกเขาว่า หากจะทำที่นี่ ก็ต้องทำตามข้อตกลงเดิม มาทำงานก็ต้องทำงานไม่ใช่มาเซ็นเวลาแล้วขึ้นไปนอน ไม่เช่นนั้นจะลาออกก็ออกไปเลย " แม่บอกพ่อ
" แล้วถ้ามันออกไปจริงๆจะทำไงละ "
" ก็ออกไป หากเปิดร้านแล้วต้องขึ้นอยู่กับนายคนนี้ แล้วปล่อยให้มาสั่งเราไม่ต้องเปิด ปิดไปเลย"
"พูดออกมาได้" พ่อว่า
" พูดจริง ป๊าก็รู้น้องเป็นยังไง เกลียดที่สุด คือการที่ลูกจ้างมาต่อรอง ป๊าจำไม่ได้หรือ เรื่องประยูรพี่เลี้ยงน้องพลอย ที่เมื่อก่อนมาขอลาออกตอนที่เราจะไปทำงานที่เชียงใหม่ ที่จำเป็นต้องให้เขาเลี้ยงลูก เพราะคิดว่าเราต้องง้อถ้ามาลาออกวันที่เราเดือนร้อนต้องใช้เขา น้องยังให้ออกเลย แล้วเอาลูกไปฝากตากับยายที่เมืองชล"
" เราต้องทำให้เขารู้ว่า เรามีคนแล้ว ไม่สนเขา "
"หรือจะให้น้องไปพูดเอง"
" เอาสิ ไปเลย"
วันนั้นแม่ไปที่ร้าน เรียกพ่อครัวและผู้ช่วยเขามา เพราะพ่อครัวบอกว่า หากเขาออกผู้ช่วยเขาก็ต้องออกไปพร้อมกับเขา

" ตกลงเราสองคน หากไม่ขึ้นเงินเดือนให้ ก็จะลาออก หรือทำงานแค่ตอนเย็นใช่ไหม "
"ครับ" พ่อครัวตัวแสบของเราตอบ แต่ผู้ช่วยยังมีอาการปรายตามองลูกพี่ใหญ่ ไม่ตอบว่าอะไร
" แน่นะ"
"ครับ"
"งั้นไปเก็บของกลับบ้านได้เลย ลาออกเอง เงินล่วงหน้าก็ไม่ได้นะ อีกอย่างเธอก็ไม่ได้อยู่ตามข้อสัญญาปีหนึ่งด้วย ถือว่าเธอสองคนผิดสัญญาเอง"
ฉันสังเกตเห็นพ่อครัว ตาค้างและอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่ยังทำเป็นมีเชิงว่า
" ผมอยู่ช่วยจนหาคนได้ก็ได้ครับ" ทำเหมือนมีน้ำใจฉันคิด แต่คงเพราะกลัวตกงานมากกว่า เพราะตอนเป็นลูกมือที่ภัตรคารได้แค่เดือนละ 9000 เพราะเป็นแค่ผู้ช่วย
" ไม่ต้อง ฉันมีคนแล้ว อีกอย่างฉันพูดตรงๆคือ หากคนเราร่วมกันสร้างร้านมาด้วยกัน แล้วมาทำแบบนี้ ฉันถือว่าเธอไม่มีน้ำใจ และลูกน้องฉันทุกคน แม้ฉันไม่ขึ้นเงินเดือน หากฉันมีกำไรมาก เทศกาลตรุษจีนปีใหม่ ฉันก็ให้ทองทุกคน มากบ้างน้อยบ้างก็ตามผลงาน ไปถามลูกน้องฉันทุกๆคนได้ ไม่งั้นฉันคงไม่มีพนักงานเป็นสิบๆคนที่อยู่กับฉันมาตั้งแต่เปิดร้านสาธุฯ คนที่อยู่กับฉันไม่ได้มีแค่สองประเภทคือ ไม่มีน้ำใจและไม่ซื่อสัตย์"
แล้วลูกมือพ่อครัวตัวแสบก็เอ่ยมาเป็นครั้งแรกว่า "ผมไม่ลาออกครับ ไม่ใช่ความคิดผมนะครับ"

