18/7/54

ตอนที่ 14 : อาหารชีวจิตและยาสเตียรอยด์

                
 หลังจากวันนั้น ที่หมอบอกว่า พ่อจะอยู่ได้อีกสามเดือน แม่ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนอื่นที่อาจจะปิดเรื่องร้ายๆกับลูก แต่ไม่ใช่แม่ฉันแน่นอน แม่เล่าให้พวกเราฟังว่า คุณหมอบอกว่าอย่างไร ฉันโตพอจะรู้ว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดีตั้งแต่แรกที่ให้พวกเราออกไปจากห้องตรวจ แต่ตอนนี้แม่กำลังจะบอกพวกเราสามคนเอง
" พลอย เยี่ยม เล็ก พวกหนูต้องคอยช่วยกันดูแลคุณพ่อให้ดีนะคะ แม้จะมีที่พ่อโมโหฉุนเฉียว แต่หนูก็ต้องเข้าใจว่าพ่อป่วย ทนไม่ไหวก็เดินหนีเสียก็แล้วกัน"
" หมอบอกว่า อาการของพ่ออยู่ได้ประมาณสามเดือนนะลูก "
พวกเราสามคนนั่งนิ่ง แม้ไม่แน่ชัดว่าความตายเป็นอย่างไร แต่ ก็พอจะทราบว่า ความตายของพ่อจะทำให้พ่อไม่ได้อยู่กับเราทุกๆวันเหมือนเคย เราสามคนนั่งนิ่งเงียบ ไม่พูดว่าอะไร น้องสองคนคงยังไม่ซึมซาบความรู้สึกทุกข์ของแม่ แต่ฉันรับรู้ได้.........

และจากวันนั้นที่อำลาสาธุประดิษฐ์ เราย้ายมาอยู่ห้องเล็กๆบนคอนโดย่านสีลม ห้องเล็กๆที่ต้องอยู่กันห้าคน หน้ากว้างสักสี่เมตรได้ ห้องเล็กๆนั้นถูกกั้นเป็นสองส่วน วางเตียงเล็กๆได้เตียงเดียวคือเตียงที่พ่อนอน ส่วนแรกเข้าประตูไป คือห้องน้ำทางซ้ายมือ หน้าห้องน้ำวางโต๊ะทำงานแม่ ด้านในของส่วนนี้วางเตียงเล็กให้พ่อนอน ห้องถูกแบ่งด้วยโต๊ะเขียนหนังสือกับตู้เสื้อผ้าสองใบเท่านั้น ส่วนที่สองนี้คือที่นอนของพวกเราสี่คน ที่แม่ซื้อฟูกขนาดสามฟุตครึ่งมาสามอัน เวลาจะนอนปูฟูกลงพื้นจะเต็มห้องพอดี พวกเราสามคนและแม่นอนด้วยกัน ส่วนระเบียงถูกกั้นเป็นที่ทำครัว ไม่มีแม้ที่ตากผ้าให้ผึ่งแดดได้ เนื้อที่ว่างภายในห้องถ้าเอาที่นอนวางตอนกลางคืน คงมีแค่สามเก้าเดิน ที่ว่างที่กว้างที่สุดคือ ในห้องน้ำ ที่ๆแม่หลบร้องไห้ ที่ๆแม่ใช้หนีหน้าพ่อเวลาทุกข์ใจ สมเป็นห้องปล่อยทุกจริงๆ

คราวนี้ พ่อคงชอบใจที่อยู่ใหม่ เพราะพวกเราสี่คนไม่มีทางห่างสายตาพ่อได้เลย พ่อไม่ต้องคอยร้องเรียกลูกคนใด ทุกคนหลบไปไหนไม่ได้ ห้องแคบๆเล็กๆ พ่อมีโปรเจ๊คใหม่ คราวนี้เป็นเมกกะโปรเจคทีเดียว การดูวีดีโอสนทนาภาษาอังกฤษ กับหนังสือคู่มือกองพะเนิน ทุกๆวันหลังกลับจากโรงเรียน ฉันและพี่เยี่ยมถูกบังคับให้ดูวีซีดีภาษาและท่องบทสนทนา อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ความเบื่อฉาบดุจแสงอาทิตย์เที่ยงวัน ห้องเล็กๆที่ทำอาหารนิดเดียวก็กลิ่นอบอวลไปทั่วห้อง หน้าต่างก็ไม่มี เพราะระเบียงห้องถูกเจ้าของเดิมต่อเติมเป็นห้องครัวเล็กๆจนหมด  พ่อที่ซึมเศร้านั่งดูหนังจีนจอมยุทธทั้งวัน จะมีพลังขึ้นมาหากบังคับให้ลูกท่องภาษาอังกฤษให้ได้แต่ละวัน น้องเล็กคนเดิมที่ไม่มีใครกล้ายุ่ง แต่ฉันและน้องชายมิอาจหลีกเลี่ยง
ช่วงนี้พ่อทานเม็ดถั่วเขียวตุ๋น เม็ดลูกเดือยตุ๋น การกลืนเริ่มมีสำลักบ่อยขึ้น มือเริ่มเขียนหนังสือไม่ได้แล้วแม้แต่เซ็นชื่อคนเซ็นแทนก็คือแม่ อาหารของพ่อเป็นถั่วเขียวตุ๋นและลูกเดือยตุ๋นสลับกันไป
ถั่วเขียวเพื่อล้างสารพิษตามตำราจีน ไทย เกาหลี และยังมีวิตามินเอ บี ซี สูงมาก สามารถใช้เป้นยาบำรุงได้ดี แก้โรคเหน็บชาและไขข้อได้ หากทานเป็นประจำ
ส่วนลูกเดือยมีวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง ลูกเดือย รสชุ่มจืด เย็น แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงม้าม ปอด กระเพาะอาหาร ม้าม ขับปัสสาวะ รวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย แก้ไข้ เหน็บชา ชักกระตุก สตรีตกขาวมากกว่าปกติ ในตำรายาจีนจึงมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มกินทุกวันเพื่อบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้บวมน้ำ ปวดข้อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการรับประทานลูกเดือยต้มน้ำตาลสามารถที่จะแก้ร้อนในได้ 
ส่วนน้ำดื่มจะเอาขิงแก่ใส่ในกาต้มน้ำเลย เพื่อใช้ดื่มเป็นประจำ สรรพคุณของขิงนั้นตำรายาจีนบันทึกคุณประโยชน์ทางยาของขิงมากว่า 2,000 ปีแล้ว และมักปรากฏในตำรายาพื้นบ้านของชาวตะวันออกเกือบครึ่งโลก ขิงสดตามตำราแพทย์แผนโบราณนิยมใช้เป็นยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ แก้ท้องอืดเฟ้อ อึดอัดไม่สบายในท้อง และแก้ท้องเสีย


