4/4/53

ตอนที่ 13 : จิตนำกาย


" จิตนำกาย " นี้ หากไม่เจอกับตัวเองคงไม่เชื่อเท่านี้ เพราะเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเขียนถึงผู้คนมากมายที่ป่วยเป็นโรคร้ายๆที่ต้องตายในไม่ช้า แต่เพราะตั้งจิตให้มั่น แล้วพูดกับตัวเองว่า เราจะต้องหายๆ คนเหล่านั้นก็อาการดีขึ้นและหายจากโรคได้ ฉันเคยมองว่ามันเหลือเชื่อ และคิดว่าเขาคงไม่ได้หายจากการกำหนดจิตนั่นหรอก น่าจะหายจากยาที่หมอให้มากกว่า เพราะคงไม่มีใครนั่งพูดกับตัวเองว่า "จงหาย จงหาย จงหาย "แบบนั้นแล้วยกเลิกการรักษาจากคุณหมอไปเลย

แต่พ่อฉัน......................
เมื่อกิจการร้านเยี่ยมเจอมรสุมหนักที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ และในที่สุดร้านเยี่ยมก็ต้องปิดกิจการลง ประกอบกับวีดีโอระยะนั้นไม่ดีแล้ว มีแต่คนไปเช่าวีซีดีกัน พ่อตัดสินใจ ปิดกิจการทุกร้านลงพร้อมๆกัน นับจากนั้น...........
อาการของพ่อก็ทรุดลง พ่อทานอะไรๆก็ลำลักบ่อยๆ แม้แต่น้ำ จึงทานอาหารแข็งๆไม่ได้อีก ต้องเปลี่ยนเป็นข้าวตุ๋นข้นๆ
อาหารเดินขัดๆก็มากขึ้น กล้ามเนื้อลีบลง ขาสั่นและกระตุกเป็นพักๆ แต่บ่อยๆ มือที่ตักอาหารเข้าปากก็แทบไม่ไหว เขียนหนังสือไม่ได้ พ่อขับรถไปทำงานอย่างยากลำบาก ทำให้พวกเราเป็นห่วง แม่บอกให้หยุดขับรถนั่งแท๊กซี่ไป พ่อก็ไม่ฟังยังคงบอกว่าพ่อยังไหว
แล้วในที่สุดพ่อก็ล้มในที่ทำงาน
พ่อพยายามยื้อทุกอย่างไว้ ไม่ให้เจ้าของบริษัทเห็นว่า พ่อป่วยจนไม่สามารถทำงานได้
แต่ พัฒนาการของโรคไม่เป็นใจเลย
ครั้งนั้นเมื่อผลตรวจจากโรงพยาบาลออกมาว่า
" กระดูกไขสันหลังคุณหดตัวลงนะ" หมอของพ่อบอก
" การตรวจตอนนี้ชัดเจนว่าคุณเส้นประสาทสันหลังเสื่อมแน่นอน และมันเลวร้ายลงมากในตอนนี้ คุณยังไม่ค่อยพักผ่อนใช่ไหม " พ่อพยักหน้า
" มีทางรักษาวิธีอื่นได้ไหมครับ "
" ที่จริงมีวิธีการสเตมเซลล์ แต่ยังไม่เป็นที่รับรองในวงการแพทย์ เคยมีคนไข้บางคนไปทำที่เมืองจีนมา
แต่สุดท้ายติดเชื้อตาย " หมอเล่าให้พ่อฟัง
" โรคนี้ปัจจุบันก็ยังไม่สามมารถระบุได้แน่ชัดว่าเกิดเพราะอะไรมันจึงลำบาก "
"หมอครับ ผมถามตรงๆนะครับ แล้วผมจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ " พ่อของฉันถามเสียงเครือน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
" ให้ลูกๆออกไปก่อนได้ไหม " เพราะหมอคงเห็นพวกเราสามคน จ้องหน้าหมอเขม็ง
" พลอยพาน้องๆออกไปก่อนนะลูก " แม่หันมาบอก
"ค่ะแม่"
พอพวกฉันออกไปนอกห้อง ฉันให้น้องสองคนไปนั่งที่นั่งรอพบแพทย์ แต่ฉันยังคงยืนอยู่หน้าห้องหมอนั่นเอง
" ผมอยากรู้จริงๆน่ะครับ "
" โดยอาการของคุณ คุณจะอยู่ได้ประมาณสามเดือน "
แล้วทุกอย่างในห้องนั้นก็เงียบลง.............................

ฉันไม่ได้อยู่ฟังต่อ ความรู้สึกในตอนนั้น สมองสับสน นึกถึงวันที่จะไม่มีพ่อที่มักเกาะฉันเวลาเดิน
แม้ไม่สนิทกับพ่อนัก แต่คำว่าไม่มีพ่อ พ่อตาย ฉันก็ไม่อยากจะได้ยิน ฉันเดินไปนั่งเงียบๆกับน้อง
แล้วนึกต่อไปว่า แล้วชีวิตพวกเราจะเป็นอย่างไร นึกๆน้ำตาก็คลอออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่นาน ก็เห็นพยาบาลเข็นพ่อออกมา แม่ก็เดินตามออกมา สีหน้าแบบเรียบเฉย เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ
แล้วก็หันมาพยักหน้าให้พวกเราเดินตามไป