ครั้งนั้นพ่อครัวตัวแสบก็เลยต้องออกไปในวันนั้น เพราะแม่เป็นคนที่หากจะให้ใครออกแล้วล่ะก็
วันเดียวชั่วโมงเดียวก็จะไม่ให้อยู่ ให้ออกเลยทันที
แม่สั่งพนักงานคนอื่นให้ไปคุมพ่อครัวเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วแม่ก็คิดเงินเดือนให้เต็มเดือนไปเลย แม้เดือนนั้นจะเพิ่งผ่านไปแค่ห้าวัน แต่ลูกมือขออยู่ต่อ แม่ก็ให้อยู่

นับแต่วันนั้น พนักงานร้านวีดีโอ ที่มีฝีมือในการทำอาหารก็เปลี่ยนมาเป็นแม่ครัวด้วย ที่จริงเวลาไม่มีลูกค้าร้านอาหาร พนักงานก็เอาวีดีโอมานั่งกรอตรวจเนื้อเทปกันที่ด้านล่างบ้าง ตรวจเช็ควีดีโอบ้าง ทุกๆคนไม่เกี่ยงงาน พอลูกค้าร้านอาหารเข้าร้านก็ช่วยกันต้อนรับ เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าเดิมที่พอจะรู้จักกันอยู่แล้ว ลูกมือคนนั้นดูจะซื่อดีกว่าพ่อครัวหลักคนเดิมเสียอีก

การออกไปของพ่อครัว ทำให้เราตรวจพบอะไรอีกหลายอย่างเช่น การทุจริตในการจัดซื้อ เช่นเนื้อปูสดไว้ทำข้าวผัดปู มีรายการซื้อทุกวัน แต่สินค้าในตู้เย็นไม่มี และไม่มีรายการขายออกไป พ่อครัวคนนี้ทราบภายหลังว่า เขามีปัญหาการเงิน เพราะติดพนันบอล ชอบดูบอลจนดึกหลังเลิกงาน เช้ามาก็ไม่มีแรงจะทำงาน
ร้านเยี่ยม โดนแม่ฉันปรับเปลี่ยนเมนู ตัดเมนูที่ไม่ค่อยนิยมออกไป แล้วเพิ่มเมนูใหม่ๆเข้ามาแทน
เพื่อลดประเภทของวัตถุดิบให้น้อยลงด้วย
กลางวัน แม่เปลี่ยนเป็นขายก๋วยเตี๋ยวเรือชามละ10บาท แทนการขายอาหารตามสั่ง แม่ตระเวนชิมตามร้านอร่อยๆที่ชอบแล้วลองทำดู แล้วแม่ก็สอนลูกน้องทำ แม่ไปซื้อเรือลำจิ๋วมาจัดหน้าร้านเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวเรือ บางวันแม่นึกสนุกก็ไปลวกก๋วยเตี๋ยวขายลูกค้าเอง เช่นวันแรกที่เปิดขาย คนมากมายพอบ่ายโมง ของก็หมดเกลี้ยง แม่จะไม่เพิ่มปริมาณ เอาแค่พอหมดให้อดๆอยากๆกัน
" ขายแยะไม่ดีหรอก มันเหมือนเราขายเหลือ เรากะพอกับที่เราจะขาย เช่น เรากะของ 100ชาม หมดแล้วก็หมดเลย ใครมาไม่ทันก็ต้องมาวันต่อไป" แม่บอกนโยบาย
"เหตุผลคือ เราไม่เหนื่อยจนเกินไป จะได้พักกันบ้าง เพื่อเตรียมขายตอนเย็น ครัวร้านอาหารใหญ่ๆ หากมีลูกจ้างกะเดียวเขาจะปิดพักช่วยบ่ายสองหลังเก็บร้านเสร็จ ไปเปิดอีกทีก็ช่วงสี่ห้าโมงเย็นขายตอนเย็น"
" ที่ขายก๋วยเตี๋ยวกลางวันเพราะมันง่ายๆดี ไม่ยุ่งยาก ลูกน้องคนไหนๆก็ทำได้ แค่เรามีน้ำซุบอร่อยไว้"