ชาวอัฟริกันดื่มน้ำขิงเป็นยากระตุ้นอารมณ์เพศ ผู้หญิงในหมู่เกาะปาปัวนิวกินี กินขิงแห้งเป็นยาคุมกำเนิด


ในอินเดีย น้ำขิงชงใช้เป็นยาแก้ไอในทารก เมารถเมาเรือ
และจากผลการวิจัยล่าสุดของ ดร.ชาร์ลส์ อาร์ คอร์โซ แห่งมหาวิทยาลัย คอร์เนล ได้ค้นพบในเวลาต่อมาว่าสารสำคัญ ที่ยับยั้งการจับตัวเป็นลิ่มของเลือดคือ "Gingerol" ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคลึงกับแอสไพริน ที่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่รู้จักดี

เรื่องอาหารของพ่อนี่ ที่จริงแม่ไม่เห็นด้วยเพราะเกรงว่าจะขาดสารอาหารไม่พอกับร่างกายที่อ่อนแอ แต่ในเมื่อพ่อยืนยันจะทำแบบนั้น แม่ก็ตามใจเพราะศึกษาสรรพคุณแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด

แต่พ่อก็เป็นคนป่วยที่เหมือนจะเริ่มสู้เพื่อชีวิตตัวเอง ใครว่าทานอะไรแล้วดีก็ทานหมด แต่ที่หนักที่สุดคือการริทานยาสเตียรอยด์ที่เขาว่าเป็นยาผีบอก คือ รักษาได้สารพัดโรค เพราะยานี้เหมือนยาปรับโครงสร้างให้ร่างกายใหม่ เพราะการที่ร่างกายสามารถรับสเตียรอยด์ได้เนื่องจากร่างกายเองก็มีการสร้างสเตียรอยด์ออกมาก เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย โดยมีการควบคุมมาจากสมองมายังต่อมหมวกไต เพื่อหลั่งสารสเตียรอยด์ออกมา ซึ่งร่างกายจะนำไปใช้ในการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เท่าที่ทราบใช้ทานควบคู่กับคนที่อาการหนัก หากหายก็หายไปเลย เพราะเพื่อนของพ่อเองคนหนึ่ง ป่วยขนาดลุกไม่ขึ้นมานานตัดสินใจทานยานี้แล้วหายเป็นปกติ เพื่อนสนิทคนนี้เอามาบอกพ่อ พ่อคงนึกว่าไหนๆไม่หายก็เสี่ยงไปเลย จากนั้นพ่อก็ทานยานั่นวันละเจ็ดเม็ด โดยบอกให้แม่ไปซื้อทั้งๆที่ไม่ดีต่อร่างกายในระยะยาว แม่เคลียดหนัก เพราะทราบดีว่า
พิษของสเตียรอยด์นั้นมีมากกว่าจะทานมากมาย   แต่เพราะคำด่าท่อรกหู ที่หนีเสียงไปไหนไม่ได้ ทำให้ต้องซื้อให้ ในเมื่อห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ก็สุดแต่กรรมเวรแล้วกัน

พิษร้ายของสเตียรอยด์ แม้ว่าในทางการแพทย์สเตียรอยด์จะมีข้อบ่งชี้ทางการรักษามากมาย แต่ไม่ควรซื้อยานี้ใช้เองโดยไม่มีแพทย์คอยดูแลการใช้ยา เนื่องจากผลข้างเคียงของสเตียรอยด์นั้นมีมากมายเช่นกัน ได้แก่

• เลือดออกในกระเพาะอาหาร เนื่องจากสเตียรอยด์ไปทำให้ผนังกระเพาะอาหารและลำไส้บางลง และเสียความสามารถในการป้องกันกรดในทางเดินอาหารที่หลั่งมาเพื่อย่อยอาหาร ดังนั้นหากได้สเตียรอยด์ไปนานๆ ผนังทางเดินอาหารก็จะบางตัวลงจนถึงขั้นทะลุ และเกิดแผลเลือดออกได้ หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงทีก็เสียชีวิตได้