ฉันเดินมาจูงมือแม่ แม่บีบมือฉันเบาๆ แล้วหันไปเอาอีกมือจูงน้องสองคนเหมือนเคย แม่ไม่พูดอะไรเลย
จ่ายเงินเสร็จก็พาพวกเรากลับไปที่ร้าน ร้านสาธุฯนี้เราคงจะคืนเจ้าของอีกสามเดือนข้างหน้า รอหมดเงินค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าไว้ ระยะทางกลับร้านดูนานมาก แม่นั่งหันไปมองข้างทาง แต่ฉันรู้เพราะแม่แอบร้องไห้ไม่ให้ลูกเห็นเลยหันหน้ามองข้างนอก
" แม่จ๋า ฉันจะช่วยแม่อย่างไรดี" ฉันนึกในใจ
แม้ทุกอย่างดูจะดำเนินไปเหมือนเดิม กิจการร้านก็เริ่มบอกขายหนังวีดีโอให้คนที่จะสะสมหนังดีๆ หนังที่ตัวเองชื่นชอบเพื่อเก็บไว้ดู
ลูกค้าคักคัก เพราะเทปเก่าขายไม่แพง ดีกว่าเก็บไว้
ส่วนโต๊ะอุปกรณ์ร้านอาหารที่ขายได้ก็ขายออกไป ยังขายไม่ได้ก็เอาไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนของพ่อที่มีบ้างว่างๆอยู่จนเต็มไปสองหลัง
พ่อต้องออกจากงานเพราะไม่สามารถกระย่องกระแย่งไปทำงานได้อีก เนื่องจากงานของพ่อบางทีก็ต้องไปต่างจังหวัด ตรวจงาน การที่ไปไม่ได้ก็เหมือนทำงานไม่เต็มที่ ลูกค้าของพ่อก็ไม่กล้าไล่พ่อออกตรงๆ
เพราะสงสารแต่พ่อบอกว่าพ่อทราบดี จึงลาออกเองดีกว่าให้เขามาสมเพชมากกว่านี้
พ่อฉันวันๆหนึ่งก็นั่งอยู่ในห้องชั้นสองบ้าง นอนบ้าง แต่นัยตาพ่อไม่ได้หลับ แต่เหม่อลอย พ่อเริ่มบีบแม่ที่ทำงานด้านแปลงวีดีโอลงซีดีให้แม่ขยายกิจการเยอะๆจนแม่มีปากเสียงกับพ่อ
" นี่ป๊า น้องน่ะ มีมือแค่สองมือสองขานะ แค่นี้กลางวันกลางคืนก็แทบไม่ได้นอนอยู่แล้ว ไหนจะทำงานไหนจะไปรับเทป ไหนจะไปส่งงาน ส่งลูกรับลูก คนนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์"แม่เถียง
" แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่กิจการจะโต" พ่อบ่น
" โตไม่โตก็มีปัญญาทำแค่นี้ จำไว้นะว่าทำคนเดียว ทำได้แค่นี้ อย่ามายัดเยียดอะไรให้ฉันทำ"
" เหมือนพูดกับเด็กไม่เข้าใจการค้า"
" ไม่เข้าใจน่ะไม่เกี่ยว แต่ฉันทำคนเดียว แค่นี้ยังไม่มีเวลาพัก ฉันจะทำเท่าที่ฉันทำได้ "
แม่เถียง
แม่ของฉันทำงานนี้มานานมีลูกค้าประจำมากมาย แต่แม่ต้องนั่งรถเมล์ไปรับงานเวลาลูกค้ามีงานเข้ามาตามจุดที่วางป้ายต่างๆ พอรับงานมาก็ต้องมาทำตอนกลางคืน แล้วพอเสร็จก็ต้องไปส่งที่จุดเดิม ในเวลาไม่เกินสองวันนับแต่รับงาน แม่แทบไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว แต่พ่อที่ทำงานไม่ได้ ก็จะบีบให้แม่ออกไปทำงานรับงานมากๆ งานของแม่มันก็เยอะอยู่แล้ว บางวันเป็นสิบม้วน ม้วนละสามร้อยบาทแม่ก็จะได้สักสองร้อยบาทร้อยบาทถือเป็นต้นทุนค่าเปอร์เซ็นค่ารถบ้าง บางครั้งแม่ก็โชคดีมีลูกค้าให้ทำที่สามลัง ทำไปหกเดือนก็ยังไม่เสร็จได้เงินมากมาย
แต่สิ่งที่ฉันได้ยินคือพ่อที่พยายามบีบให้แม่วางป้ายมากขึ้นเพื่อให้ได้งานมากขึ้น แต่แม่มีแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ไม่มีเงินลงทุน เพราะเงินทุกอย่างก็หมดไปกันค่ายาของพ่อ ค่าใช้จ่ายในบ้าน และค่าเทอมลูกสามคน แม่จะมีเงินเหลือได้อย่างไร และถึงจะมีเครื่องเพิ่มขึ้นแต่แม่ก็ต้องทำงานคนเดียวไม่มีผู้ช่วย
แล้วฉันก็จะได้ยินเสียงบ่นของพ่อทุกๆวัน เพราะพ่อทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งบ่นแม่ จนแม่เบื่อที่จะโต้แย่ง เวลาลูกค้าโทรมาหาแม่ แม่รับโทรศัพท์บ่อยๆก็มีปัญหาอีก
พ่อเริ่มมีเรื่องว่าแม่เรื่องใหม่ๆได้เสมอ บ้างก็เรื่องเก่าๆที่นึกขึ้นมา
บ้างก็เรื่องใหม่ๆที่พ่อจินตนาการด้วยความว่างของตัวเองขึ้นมาว่า
แม่จะหาสามีใหม่ หรือจะทิ้งพ่อไป หรือจะมีชู้ สารพัดที่พ่อจะจินตนาการมาว่าแม่ของฉัน จนแม่อดไม่ได้
" นี่คุณ ไม่มีงานทำนักใช่ไหม ถึงชอบหาเรื่องนัก สนุกมากหรือไง "แม่ขึ้นเสียงเถียงในวันหนึ่ง
" เพื่อนเฮีย เมียมันยังทิ้งไปมีชู้เลยเวลาสามีไม่มีเงิน" พ่อแย้ง
" นั่นเมียเพื่อนคุณ ไม่ใช่ฉัน คนเราไม่เหมือนกัน อย่ามาเหมารวม"
" ไม่ได้เหมามีตัวอย่างตั้งมากมาย "
"ช่างพวกเขา แต่ไม่ใช่ฉัน"
แต่พ่อก็ยังไม่หยุดว่าแม่จะทิ้งไปจนแม่บอกว่า
" เอาเป็นว่า หากฉันจะทิ้งคุณ คงเพราะปากของคุณ ไม่ใช่เพราะคุณล่มจมหรอกนะ"
เสียงพ่อเลยสงบลง แต่หน้าตาพ่อยิ้มเยาะ แสยะ ขัดตานัก
แม่โมโหมากในครั้งนั้น พ่อมักเอาเรื่องสารพัดขุดมาด่าเสมอ นับวันจะหยาบคายขึ้น
แม่เริ่มทนไม่ไหว..............
หลายๆครั้ง แม่ชวนพวกเราหนีออกไปข้างนอกเลย
บางครั้งแม่พาพวกเราไม่นอนโรงแรมด้วยซ้ำ แล้วไม่กลับบ้าน จนลุงหนวดเพื่อนของพ่อที่เป็นผู้รับเหมามาตาม แถมยังบอกว่า หากแม่ไม่กลับ จะนอนเฝ้าหน้าห้องที่พวกเรามาอยู่นี่แหละ เพราะลุงหนวดเป็นห่วงที่มาอยู่กันเองแม่ๆลูกๆ แต่ลุงหนวดก็ไม่รู้ว่าช่วงไม่กี่วันที่ออกจากบ้านมาทำให้พวกเรารู้สึกปลอดโปร่ง