แล้วกิจการขายก๋วยเตี๋ยวเรือก็เป็นที่รุ่งเรือง มีลูกค้าประจำมากมาย ขาจรก็เยอะ เพราะใกล้ป้ายรถเมล์ แล้วราคาก็แค่10บาท แม่จะใช้วัสดุคุณภาพดีในการทำอาหารเสมอ
" อาหารน่ะวัตถุดิบต้องสด หากขายไม่ดีของยังไม่สด ไม่นานคนก็จะหนีไป แม่เคยไปทานบางร้านหมูสับมีกลิ่นเหม็นแม่ก็ไม่ไปทานอีกเลย แม่ทราบว่า พวกนี้เวลาเขามีหมูหั่นที่ประกอบอาหารวันนั้นไม่หมดเขาก็จะแช่ไว้บ้าง นานไปก็เอาไปหมักกระเทียมพริกไทยเพื่อกลบกลิ่นเหม็นเน่าบ้าง ดูด้วยตาเราไม่รู้หรอก แต่ชิมดูก็จะทราบ" แม่สอนฉัน
" เราไม่อยากทานแบบไหนก็อย่าไปทำให้ลูกค้าทาน " ของเหลือหากไม่สดไม่ดีแล้วต้องทิ้งก็ทิ้งไป
กิจการร้านอาหารทั้งสองอย่างก็ดูไปได้เรื่อยๆ แต่พ่อสิพอเห็นแม่ทำโน่นนี่และแก้ปัญหาเรื่องต่างๆไปได้ด้วยดี ก็มักจะหาเรื่องอาชีพใหม่ๆมาให้แม่ทำอีก เช่น จะเปิดร้านอินเตอร์เน็ต พ่อเริ่มโยนภาระมาให้แม่ทีละนิด เพราะแม่เป็นโรคที่เรียกว่า อดไม่ได้ที่เวลาพ่อมีปัญหาจริงๆแล้วจะต้องเข้าไปช่วยแล้วแม่ก็มักแก้ปัญหาได้เพราะความเด็ดขาดของแม่เองทั้งๆที่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับกิจการของพ่อเลย

แล้วชะตาชีวิตก็ทำร้ายแม่จนได้ ช่วงนี้ร้านวีดีโอเป็นรอยต่อของการมีกฎหมายลิขสิทธิ์ กำลังจะเข้าสู่การที่ต้องใช้ม้วนมาสเตอร์เพื่อการเช่าวีดีโอ ห้ามทำการดัดแปลงทำซ้ำ พูดง่ายๆก็คือ ห้ามอัดวีดีโอเหมือนในอดีต ต้องให้เช่าโดยใช้ม้วนมาสเตอร์เท่านั้น แต่เอเย่นที่ขายลิขสิทธิ์จะขายลิขสิทธิ์โดยให้สติกเกอร์จริงมาติด ซึ่งเราต้องซื้อเพิ่มจากบริษัท ก็ถือว่าถูกต้องแล้วร้านไหนๆก็ต้องทำแบบนี้ทั้งนั้น