• กระดูกบาง การใช้สเตียรอยด์จะไปกระตุ้นเซลล์ในกระดูกชนิดหนึ่งร่วมกับกระตุ้นระบบฮอร์โมน ทำให้กระดูกถูกละลายบางลง ซึ่งในคนสูงอายุก็จะลงท้ายด้วยกระดูกพรุนและเกิดกระดูกหักได้ง่าย

• ร่างกายหยุดสร้างสเตียรอยด์ เพราะได้สเตียรอยด์จากภายนอกไปมากพอแล้ว และหากวันใดไม่ได้รับสเตียรอยด์จากภายนอกเข้าไป แล้วเจอเรื่องเครียด (เจ็บป่วย อดอาหาร เครียด) ร่างกายก็จะขาดสเตียรอยด์อย่างฉับพลัน และไม่สามารถปรับตัวได้ทัน อาจทำให้ความดันโลหิตตกลง หมดสติ และเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

• กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย บดบังอาการติดเชื้อต่างๆ เมื่อร่างกายติดเชื้อก็จะไม่มีอาการเจ็บไข้ให้เห็น ทำให้ดูเหมือนสบายดี และเนื่องจากสเตียรอยด์กดภูมิคุ้มกันของร่างกายเอาไว้ ดังนั้นกว่าจะรู้สึกอีกที เชื้อโรคก็เจริญเติบโตเริงร่าไปทั่วร่างกายแล้ว ซึ่งทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้

• ยับยั้งการเติบโตในเด็ก ทำให้เด็กโตช้าและหยุดสูงเร็วกว่าปกติ อันนี้ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่เลี้ยงไม่โต

• น้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงในผู้ป่วยเบาหวาน หรือทำให้ระดับน้ำตาลควบคุมได้ยาก หากน้ำตาลอยู่ในระดับสูงมากอาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้

แล้ววันหนึ่งที่หลังจากทานยาสเตียร์รอยด์มาสักสามเดือนแล้วไม่เกิดผลดีขึ้น อาการเริ่มทรุดลง กล้ามเนื้อที่เคยมีหายไปอย่างเห็นได้ชัด ขาเริ่มลีบลง พ่อผอมบางลงมาก ที่ยังคงที่เห็นจะเป็นอารมณ์ที่เริ่มหาเหตุผลของโรคไปต่างๆนานาเหมือนเดิม โทษคนโน้นนี้ไปเรื่อย แม้กระทั่งโทษการบนเจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยบนว่าจะให้ทุกอย่างหากลูกคนเล็กปลอดภัยตั้งแต่สมัยโน้นก่อนน้องคนเล็กเกิดเสียอีก

แล้ววันหนึ่ง...........................
แม่พาพ่อไปหาหมอ พ่อก็บอกหมอว่า

" หมอครับ ฉีดยาผมให้ตายไปเลย "
หมอมองหน้าพ่อนิ่งเฉยแต่ซ่อนความโกรธ แล้วฉีกใบสั่งยาทิ้งก่อนพูดว่า
"งั้นไม่ต้องเอายาไปทานหรอก เปลือง ยามันแพง  แต่หมอทำแบบนั้นไม่ได้ หากไม่ต้องการรักษาอีกต่อไป ไม่นานมันก็ตายเอง"
หมอ...คนที่หายาระงับการลุกลามของผู้ป่วย ALS ฟรีมาให้เสมอ แม้เป็นของคนไข้ที่ตายไปแล้ว แต่ญาติพี่น้องบริจาคยาที่เหลือให้ผู้ป่วยอื่น เพราะยามีราคาแพงมาก
หมอ...คนที่พยายามเซ็นให้ไปตรวจที่แลปของรัฐเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
หมอ...คนที่มองดูคนไข้ที่มาหาพร้อมภรรยาและลูกสามคนอย่างเห็นใจ
แต่วันนี้หมอพูดแค่ว่า " หากต้องการแบบนั้นจริงๆ หมอช่วยได้เพียง วาระสุดท้ายหมอจะไม่ใช้เครื่องช่วยชีวิตใดๆเพื่อยื้อชีวิตไว้ " แล้วหมอก็ให้พ่อเซ็นว่าไม่ต้องการรับการรักษาอีกต่อไป

จากนั้น เวลาพ่อไปหาหมอ หมอมักจะขอถ่ายรูปไขสันหลังที่เริ่มฝ่อที่ส่งผลต่อกระดูกไขสันหลังที่เปลี่ยนไป เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาต่อไป

พ่อยังคงมาหาหมอตามนัดทุกครั้ง แต่ไม่มียาตัวไหนเกี่ยวกับโรค ALS เลย มีแต่ยาบำรุงกับยาคลายเคลียด และแล้วชีวิตในห้องเล็กๆของพวกเราก็ดำเนินต่อไปตามปกติ เพียงแต่พ่อที่เริ่มคิดมาก และหมกมุ่นกับความกลัวภรรยาทิ้งทั้งๆที่อยู่ด้วยกันทุกวัน
พวกเราตื่นนอนแต่ตีสี่ เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด ทานอาหารเช้าบนรถ หรือที่โรงเรียนหากไม่สายมากนัก แม่จะพากลับที่พักตอนเย็นๆ ปล่อยให้พวกเราทำการบ้านและเล่นที่โรงเรียนนานๆจนเกือบมืดถึงจะกลับ ช่วงนี้แม้ใช้มอเตอร์ไซด์รับจ้างประจำให้ไปส่งของตามที่ต่างๆให้ ยกเว้นสิ้นเดือนจะไปเคลียร์เงินเอง