ผ่อนคลายจากความเคลียดลงบ้าง เพราะหลายปีมานี่แม่ก็เหมือนมีภาระหนักอึ้งวางทับอยู่บนตัว ไปไหนไม่ได้ ขนาดแม่ฉันทำงานขนาดนี้ ยังมีคนจากบ้านป๊ามักโทรมาเช็คบ่อยๆว่าแม่ฉันออกไปเที่ยวไหนหรือเปล่า เฝ้าร้านหรือเปล่า ซึ่งทำให้แม่โมโหอยู่เรื่อยๆ บ้างเวลาเจอแม่ก็ถามว่าเสื้อผ้าที่ใส่ราคาเท่าไหร่ แม่ก็ไม่ใช่คนใส่แบรนเนมอยู่แล้ว เสื้อผ้าก็ของเดิมๆ ยังโดนถามแบบนี้ บางครั้งแม่อารมณ์ไม่ดีเลยแกล้งถามว่า "มีปัญหาอะไรหรือ " แม่บอกว่า เงินฉันก็ทำได้เอง ไม่ได้เอาเงินของลูกเขามาใช้สักหน่อยยังขนาดนี้
ในที่สุดแม่ก็พาลูกๆกลับไปที่ร้านสาธุฯตามเดิมคราวนี้พ่อก็ดีอยู่สักไม่กี่วัน แล้วก็คงเริ่มอาการเดิมอีก
ไม่มีเรื่องกับแม่ ก็มีเรื่องกับพวกฉันโดยบังคับให้ลูกๆท่องหนังสือมากมาย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ
พ่อไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็เลยมาสอนลูกอย่างคนไม่เก่งไม่รู้เรื่องคือ ท่องจำประโยคที่เขาพูดๆกันแล้วให้เราจำมาดัดแปลงเอา วิธีนี้แม่ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าแม่สอนเองมาจะเริ่มจากคำศัพท์ไวยกรณ์พื้นฐาน แล้วสอนแต่งประโยคจากง่ายไปยาก ค่อยๆฝึกไปให้พวกเรารู้จักการแต่งประโยคได้เอง แม่ว่าเมื่อแต่งเก่ง ไวยกรณ์ถูก รู้ศัพท์ ฝีกฝนไปก็จะแต่งเร็วขึ้น เวลาพูดก็จะง่ายขึ้นเพราะแต่งได้เร็ว พวกเราหันไปมองแม่ขอความช่วยเหลือ
แต่แม่เดินมากระซิบว่า " ทำๆไปเถอะ เบื่อคนบ่น อีกอย่างคิดเสียว่าทำเพื่อความสุขของพ่อ พ่อคงมีความสุขในการที่บังคับให้คนอื่นๆทำตามใจตัวเอง"
ฉันก็ว่างั้น
แต่พ่อฉันก็บังคับได้เพียงสองคนคือ ฉันและน้องเยี่ยม ส่วนน้องเล็กพ่อไม่สามารถบังคับอะไรได้เลย
น้องเล็กที่จริงดูเหมือนไม่ใช่เด็กดื้อ แต่จะว่าเป็นเด็กขี้เกียจก็ไม่น่าใช่เพราะเวลาน้องเล็กสนใจเรื่องใด เช่นการอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ น้องเล็กก็จะอ่านอย่างมีสมาธิมากมายไม่สนเสียงเรียกใดๆ แต่หากอะไรที่ไม่อยากทำแล้วล่ะก็ ไม่ว่าพ่อจะหลอกล่อด้วยรางวัลใดใด ก็ไม่มีทางสำเร็จ
พ่อคงไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กๆว่า เมื่อกลับมาจากโรงเรียน ทำการบ้านเสร็จ อ่านหนังสือทำงานเสริมที่แม่ให้จากที่โรงเรียนมาแล้ว ก็อยากมีเวลาส่วนตัวประสาเด็กๆบ้าง เช่นดูการ์ตูน เล่นกีฬา หรือวาดรูปเล่น
แต่เราสองคนกลับโดนบังคับให้ท่องบทสนทนาต่างๆ จนหลับไปเลย
พ่อคงไม่รู้ว่า อะไรที่เด็กๆรู้สึกว่ายัดเยียด แม้พื้นฐานนั้นมาจากคำว่า "หวังดี" ของพ่อก็ตาม แต่มันทำให้เรารู้สึกต่อต้านและเหมือนโดนบังคับ
อะไรที่มากเกินไปมันก็ทำให้รู้สึกล้า เหมือนน้ำที่ถูกเติมจนล้นแล้ว เหมือนลูกโป่งที่โดนอากาศอัดแน่นแล้วพองจนแตก
เวลาฉันบ่นให้แม่ฟัง " แม่ก็มักบอกว่า อะไรยอมได้ก็ยอมไปเถอะพลอย ดีกว่ามีเรื่องรกหู "
ระยะนี้ฉันมักโดนพ่อดุว่าเป็นประจำ จนฉันรู้สึกว่า ไม่ว่าทำอะไรก็ดูจะผิดไปหมดในสายตาพ่อ
ถึงขนาดที่พ่อขู่ว่า "พลอยหากดื้อนักจะพาไปอยู่กับคุณยายที่เมืองชล"
ฉันลองย้อนคิดดูคงเป็นเพราะฉันต่อต้านพ่อที่บังคับมากเกินไป
พ่อเคยไปรับฉันที่โรงเรียนกับแม่ ฉันเคยนั่งชิงช้าอยู่ พอพอมานั่งข้างๆ ฉันก็จะลุกไปนั่งกับแม่แทน
จนพ่อถามฉันว่า "พลอยเกลียดพ่อมากหรือไง ถึงทำแบบนี้"
"เปล่านี่คะ"
" แล้วทำไมลุกไปนั่งกับแม่เวลาพ่อมานั่ง"
" ก็พลอยอยากนั่งตรงนี้ " ก็คือข้างๆแม่
แต่สุดท้ายคนที่รับเคราะห์คือแม่ " ดีนะ สอนลูกให้เกลียดพ่อตัวเอง"พ่อหาเรื่องแม่
" ฉันไม่เคยสอน "
"แต่เด็กทุกคนความรู้สึกจะไว หากใครรักเขาๆก็จะรักตอบ"
" แล้วเฮียไม่รักลูกหรือไง"
" ความรักไม่ใช่แค่พูด คุณมองตัวเองสิ แล้วดูว่าสิ่งที่คุณแสดงออกกับลูกมันคืออะไร "
ในความคิดของฉันและแม่ก็คือ พ่อรักน้องเยี่ยม ตามใจน้อง ชอบเอาของเล่นที่น้องเยี่ยมอยากได้มาเป็นเครื่องจูงใจให้น้องเยี่ยมยอมทำตามที่พ่อสั่ง เช่น
" ถ้าเยี่ยมท่องประโยคสนทนาได้50ประโยคพ่อจะซื้อชุดรถยนต์ที่เยี่ยมอยากได้ให้"
ซึ่งเรื่องนี้แม่มักคัดค้านเสมอ
" คนเราหากอยากจะทำตาม หากจะตั้งใจเรียน หรือขยันท่องหนังสือผลประโยชน์ที่ได้มันก็ตกอยู่กับตัวเอง ไม่ใช่ใคร หากป๊าสอนลูกแบบนี้มันจะทำให้เด็กติดนิสัยไม่ดี คือจะทำต่อเมื่อมีเงินมีของมาให้ มันไม่ใช่ความตั้งใจจริง แบบนี้ไงบ้านเมืองถึงมีแต่คอรัปชั่น เพราะสร้างนิสัยแบบนี้ให้กับเด็ก"แต่พ่อกลับไม่สนใจบอกแม่ว่า
"ไม่สนทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ลูกท่องได้ก็แล้วกัน"
และแม่ก็สอนฉันเสมอว่า