แต่ร้านเราโดนจับ ทั้งๆที่ทำถูกต้องตามผู้ขายลิขสิทธิ์ให้ทำ ค่าลิขสิทธิ์ก็เสียทุกเดือน ค่าสติกเกอร์ก็ซื้อตามจำนวนที่จะอัด แต่ก็ยังโดนจับ
วันนั้น…………………..
เสียงโทรศัพท์จากร้านเยี่ยมดัง
"คุณคะ ที่ร้านโดนตำรวจมาตรวจและจับพี่ตุ้ยไปค่ะ" เสียงพี่นกพูดอย่างตกใจ
"จับเรื่องไรเหรอ" แม่ยังงงๆ
"เขาว่าเรื่องลิขสิทธิ์ค่ะ"
"เราก็ซื้อถูกต้องนี่นา"
จากนั้นแม่โทรไปหาพ่อ บอกเรื่องราว พ่อสั่งว่าให้บอกพนักงานที่โดนจับไปว่าให้รับเป็นเจ้าของร้าน และไม่ต้องพูดอะไร เดี๋ยวจะไปประกันตัว "พ่อสั่ง
"แม่จึงบอกพีนกให้รีบวิ่งไปบอกพี่ตุ้ยว่าให้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าของและไม่ต้องบอกว่าอะไร
ที่สถานีตำรวจสำหรับการผิดเรื่องลิขสิทธิ์ ถ้าจำไม่ผิดเรียกกรมทรัพย์สินทางปัญญา
พี่ตุ้ยถูกสอบสวนให้พูดความจริงว่าใครคือเจ้าของร้าน โดยข่มขู่สารพัด พี่ตุ้ยกลัวตำรวจจึงบอกว่า
" ไม่ทราบว่าเข้าของร้านชื่ออะไรค่ะเห็นแต่เรียกกันว่าเฮียๆ" แลละตำรวจก็เขียนคำให้การตามนั้น แล้วให้พี่ตุ้ยเซ็นชื่อกำกับคำรับสารภาพ
เมื่อแม่ไปถึงก็ทราบว่าพี่ตุ้ยให้การดังนั้นจึงโทรบอกให้พ่อมาที่กรมเพราะพี่ตุ้ยกลัวตำรวจจึงสารภาพไปหมดแล้ว
พ่อมาที่นี่ เดินไปบอกตำรวจว่า เจ้าของตัวจริงชื่อ……………………..ซึ่งคือชื่อของแม่
แม่ตกใจแต่คงน้อยกว่าความโกรธ ตอนนั้นที่จริงแม่กลับไปดูร้านสาธุฯอยู่ ตำรวจโทรแจ้งแม่ให้มามอบตัวไม่งั้นจะออกหมายนำจับ แม่ไปที่สถานี ไปบอกว่าแม่คือเจ้าของร้าน แม่ก็คิดว่าพ่อจะหาเงินมาประกันมาเรียบร้อย แต่เปล่าเลย
"น้องโทรไปบอกคุณพ่อน้องให้มาประกันตัวน้องสิ"
"อะไรนะ"
"ก็คุณพ่อน้องเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ สามารถประกันตัวได้"
" นี่คุณกิจการก็ของคุณ ให้ฉันเป็นผู้ต้องหา ฉันทำเพราะเป็นคนขอใบอนุญาตประกอบการ แต่นี่คุณให้พ่อฉันมาเกี่ยวข้องได้อย่างไร "
" ก็เฮียไม่มีเงินประกัน"
แม่โกรธสุดตัว ร้องไห้แล้วโทรไปหาคุณตาของฉัน
คุณตามาประกันตัวแม่ เพราะไม่อยากให้แม่โดยคุมขัง แม่ว่าคุณตาคงโกรธมากทีเดียวแต่ไม่รู้ว่าคุณตาหรือแม่ฉันจะโกรธมากกว่ากัน เพราะคุณตาในสายตาฉันท่านใจดี
แต่แม่ฉัน โกรธขนาดไม่พูดกับพ่อเลย
แม่เคยให้นิยามความโกรธจนเกลียดว่า
"แม่ไม่เคยทะเลาะกับเพื่อนเลย เพราะหากคนไหนที่แม่ไม่ชอบมากๆแม่จะคิดเสมอว่าเป็นอุนจิ(ขี้) ที่จะไม่ไปเหยียบเลย คนเราขี้มันเหม็นและเลอะจะไปโดนมันทำไม "
และแม่ก็ทำแบบนั้นกับพ่อ

แล้วสุดท้ายของคดีบริษัทบีบให้เราไม่ต่อสู้คดี หากต่อสู้จะไม่ขายลิขสิทธิ์ให้ เราโดนค่าปรับไป สามแสนกว่าในคดีนี้ และแม่โดนห้ามออกนอกประเทศเพราะรอลงอาญา

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์แรกของคำว่าเห็นแก่ตัวที่พ่อทำกับแม่ และสร้างบาดแผลในใจให้มากมาย
แม่บอกกับฉันว่า "หากไม่มีลูกแม่คงไม่อยู่แล้ว " แม่พูดทั้งน้ำตา
แต่ชะตาชีวิตยังไม่จบแค่นั้น……………………..