แม่หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตของเวปไซต์ต่างประเทศ จนเจอมูลนิธิผู้ป่วยโรคALS  แม่ศึกษาข้อมูลของโรคและวิธีรักษา ร่วมถึงเขียนไปถามการคืบหน้าวิธีการรักษาโรคผลปรากฎว่ายังเหมือนเดิม ล่าสุดอดีตนักมวยแชมป์โลกของไทย พเยาว์ พูลธรัตน์ ก็เพิ่งเสียชีวิตหลังจากที่ทำการรักษาโดยวิธีสเตมเซลล์ไปได้ไม่นาน เริ่มดีขึ้นแต่เสียเพราะการติดเชื้อ
โรคนี้ปัจจุบันก็ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ บางรายเกิดเพราะมีน้ำในสมองมากเกินไป ที่เกาะกวมจะพบผู้ป่วยโรคนี้มาก พออายุ 45 ปี ก็จะเป็นโรคนี้แทบทุกราย จึงไม่แน่ใจว่าเป็นกรรมพันธ์หรือไม่ เพราะในเขตอื่นก็ไม่ปรากฎว่าเป็นกรรมพันธ์ แต่ก็พบว่าผู้ป่วยโรคนี้บางรายสามารถรักษาตัวเองหลังจากพบว่าป่วยแล้ว เกินกว่า 15 ปีแล้วก็มี และยังเขียนวิธีการรักษาไว้ด้วย แม้ไม่หายแต่ชะลอได้นานจนปัจจุบันผู้เขียนที่เป็นผู้ป่วยก็ยังไม่เสียชีวิต อาการของโรคคล้ายๆกับอัมพาต์แต่แตกต่างกันที่ลักษณะการเกิด

*** ALS โรคนี้เกิดจากการเสื่อมสลายของเซลล์ประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ เช่น กล้ามเนื้อ แขนขา ลำตัว การกลืน การหายใจ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากโรคอัมพาต และอัมพฤกษ์ ที่จะมีอาการแขนขาอ่อนแรงที่ร่างกายซีกใดซีกหนึ่ง  ***


แม่เริ่มมีความหวังเล็กๆ ว่าอาจทำให้พ่ออยู่ได้นานโดยช่วยเหลือตัวเองได้ตามสภาพที่ควร คนที่เป็นโรคนี้ที่มีอายุอยู่ได้นานก็มีหลายคน ใครที่เป็นแฟนเพลงของ Jason Becker  สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง (Stephen William Hawking) นักคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์จักรวาล ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้วยกันว่าเป็นนักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อจากไอน์สไตน์ เลยทีเดียว  ระยะการดำเนินของโรคประมาณ 2-4 ปี นับแต่เริ่มเป็น แต่สองคนแรกนี้ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน เป็นมาร่วมเกือบ 20 ปี Stephen Hawking ปัจจุบันอายุ 69 ปี (เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2485) เป็นโรคนี้ตั้งแต่อายุ 21 ปี นับถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไป 48 ปีแล้ว ว่ากันว่า ทุกวินาทีที่ผ่านไปของทั้งคู่ คือสถิติใหม่ของวงการแพทย์!!! เจสันยังแต่งเพลงได้ตามปกติ แต่คนที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับโรค ALS คือ วิลเลี่ยม เขาเล่าในหนังสือว่า เมื่อหมอบอกว่าเขาจะมีอายุอยู่ได้อีก 3 เดือน เขาคิดว่า เขาจะนอนรอความตายหรือจะทำอะไรให้ตัวเองได้บ้าง เขาเริ่มออกไปอยู่นอกเมืองกับภรรยา กลางทุ่ง อากาศดี และทานแต่ผัก ผลไม้ ถั่ว แทนการบริโภคเนื้อสัตว์ ปัจจัยที่ทำให้เซลเสื่อม สาเหตุหนึ่งมาจากอาหารที่เราบริโภคเข้าไป และอากาศที่มีมลภาวะเป็นพิษ ส่วนอาหารที่เขาทดลองบริโภคต่างๆ เพื่อทำให้ร่างกายดีขึ้นนั้น เขาจดไว้ในหนังสืออย่างละเอียดทีเดียว แต่หนังสือนี้ปัจจุบันคงพิมพ์มาหลายรอบแล้ว เล่มที่แม่ได้มานั้น พิมพ์ครั้งที่ 7 แล้วเพราะผู้เขียนต้องเพิ่มเติมเนื้อหาทุกครั้ง เพราะเขายังคงมีชีวิตอยู่เหมือนคนปกติ แค่ใช้รถเข็นเท่านั้นเอง....