แต่ฉันก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามฉันถึงการเรียกตกต่ำลงอย่างหน้าใจหาย
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แม่โดนเรียกพบผู้ปกครองเพราะฉัน
ฉันรู้สึกเสียใจที่ทำให้แม่เดือนร้อน จากการเรียนระดับดีเลิศกลายเป็นเด็กที่เรียนปานกลางได้ที่สิบกว่า
แม่ไปพบคุณครูประจำชั้นของฉันที่โรงเรียนฉันไม่ทราบว่าคุณครูพูดว่าอะไร ถามแม่ว่าอะไรบ้าง
แต่แม่ไม่ได้กลับบ้านแล้วมาดุด่าฉัน
แม่ยังคงไม่พูดอะไร แม้ฉันมองแล้วมองอีกจะให้แม่เอ่ยเล่าให้ฟัง
เงียบ...................
แต่ฉันรู้


" แม่ไม่ได้ยึดติดกับเกรดของพลอยนะลูก หากแม่มองแล้วว่าลูกทำเต็มความสามารถแล้ว ที่ผ่านมาแม้พลอยเกรดไม่ดี แม่ก็ทราบอยู่ว่าเพราะอะไร แต่ที่แม่อยากเห็นคือ แม่จะต้องทำให้ความมั่นใจในตัวเองของพลอยกลับคืนมา"