เพราะข่าวที่ว่า สิ้นปีนี้เจ้าของที่ดินและตึกแถวจะไม่ต่อสัญญาเซ้งตึก เนื่องจากจะขายที่ดินให้กับนักธุรกิจที่จะมาทำ foodland นั่นหมายถึงร้านเยี่ยมด้วย
นั่นหมายถึงร้านที่ได้ลงทุนไปหลายร้านแล้วยังไม่คืนทุนต้องปิดกิจการลง
เย็นวันที่พ่อทราบข่าวพ่อกลับไปสาธุฯแต่วัน
" น้อง คุณป้าเจ้าของห้องจะขายที่ ชาวบ้านที่เช่าตึกแถวๆนั้นบอก" พ่อแจ้งข่าวแก่แม่
"เขาจะปรับปรุงตึกแถวเก่าย่านนั้นหมด "
แม่ก็ไม่พูดว่าอะไรแค่ทำหน้าว่าได้ยิน
"น้องไปคุยกับคุณป้าให้ทีสิ ว่าให้เราเช่าต่อ ถ้าเขาทำใหม่"
" ก็ทำไมไม่ไปพูดเองล่ะ "
" น้องไปพูดสิ น้องมักพูดดี ติดต่ออะไรก็ง่าย" พ่อทำหน้าขอร้อง
" เกี่ยวไรด้วย "
แต่สุดท้ายแม่ก็ต้องไปหาคุณยายพยอมหรือท่านอาจารย์พยอมให้พ่อ
ก่อนวันหมดสัญญาเดือนเดียวในตอนนั้น คุณยายเจ้าของบ้านเห็นว่าร้านเราลงทุนไปมากและปรับปรุงร้านและรักษาร้านให้ดูดีอยู่เสมอ คุณยายผู้ใจดีบอกว่า
" เอาล่ะ เราจะให้หนูเช่าต่อร้านเดียวอย่าห่วงไปเลย ค่าเช่าก็ตามเดิมราคาเดิม "
แล้วก็นัดวันต่อสัญญาก่อนหมดสัญญาอาทิตย์เดียว

และวันต่อสัญญาก็มาถึง……………………
แล้ววันนัดพ่อกับแม่ก็พาพวกเราไปต่อสัญญาตามวันที่นัดที่บ้านคุณยาย

วันนั้น ที่บ้านคุณยายดูพลุกพร่านไม่เหมือนเคยที่ดูเงียบสงบ
คนที่อยู่บริเวณบ้านมักใส่ดำบ้างขาวบ้าง แม่แปลกใจแต่ก็ยังเข้าไปแจ้งเพื่อขอพบคุณยายพยอม
แต่คำตอบที่ได้คือ
"อาจารย์เสียแล้วเมื่อเช้านี้ค่ะ รดน้ำศพตอนเย็น "
แม่ตลึงและพ่อก็พูดอะไรไม่ออก
แม่ถามถึงสถานที่ประกอบพิธีศพแล้วก็ลากลับร้านสาธุฯ

แล้วชะตาก็กำหนดให้เราหมดตัว
ที่ดินผืนนั้นไม่มีการทำพินัยกรรม ประกอบกับคุณยายพะยอมเป็นคนโสด ที่ดินและทรัพย์สินที่แบ่งกันไม่ลงตัวจะถูกขายแล้วเอาเงินมาแบ่งกันให้แก่ทายาททุกๆคนเท่าๆกัน ทุกตึกแถวจะโดนทุบเมื่อเจ้าของใหม่ทำกิจการคนละแบบ สิ้นปีที่หมดสัญญา ไม่มีการต่อสัญญาแต่อย่างใด ผู้เช่าทุกคนต้องหาที่อยู่กันใหม่ ไม่มีคุณยายผู้ใจดีที่เก็บค่าเช่าไม่แพงอีกต่อไป มีแต่ลูกหลานของท่านที่แย่งมรดกกัน

และนั้นคือจุดจบของร้านเยี่ยม…………….ที่จากไปพร้อมกับคุณยายที่ใจดี
แล้วพ่อฉันก็อาการทรุดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น