                 สิ่งที่ต้องบอกทุกคนที่ป่วยคือ หากใจคุรไม่สู้แล้ว ยาใดใด มันไม่มีผลเลยแต่หากว่าใจคุณเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยต่อโรคภัย ไม่นั่งโทษในสิ่งที่เกิดมาแล้วที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าเพราะอะไร ทำไมถึงต้องมาเป็นโรคร้ายแรงเหล่านี้ ขอให้คุณหาหนทางแก้ไขเท่าที่จะทำได้หรือใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่า ให้คนรอบด้านรู้สึกว่า มีความสุขที่อยู่กับคุณจนกว่าจะตายจากกัน แบบนี้ดีกว่าไหม
                หลายๆคนมักบอกว่าให้สงสารผู้ป่วย ให้กำลังใจ แต่สำหรับฉันฉันมองว่าทุกอย่างต้องมองสองด้าน คนป่วยน่าสงสารเพราะโรคภัย แต่คนรอบข้างก็น่าสงสารเพราะต้องต่อสู้ในโลกต่อไป นึกถึงคนที่นอนป่วย ที่ต้องการการดูแล แต่คนที่ดูแลก็ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ทั้งตัวผู้ป่วยเอง ลูกๆ โดยไม่รู้ว่า วันข้างหน้าจะเจอกับอะไรอีก ใครน่าสงสารกว่ากัน แทนที่ผู้ป่วยจะนั่งนอน โอดครวญเศร้าโศกในโรคภัยและชะตากรรม หากคุณเปลี่ยนตัวเอง ไม่สนใจกับมัน ใช้ชีวิตให้ยอมรับสภาพตัวเอง ทำตัวให้มีสุข ยอมรับและเลิกใส่ใจกับมัน พยายามช่วยตัวเองเท่าที่สามารถทำ เพราะลดความกดดันให้คนรอบด้าน จะดีกว่าไหม
               เพราะว่าพ่อฉันยังยอมรับตัวเองไม่ได้ อาการแย่ลงเกินกว่าที่แม่จะดูแลได้ ยามเวลาแม่ออกไปส่งงานและรับลูกต้องมีคนอยู่ด้วยตอดเวลา ดังนั้น ห้องเล็กๆของพวกเราจังมีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่งคนคือ
คนดูแลพ่อที่จ้างมาจากศูนย์  ห้องที่เล็กจึงอึดอัดขึ้นไปอีก พยาบาลจากศูนย์ทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งอาหาร และค่าจ้าง แต่ไม่นานก็มีปัญหากับพ่อจนต้องเปลี่ยนใหม่ พ่อมีอาการหงุดหงิดง่าย จุกจิก คนดูแลงานไม่มากนัก แต่คงเบื่อและอึดอัดที่อยู่ในห้องแคบๆทั้งวัน เวลาพ่อให้ไปซื้อของกลางวัน มักหายไปนานๆเสมอ ไปคุยเล่นกับคนนอกและนัดคนเพื่อนข้างนอกมาพูดคุยข้างล่างตึกนานๆ พวกเราเคยเห็นเวลากลับมาที่คอนโด จนถึงคนสุดท้ายคือ   " พี่ปอง"  พี่ปองเป็นคนซื่อๆตัวดำๆ แต่อดทนสูงมาก หลายครั้งที่พี่ปองจะลาออกเพราะพ่อ แต่แม่ขอร้องไว้ ว่าอว่าช่วยแม่ดีกว่า พี่ปองจึงเหมือนเพื่อนเล่น พี่เลี้ยงของพวกเรา พี่ปองชอบมาคุยด้วยกับเราบ่อยๆ แม่ชอบพี่ปองมาก เพราะเป็นคนไม่นิ่งดูดาย มาช่วยแม่ด้วยเวลาแม่เตรียมอาหาร จึงอยู่กับอย่างญาติมากกว่านานหลายปีทีเดียว  พี่ปองช่วยดูแลอาหารให้พ่อ พ่อยังคงทานลูกเดือย ถั่วเขียว เต้าหู้ น้ำขิง นม ไข่ เพียงเท่านี้ แต่สิ่งนั้นทำให้พ่อ อายุยืนหลังจากหมอบอกว่าอีกสามเดือนมาได้อีกห้าปีกว่า