ช่วงนี้แม่บอกว่า ฉันเหมือนคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง มักซุ่มซ่ามหลงๆลืมๆถามอะไรก็จะตอบว่าไม่รู้ หรือกลัวว่าพูดอะไรจะผิดเสมอๆ เพราะฉันมักจะถูกพ่อดุเวลาตอบคำถามพ่อ พ่อมักดุฉันว่า "ห้ามเถียงทำไป" เวลาพ่อสั่งให้ทำอะไร แล้วฉันไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
การออกความเห็นกลายเป็นเด็กเถียง เด็กผิดเสมอ
แม่ฉันสอนให้พูดตรงๆ" แม่บอกว่าคนเราหากเก็บความโกรธความไม่พอใจไว้มากๆมันก็ระเบิดได้ ไม่เหมือนการพูดความรู้สึกกันไปตรงๆ เพราะไม่มีใครจะมีความสุขได้หากต้องทำตามใจอีกคนได้ตลอดไป เพราะมันไม่ใช่ตัวเราเอง"
แต่กับพ่อ การบอกความรู้สึกตรงๆคือ การที่เราเถียง เราผิด เด็กต้องมีหน้าที่ทำตามอย่างเดียว แม้เด็กจะเห็นว่าผู้ใหญ่ทำผิด เด็กไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น
แต่หากแม่แล้ว แม่จะถามว่า " ที่พลอยทำแบบนี้มันถูกไหม "ก่อนที่แม่จะลงโทษ แล้วหากแม่ลงโทษล่ะก็มันจะรุนแรงมากทีเดียว
แต่หากฉันตอบว่า " ไม่ผิดค่ะ " แม่ก็จะถามเหตุผล ว่าทำไมไม่ผิด แล้วจะชี้แจงว่า

ความคิดฉันมันบกพร่องอย่างไรถึงคิดว่าไม่ผิดได้
การลงโทษแม่ทำที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของฉันมีอยู่ครั้งหนึ่ง
วันนั้น...............
น้องเน ลูกพี่ลูกน้องฉันมาเล่นที่ร้านสาธุฯ
ฉันกับน้องเนก็เล่นกันอยู่ที่ชั้นสองในตอนแรกแม่วุ่นกับลูกค้าอยู่ที่ชั้นล่าง
ฉันรื้อเครื่องสำอางของแม่มาแต่งแต้มสีสรรค์ให้น้องเนอย่างสนุกสนาน แค่นั้นไม่พอยังเอาผ้าสวยๆมาโพกให้น้อง ในความคิดตอนนั้นคือ จะแต่งตัวให้น้องเนสวยที่สุดเพื่อจะให้น้องไปช่วยต้อนรับลูกค้าเวลาเข้าร้าน แล้วฉันก็พาน้องเนน้องเล็กน้องเยี่ยมลงไปหน้าร้านที่แม่ทำงานอยู่ แล้วให้น้องนั่งคอยตรงประตูเวลาลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ให้พูดว่า


" เชิญค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ" แล้วก็ยกมือไหว้ลูกค้าด้วย
น้องเนคนดีก็ทำตาม
แม่ที่ยุ่งๆ กับลูกค้าเริ่มสังเกตเสียงหัวเราะที่ฉันและน้องคนอื่นหัวเราะน้องเน แม่เรียก
"พลอยพาน้องๆขึ้นข้างบนลูก "
เฉยพวกเราคงเล่นอยู่เหมือนเดิม
" พลอยขึ้นข้างบนลูก พาน้องไปเสียงมันดัง "
เฉยฉันยังคงสนุกกับการสั่งน้องเนทำโน่นนี่ล่าสุดก่อนเสียงคำของแม่ครั้งที่ สิบเอ็ด
ฉันสั่งให้น้องเนต้อนรับให้ดียิ่งขึ้น


" เน นั่งพนมมือเลยนะเน เวลาลูกค้าเข้ามาก็กราบ แล้วบอกสวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับ "
และลูกค้าที่มีมาบ่อย  ก็สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้ฉัน เพราะน้องเนแสนจะน่ารักทำตามคำสั่งเสมอ
แม่คงเหลือบไปเห็นที่น้องเนกราบลงพื้นเวลาลูกค้าเข้ามา
"นกดูลูกค้าด้วย" แม่สั่งพนักงานที่ชื่อพี่นก
"แม่ไม่พูดอะไร มาจับมือฉันลากขั้นไปที่ห้องชั้นสอง"
สภาพห้องที่รกมาก ตู้เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายเปรอะเปื้อนไปด้วยเครื่องสำอางประเภทต่างๆ ลิปลิคที่หัก เสียหายด้วยฝีมือเด็ก ทุกสิ่งทุกอย่างเกลื่อนห้อง แม่สั่งว่า
"ห้ามลงไปอีกนะ หากลงไปแม่จะตี "
วันนั้น พอน้องเนกลับบ้านแล้วแม่ก็กลับมาถามฉันว่า
" ทำแบบนี้ผิดไหมพลอย"
" การที่ลูกเอาน้องไปกราบลูกค้าแบบนั้น หากพ่อแม่ของน้องเนทราบเข้าจะเป็นอย่างไร อีกอย่างหนูให้ลูกเขากราบลูกค้าเพื่ออะไร "
" หนูให้น้องเป็นพนักงานต้อนรับต้อนรับลูกค้านี่คะ "
" ถึงแม่ต้องการลูกค้าก็จริงก็ไม่ต้องการให้ลูกหลานไปกราบกรานลูกค้าขนาดนั้น แล้วหากลูกให้เนต้อนรับแบบนั้น ทำไมลูกไม่ทำเสียเอง นี่อะไรให้น้องทำแล้วตัวเองยืนหัวเราะน้อง"
" หากใครให้ลูกแม่ทำแบบนั้น แม่ก็จะโกรธเหมือนกัน มันเหมือนดูถูกลูกของแม่"


" แบบนี้ผิดไหมพลอย "


แม่ชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่โดนรื้อค้น และเครื่องสำอางค์ที่กระจัดกระจาย
" ลูกรู้ไหม เครื่องสำอางค์แม่ก็ซื้อเพราะพลอยแสดงงานที่โรงเรียน เพราะต้องการให้ลูกใช้เครื่องสำอางค์ดี อ่อนโยนไม่มีอันตรายต่อผิวเด็กๆ กว่าแม่จะซื้อได้ มันแพง แล้วลูกทำมันเสียหายแบบนี้ ลูกไม่คิดบ้างหรือว่าแม่จะเสียใจ"
" แบบนี้ผิดไหมพลอย"
" ก็พลอยเอามาแต่งหน้า เอาน้องมาต้อนรับลูกค้า พลอยไม่ผิด"
" ไม่ผิดหรือพลอย" แม่เริ่มโมโห
" หากพลอยไม่ผิดพลอยก็เป็นเด็กไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็นแยกแยะความผิดไม่ถูก อีกหน่อยก็ไม่รู้จักคำว่าผิดชอบชั่วดี"
" จะตอบว่าไม่ผิดอีกไหม"
" ไม่ๆๆๆๆๆๆ"
ฉันไม่ยอมง่ายๆ


แล้วแม่ก็ตีๆๆๆๆๆไม่นับ ตีจนฉันสารภาพว่าผิด
พอแม่หยุดตี ขาฉันก้นฉันมันก็เป็นรอยไม้บรรทัดไปหมดไม่มีว่างเว้นเลย
แม่หายามาทาให้ แต่มันหนักมากจนเป็นรอยช้ำ
ขาที่พ้นรอยกระโปรงโดนแม่ตีจนเวลาไปโรงเรียนเห็นชัดเจน
พอตอนเย็นแม่ไปรับคงเห็นว่าคุณครูภา คุณครูประจำชั้นฉันเห็นรอยอันนี้แม่ก็เล่าให้ครูฟังตามความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนนั้นฉันอยู่อนุบาลตามวัยแค่5ขวบ แต่ก็ทำให้แม่โกรธมากมาย
ฉันจึงคิดว่า การที่แม่โดนคุณครูประจำชั้นฉันเรียกไปพบนั้น คงต้องทำให้ฉันโดนตีอีกแน่นอน แต่คราวนี้ กลับมีแต่ความเงียบ.....................
ทั้งๆที่ฉันรอให้แม่ตี ทำโทษฉันที่เกรดฉันตกต่ำลงมาก
และครั้งนี้ หากแม่มาถามว่า "ผิดไหมพลอย"
ฉันคงตอบว่า"ผิดค่ะแม่" อย่างเต็มใจ แต่ไม่มีคำถามนั้นจากแม่เลย


"จิตนำกาย"จึงไม่ได้มีผลกระทบแค่พ่อแต่มันคงหมายถึงฉันด้วย การที่จิตใจไม่ปลอดโปร่ง การเรียนก็ไม่ดี ไม่อยากจะเรียนเหม่อลอยชุ่มซ่าม ทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง
หรือที่เกิดกับน้องชาย ที่น้ำตาไหลเวลานั่งเรียนอยู่
คนที่ไม่รู้เรื่องราวและรับผลกระทบใดใดเลยน่าจะเป็นน้องเล็กที่ไม่มีใครสั่งน้องให้ทำอะไรได้นอกจากแม่และอาจเพราะน้องยังเด็กจนเกินกว่าจะเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่