                    แต่สิ่งที่พ่อเปลี่ยนไปมากมายคือ อารมณ์ฉุนเฉียว บางครั้งพ่อทะเลาะกับพี่ปองในเรื่องไร้สาระ พอแม่ตัดสินตามเหตุผลว่าพี่ปองถูก พ่อก็พาลโกรธแม่ ด่าทอแม่มากมาย พ่อมีอาการระแวงแม่ตลอดเวลา เป็นระแวงแบบคิดไปเองทั้งนั้น เพราะแม่นิสัยคือ ไม่ชอบไปไหนอยู่แล้วนอกจากไปส่งลูก เก็บเงิน แต่คนป่วยอย่างพอว่างพอจะจินตนาแบบเดิมๆไม่รู้จบ ยิ่งเพื่อนพ่อประสบปัญหาเมียทิ้ง ความระแวงก็ลงที่แม่เสมอ แม่มีอาการเคลียดมาก เริ่มป่วยเพราะทำงานดึก และจิตใจที่ถูกกดดัน ทั้งการหาเงิน และความกดดันต่างๆ แม่บอกฉันว่า แม่ไม่เคยสนใจใครนอกจากลูกๆ ต้องคิดว่าจะเลี้ยงลูกสามคนให้รอดจนจบการศึกษาได้อย่างไร แม่มีแรงกายเท่านี้เอง อาการปวดหัวของแม่มากขึ้น จนล้มลงในวันหนึ่ง พวกเราหยุดไปโรงเรียนเมื่อแม่ป่วย และในที่สุดความอดทนของแม่ก็สิ้นสุดลง
                    ตอนนั้นฉันอายุ 11 ขวบกว่า แล้ว กำลังจะจบประถมศึกษาปีที่ 6 และจะเข้าเรียนมัธยมปีที่ 1 แม่ตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด พอดีช่วงนั้นโรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดมีการสอนแบบ English Program ราคาสามหมื่นเศษต่อเทอม ซึ่งถูกกว่าโรงเรียนสองภาษาในกรุงเทพมากมาย แม่พาฉันไปสอบฉันเพิ่งรู้ก่อนวันสอบแค่สองวัน ตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะสอบได้ด้วยซ้ำ
                  และไม่นานผลสอบก็ออกมา ฉันสอบเข้าได้ และวิถีชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไป ทางโรงเรียนบังคับให้ต้องเรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ ต้องเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเที่ยงทุกวันยกเว้นเสาร์อาทิตย์เป็นระยะเวลาเดือนครึ่ง นั่นหมายถึงแม่ต้องมาส่งฉันเรียน เย็นก็ต้องไปรับลูกอีกสองคนกลับบ้าน เพราะช่วงนั้นน้องๆของฉันยังไม่ปิดเทอม เราจึงย้ายมาอยู่ที่ชลบุรีไม่ได้ ต้องรอน้องๆปิดเทอมและต้องหาโรงเรียนใหม่ที่ชลบุรีให้ได้ก่อนทุกคน ตอนนั้น แม่เลือกโรงเรียนที่แม่เคยเรียนจนจบมัธยมสามให้น้องทั้งสองคน และโรงเรียนนี้กำลังจะสอบเข้าพอดี นั่นหมายถึงน้องทั้งสองต้องมาสอบเข้าเรียนด้วยทั้งสองคนที่โรงเรียนนี้ น้องเยี่ยมมาเข้าประถมสี่ น้องเล็กมาเข้าประถมสอง อีกสองวันแม่ต้องพาน้องสองคนมาสอบที่โรงเรียนที่เลือกไว้แล้ว และโรงเรียนก็ลึกเกินกว่าที่ผู้ไม่มีรถจะเข้าไปเองได้ แล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็มาถึง ในเมื่อแม่ตัดสินใจที่จะให้ฉันเข้าโรงเรียนใหม่ น้องสองคนก็ต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ บ้านคุณยายของเราอยู่ลึกมาก การเดินทางไม่สะดวกนักหากไม่มีรถยนต์เอง ส่วนโรงเรียนที่จะให้น้องๆอยู่ก็ลึกขึ้นเขาไปเช่นกัน สิ่งที่แม่ตระหนักเป็นอย่างแรกคือ ต้องขับรถยนต์เป็น เพราะมอเตอร์ไซต์คงไม่สามารถแบกลูกสามคนซ้อนไปโรงเรียนได้ในคันเดียว แม่ของฉันจึงไปที่โรงเรียนสอนขับรถยนต์ แล้วบอกกับครูสอนว่า
."ช่วยสอนฉันให้ขับรถยนต์ให้ได้ภายในวันเดียวได้ไหมคะ ฉันมีเวลาแค่นี้เอง" แม่ขอร้องครูสอนขับรถยนต์
" เป็นไปไม่ได้แน่นอน " ครูตอบอย่างมั่นใจ
"งั้น 2 วัน" เพราะอีกสองวันฉันต้องใช้รถ"
" ผมไม่เคยทำแบบนั้นกับใครเลยนะครับ ผมรับปากไม่ได้"
" ฉันจะลองดู แล้วค่อยว่ากัน" แม่พูดเสียงแน่วแน่ เพราะแม่เองรู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น แม่ไม่ชอบการขับรถแม่กลัวไปชนคนอื่น แต่เมื่อชีวิตเป็นแบบนี้ แม่ไม่มีทางเลือกอื่น
"งั้นก็ได้ครับ จะมาเรียนวันไหนครับ"
" วันนี้เดี๋ยวนี้ด้วย" แม่ตอบทันที ครูมองหน้าแม่ และคงรับรู้ถึงความจำเป็นของผู้หญิงคนนี้ ที่มาพร้อมลูกสามคน

ครูพาแม่ไปที่สวนลุมไนท์พลาซ่า สถานที่จอดรถในพลาซ่านั้นเป็นที่สอนวิธีการ ให้รู้การใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น การจับพวงมาลัย การเลี้ยง การถอยหลัง การจอดรถ การเบรค และกฎจารจรพื้นฐานอื่นๆ แม่ฝึกขับรถโดยมีพวกเราสามคนนั่งหลังคอยลุ้น แม้จะผิดกฎที่มีคนนั่งเบาะหลังก็ตาม เพราะไม่ปลอดภัยนักที่จะฝากชีวิตไว้กับคนหัดขับใหม่ๆ แต่แม่บอกว่า
" ฉันไม่ทิ้งลูกฉันไว้ข้างทางหรอกนะ"

แม่หัดพื้นฐานอยู่หนึ่งชั่วโมง ครูก็พาออกถนนไปสีลม สาทร ทางที่ต้องกลับบ้าน ถนนย่านนั้นใครๆก็ทราบดีว่ารถหนาแน่นมาก แต่แม่ฉันตอนนี้มีแต่ความบ้าละห่ำ ไม่สนใจคำว่าอันตรายเหมือนที่ผ่านมา ใจมุ่งมั่นอย่างเดียว ที่สะกดความกลัวในใจให้เลือนหายไป ...............

ฉันเริ่มรู้สึกว่า คนเราสำคัญที่ใจโดยแท้ หากใจมุ่งมั่นแล้ว มันลบได้แม้ความกลัวใดใด ............

วันนั้นผ่านไปด้วยดี แม่ขับรถกลับไปคอนโดเองโดยมีครูแนะนำ ขึ้นที่จอดรถที่ลาดชัด เลี้ยวขึ้นเนินที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่เฉี่ยวเอาขอบๆทางขึ้นที่แคบมาก แต่แม่ก็ทำได้ แม่จะไปอย่างช้าๆ ครูแนะนำว่า การขับรถ ก็ขับในเลนของเราอย่าออกนอกเลนเป็นใช้ได้ เวลามีปัญหาเราก็ไม่ผิด วันนั้นจบลงด้วยความราบรื่นดี

วันรุ่งขึ้น แม่ก็ไปเรียนอีก บอกครูว่า แม่ต้องใช้เส้นทางที่ขับไปชลบุรี ต้องขึ้นทางด่วน ขอให้ได้ลองขับตามเส้นทางนั้น ครูก็เป็นพี่เลี้ยงให้แม่ตามคำขอร้อง สองชั่วโมง ที่ขับขึ้นทางด่วนและขับกลับ ทุกอย่างก็เป็นปกติดี แต่ครูคงไม่นึกว่า วันรุ่งขึ้นแม่จะพาเราสามคนพี่น้องขับรถออกจากสีลมมาสอบที่ชลบุรี แม้เรียนขับรถได้เพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
วันรุ่งขึ้น ตั้งแต่ตีห้า แม่พาเรามุ่งหน้าไปชลบุรี เพราะหลีกเลี่ยงความหนาแน่นของรถแต่ละวัน ยามเช้าถนนปลอดโปร่งดี แม่ขับรถช้ามาก อยู่ในเลนที่เลือกไม่เปลี่ยนไปไหน ตามครูสอน แม้มีรถซาเล้งที่เก็บขยะยามเช้านำหน้าบางครา แม่ก็ไม่เปลี่ยนเลน รอซาเล้งคันเก่า ต้วมเตี้ยมไปอย่างเชื่องช้า จนซาเล้งคันนั้นรู้สึกตัวว่ามีรถสีทองคันใหญ่ขับตามมาจึงหลบเข้าข้างทางเสีย นั่นแหละแม่จึงขับต่อไปได้ การขับรถแบบปล่อยเดี่ยวครั้งแรกของแม่ ความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เปลี่ยนเลนหากไม่เลี้ยว ไม่มีการแซงใดๆ เพราะไม่ชำนาญ ฉันถูกสั่งให้ทำหน้าที่อ่านป้ายบอกทาง เพื่อจะไม่หลงทาง รถเยี้องย่างมาถึงชลบุรีได้เมื่อ 10 โมงเช้า ออกจากสีลมตีห้า ปกติคนอื่นใช้เวลาแค่ ชั่วโมงครึ่งก็คงถึงแล้ว มาถึงโรงเรียน ห้องสอบถูกเก็บเรียนร้อย การสอบเข้าเสร็จสิ้นลงหมดแล้ว แม่เดินเข้าไปหาอธิการของโรงเรียน แนะนำลูกๆของแม่ทั้งสามคน ซิสเตอร์และครูหลายๆคนจำแม่ได้เป็นอย่างดี แม่บอกเหตุผลว่า ท่านมาช้าเพราะเพิ่งขับรถเป็นครั้งแรก และเรียนขับรถได้แค่สี่ชั่วโมงที่มาถึงได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ขอความกรุณาให้ลูกทั้งสองได้สอบเถิดนะคะ ซิสเตอร์มองเด็กๆสองคน ที่ยังเล็กๆอย่างเมตตา น้องเล็กเกาะซิสเตอร์โหนไปมาอย่างซุกซน ไม่สนหรือรับรู้ความลำบากของผู้ใหญ่ ซิสเตอร์ตกลง บอกให้เด็กๆไปสอบข้อเขียน พอเสร็จก็เป็นสอบสัมภาษณ์ น้องเล็กก็ได้สอบสัมภาษณ์ง่ายๆ เรื่องทั่วๆไป แต่น้องเยี่ยม ถูกตั้งคำถามหนึ่งว่า
" มาจากโรงเรียนพระหฤทัยที่กรุงเทพ โรงเรียนก็ใหญ่ แล้วย้ายมาเข้าที่นี่ทำไมคะ" ครูร่างสูงใหญ่ผิวขาวคนหนึ่งถาม
" แม่บังคับให้มาครับ" น้องเยี่ยมวัย 9 ขวบตอบชัดถ้อยชัดคำ ครูหลายคนที่ได้ยินขำกันถ้วนหน้า
" แล้วหนูดื้อหรือเปล่าคะ" ครูคนเดิมถาม
" ดื้อบ้างไม่ดื้อบ้างครับ" ครูเริ่มยิ้มกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ
" แล้วมาอยู่โรงเรียนนี้จะดื้อหรือเปล่าคะ" น้องเยี่ยมหยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า
" ยังไม่ทราบครับ"
" อ้าว แล้วงั้นจะเรียนที่นี่ไหมคะ"
" เรียนครับ "
" ทำไมถึงเรียนล่ะคะ"
" แม่บอกครับ แล้วโรงเรียนก็น่าอยู่ดีครับ"
ครูยิ้มกว้าง ขำน้องเยี่ยม แล้วบอกว่า
" งั้นครูรับเข้าเรียนที่นี่นะคะ หวังว่าหนูต้องเป็นเด็กดีใช่ไหมครับ"
"ครับ" วันนั้น แม่บอกลากลับบ้าน โดยมีคณะซิสเตอร์และครูส่งกลับและอวยพรให้ขับรถกลับอย่างปลอดภัย แม่เสร็จธุระก็แวะไปหาคุณยายที่โรงเรียน หวังจะรับไปส่งบ้าน
น่าขำที่คุณยายบอกแม่ว่า
" ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ไปเอง คุณพ่อจะมารับนัดไว้ที่ตลาด "
แม่ก็ไม่ว่าอะไรขับรถล่วงหน้ากลับไปบ้านยายก่อน ถึงบ้านสักครู จึงเห็นยายมาด้วยรถจักรยานยนต์เช่าจากหน้าปากซอย
สรุปก็คือ ยายไม่นั่งรถที่แม่ของฉันขับนั่นเอง เพราะรู้ว่าเพิ่งเรียนมาได้สามสี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่คุณตาของฉันกลับบอกยายว่า
" ลองขับมาได้จากกรุงเทพแล้วล่ะก็ คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ" แต่เรื่องขับรถยังไม่จบแค่นั้น เพราะขามานั้นรถน้อยเพราะเป็นเช้ามืด แต่ตอนกลับสิคะ เป็นช่วงเย็นที่จราจรมากมาก แถมตอนลงทางด่วนตรงไบเทคบางนา เจองานมอเตอร์โชว์ คนมากแค่ไหนทุกคนคงทราบดี แม่ลงทางด่วนปุ๊บ ขาสั่นทันที
" แล้วฉันจะทำไง ไม่รู้เลนไหนเป็นเลนไหน ทำไมมันไม่อยู่ในเลนกันเลย แม่ต้องแทรกเพื่อขึ้นทางด่วนตรงบางนาเสียด้วย ทำไงดีๆๆๆๆ" แม่ร้องทันทีที่เจอรถมากมายข้างหน้า
" จะจอดตรงนี้รอคนมาขับให้ก็คงไม่ได้ รถคงติดกันมโหราญ"  พวกเราสามคนมองรถตรงหน้าอย่างกลุ้มใจแทน รถมากมายจริงๆ ผิดกับเมื่อเช้านี้
" เป็นไงก็เป็นกัน" แล้วแม่ก็ค่อยๆกดไฟเพื่อนเตรียมเปลี่ยนเลน เข้าทางด่วนบางนา จากคันแรก คันสอง คันสาม คันสี่ คันที่ห้า ทีละน้อยๆ จนแทรกเลนได้ในที่สุด แล้วตั้งแต่วันนั้น แม่ของฉันก็ไม่กลัวการขับรถอีกเลย แม้จะขับช้า แต่ก็ถึงโดยปลอดภัยเสมอ
 เราสี่คนถึงที่พักที่สีลมอย่างปลอดภัย แม่บอกว่า

" ชีวิต มันก็ต้องเจอกับหลายๆสิ่งที่เป็นครั้งแรกเสมอ หากไม่ลองทำก็ไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ หากเราผ่านอุปสรรคที่ยากไปได้ ก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วล่ะ"
" แม่ไม่กลัวหรือคะ" ฉันอดถามไม่ได้
" กลัวสิ แม่กลัวไปชนเขาแล้วไม่มีเงินจ่าย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ณ ตอนนั้นเราต้องช่วยตัวเอง เพราะไม่มีทางเลือกอื่น"
แม่ ยังคงมองไปข้างหน้าเสมอ .....................
ฉันรู้ว่าแม่เหนื่อยมาก ฉันจึงตั้งใจว่า จะเรียนและมีงานทำที่ดีให้จงได้ เพราะแบ่งเบาภาระของแม่ได้บ้าง

4 ความคิดเห็น:

  1. อ่านยังไม่จบดี ไว้จะมาอ่านต่อนะครับ

    ตอบลบ
  2. อยากขอยืมหนังสือเกี่ยวกับการดุแลตัวเองและการรับประทานอาหาร
    ที่วิลเลียมเขียน ขอสำเนา ดิฉันจ่ายเงินค่าสำเนาและค่าส่งเอง
    เพราะขณะนี้ พี่ชายของดิฉันเป็น ย่างเข้าปีที่ 2 พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง
    ทรงตัวไม่ได้ มีอาการสำลักไม่อยากใส่สายยาง ส่งไปอยุ่สถานพยาบาล
    คนป่วย CARE NURSING HOME บรรยากาศไม๋ค๋อยด๊ แต่ยังดีที๋มีคนดูแล
    ไม่ทราบว่า ขอผุ้ดุแลจากศุนยืไหน ราคาเท่าไรคะ่ อยากได้เบอรืติดต่อจัง
    หรือส่ง mail มาที่ PINSUKKO@hotmail.com

    ตอบลบ
  3. ขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการดุแลตัวเองและการรับประทานอาหาร
    ที่วิลเลียมเขียนด้วยบ้างได้มั้ยครับ หาซื้อได้ที่ไหนครับ แล้วหนังสือมีชื่อว่าอย่างไรครับ ลองเสิร์จ Book by Stephenฯ แล้วมีเยอะมากเป็นภาษาอังกฤษด้วย หาลำบากมากครับ ถ้าเป็นฉบับแปลจะดีมากเลยครับ

    ถ้าเป็นไปได้ ผมขอฝากเมลไว้ในนี้เลยนะครับ royal.sp@hotmail.com

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณสำหรับบันทึกดี ๆ ที่แบ่งปันให้แก่กันครับ

    ตอบลบ