ฉันอยากให้วันเวลามันย้อนกลับมาได้
ฉันยังนึกถึงบ้านของเราที่ศรีนครินทร์ที่มีรอยยิ้ม มีเสียหัวเราะ
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ช่วยแม่ล้างรถและพวกเราขึ้นไปบนหลังคารถจนตัวเปียกชุ่มทั้งสามคนหรือตอนที่ช่วยแม่ซักผ้า แล้วพวกเราก็แช่กะละมังเล่นน้ำกันสนุกสนาน
หรือจะเป็นตอนที่พวกเราช่วยกันทำอาหาร ตีไข่บ้างหั่นผักบ้าง
แต่วันนี้ไม่มีอีกแล้ว.................
วันที่แสนสุขได้จากไปนานแล้ว
และหลังจากการไปพบคุณครูประจำชั้นของฉันครั้งนั้น ที่จริงความเงียบเฉยของแม่แต่ภายในมีอะไรอีกมากมาย
แม่พยายามที่จะให้ฉันคิด ฉันทำฉันพูด และแสดงออกตามที่ใจต้องการ แม่จะหมั่นถามความคิดเห็น หาเรื่องให้ฉันตัดสินใจ แม้เรื่องเล็กน้อย เช่น " ทานอะไรดีพลอยวันนี้" " พลอยหยิบชุดให้แม่ที แม่จะไปงานเลี้ยงรุ่น ไปพบปะเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอมาสัก20ปี" หรือ" แต่งตัวให้น้องที" หลายๆเรื่องดูเหมือนเป็นการใช้ฉันให้ทำงานแต่เปล่าเลย ที่จริงมันทำให้ฉันรู้จักคำว่า " ตัดสินใจ " โดยอาศัยข้อมูลที่แม่บอกเช่น แม่จะไปงานเลี้ยงรุ่น ชุดที่เหมาะสมกับแม่เมื่อฉันเลือกแม่ก็จะใส่โดยไม่โต้แย้ง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจมากกว่าจะดูว่าเป็นการใช้งานจากแม่


เรื่องงานเลี้ยงรุ่นมัธยมครั้งนี้ถือว่าเป็นงานสำคัญมาก เพราะว่า นับจากแม่จบการศึกษาชึ้นมัธยมศึกษาปีที่หกของโรงเรียนก็ไม่เคยจะไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่ามัธยมเลย แม่เข้ามหาวิทยาลัยและก็ไม่ติดต่อใครเลย เนื่องจากชีวิตแม่ต้องทั้งเรียนและทำงานหนัก และแม่เวลาทุกข์ก็ชอบเก็บตัวเงียบๆคนเดียว
งานครั้งนี้ทำให้เพื่อนๆที่ทราบข่าวว่าแม่ซึ่งเป็นเพื่อนที่หายไปนานถึงยี่สิบจะมางานคืนสู่เหย้าครั้งนี้ เพื่อนๆที่โทรบอกข่าวกันถึงกับเห็นเป็นความแปลกใจที่ทำให้เพื่อนเก่าที่แม้จะอยู่เหนือ ใต้ อีสาน ก็พามารวมตัวในงานครั้งนี้ เรียกว่าครบแทบทุกคนที่ตามตัวได้เลยทีเดียว เหตุผลคือ อยากเจอบุคคลลึกลับของรุ่นแล้วแม่ก็ปรากฏตัวในงานเลี้ยงรุ่นที่ร้านอาหารชื่อดัง
เพื่อนๆของแม่ หลายๆคน คิดว่าแม่ยังโสดอยู่มาจีบแม่เหมือนสมัยที่เรียนอยู่ก็มี แต่พอฉันและน้องๆปรากฏตัวขึ้น ทำให้เพื่อนๆแม่อึ้งกันมากที่แม่มีลูกโตขนาดนี้แล้วแถมยังมีถึงสามคน แต่แม่ก็ยังดูไม่เปลี่ยนแปลงมากมายนอกจากน้ำหนักขึ้นเล็กน้อยตามวัยในตอนนั้น
ฉันมองดูแม่ ที่นั่งเงียบๆ มองดูเพื่อนๆคุยกันยิ้มหัวเราะบ้างเป็นครั้งคราว
ตอนนั่งรถกลับบ้าน ฉันคุยกับแม่ว่า " แม่สนุกไหมคะ"
" ความสนุกหรือสุขของแม่อยู่ที่ลูกมีความสุขก็พอแล้วพลอย"
" คนเราน่ะเมื่อภาระและวัยที่เปลี่ยนความสนุกมันก็แตกต่างกันไปจ๊ะ ตอนเราเด็กๆ แค่เล่นกับเพื่อนก็สนุกแล้วโตมาหน่อยไปทานอาหารกับเพื่อนๆคุยเล่นกันก็สนุกแล้ว " ดวงตาแม่ดูเศร้าๆ เมื่อนึกถึงอดีต
" แต่พอโตขึ้นมีครอบครัวมีลูกส่วนใหญ่ เราก็คิดถึงแต่ลูก ดูพัฒนาการของลูกๆ ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง"
" อย่างพลอย ตอนพลอยเด็กๆ ไม่เคยคลาน แต่พอวันที่ลูกนึกจะยืนก็ยืนขึ้นมาแล้วหันมามองแม่เหมือนกับจะพูดว่าแม่ขาหนูเก่งไหมแต่ไม่นานพลอยก็หงายหลังบนเตียงผึ่งไปเลย จนทำให้แม่ต้องหัวเราะลูก"
" ส่วนเยี่ยม พอวางพื้นปุ๊บก็คลานปั๊บ ไม่เคยหยุดนิ่ง ซนที่สุดและสามารถร้องไห้ได้นานตั้งแต่กรุงเทพไปชลบุรี"
"ส่วนเล็กก็สามารถมีคำถามแปลกๆมาถามอยู่เรื่องให้แม่งง"
"แต่ลูกทั้งสามคนเป็นเด็กดี ไม่เคยงอแงเวลาไม่ได้ดั่งใจ เมื่อแม่บอกว่าแพงไม่มีเงินซื้อก็คือต้องหยุดแค่นั้น "
แม่ชอบเล่าเรื่องพวกเราตอนเด็กๆให้ฟังเสมอฟังแล้วบางทีก็อดที่จะขำตัวเองไม่ได้


แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเตรียมย้ายไปสีลม เนื่องจากสัญญาสิ้นสุดลง
พวกเราหันกลับไปมองร้านวีดีโอที่อยู่กันมาร่วมสามปีอีกครั้งแต่แม่ ไม่หันไปมองเลย เวลาแม่ตัดใจอะไรแล้วก็มักไม่นึกถึงมันอีก.....................
แล้ววันนี้เราก็ย้ายไปสีลมคนที่ช่วยขนของคือแฟนครูตุ่ย "ครูตุ่ย" เป็นคุณครูประจำฉันของน้องเล็กที่อยู่อนุบาลหนึ่ง ซึ่งถูกคอกันดี เพราะแม่ช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องสื่อการสอน เป็นคนตรงๆเหมือนกัน จึงถูกคอกันดี
แม้จะรู้สึกไม่อยากย้ายที่อยู่บ่อยๆ ที่ไหนๆที่ได้อยู่ก็ย่อมมีความผูกพัน ไม่มากก็น้อย
ลุงๆป้าๆที่ขายของแถวตลาดที่ใจดี ที่มักทักทายพวกเราทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นเจ๊เฮียงขายไข่ลวก เจ๊ดำขายอาหารตามสั่ง เจ๊เหลียนขายข้าวแกง ลุงโตจอมเจ้าชู้ขายขาหมู หรือแม้แต่เจ๊ที่ขายก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าร้านทอง ทุกๆคนเอ็นดูพวกเรา และมีน้ำใจอันดีเสมอ ในชุมชนเล็กๆที่หาเช้ากินค่ำ แต่ก็มีรอยยิ้มให้กัน
ลาก่อน สาธุประดิษฐ์..................


"จำไว้นะพลอย หากจะเป็นคนดีต้องรู้จักคิดดีทำดี ด้วยตัวเอง การที่โดนคนบังคับให้ทำน่ะมันไม่ใช่ตัวตนจริงของเรา หากเราปฏิบัติอย่างไร ผลมันก็จะเกิดแก่ตัวหนูเอง เช่น หากพลอยคะแนนไม่ดี พลอยก็ต้องมองดูตัวเองก่อนเลยว่าลูกขยันพอหรือยัง หากพอแล้ว ก็ต้องมองว่าอะไรที่เราบกพร่องไป หรือ มีบทเรียนที่ไม่เข้าใจแล้วปล่อยให้ค้างคาไว้หรือเปล่า หรือทำแบบฝึกหัดพอไหม จึงทำให้คะแนนที่ได้ไม่ดีพอ อย่าพยายามโทษผู้อื่น เช่น โทษว่าครูสอนไม่เข้าใจ เพราะการเป็นนักเรียนคือเราต้องรู้จักแสวงหาความรู้เองด้วย ถ้าครูสอนไม่เข้าใจเราก็ต้องไปถามให้เข้าใจให้ได้ และที่สำคัญอย่ายึดติดกับเกรดหรือรางวัล เราเรียนเพื่อให้รู้ หากรู้แล้วเกรดไม่ดี ก็แค่คิดว่าข้อสอบไม่ได้ออกตรงกับที่เรารู้ก็แค่นั้น ทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้ก็พอ"

ช่วงนี้ที่โรงเรียนฉันมีการประกวดเรียงความ และประกวดการพูดในที่ชุมชน เรียนความวันแม่ของฉันชนะเลิศ ได้รางวัล กลอนวันแม่ก็ชนะเลิศ และ การพูดเรืองวันแม่ก็ชนะเลิศ ฉันภูมิใจมาก ความรู้สึกเมื่อขึ้นไปพูดวันแม่บนเวทีที่มีผู้ชมเป็นผู้ปกครองสร้างความตื่นเต้นให้ฉันมาก วันนั้น ฉันขาสั่น มันแตกต่างจากวันแข่งที่พูดให้ครูและเพื่อนๆในโรงเรียนฟัง ฉันมองหาแม่ที่นั่งฟังอยู่ด้านล่าง แม่ทำมือทำไม้ แปลกๆ โดยชี้มือไปที่ขาแล้วเอามือเลือนเข้าหากัน กว่าฉันจะแปลได้ว่า แม่หมายถึงอย่ายืนถ่างขาก็คงยืนขากางบนเวทีไปครู่หนึ่งด้วยความประหม่าเรียบร้อยแล้ว
               พอเริ่มการพูด ความมั่นใจกลับมาสู่ฉันอีกครั้ง ข้างล่างหน้าเวที ฉันเห็นคุณแม่บางท่านยืนร้องไห้ เสียงปรบมือเมื่อพูดจบที่ได้รับ ทำให้ฉันยิ้มออก แม่ไม่ได้ชม แต่ยิ้มอย่างภูมิใจ ความเชื่อมั่นในตัวเองของฉันกลับมาแล้วอีกครั้งหนึ่ง.................

1 ความคิดเห็น: