23/5/52

ตอนที่ 5 :ไปหาหมอนวด





อันนี้ต้องคงเรียกว่า “หมอนวด” ตามความคิดของเด็กอย่างฉันในตอนนั้น ที่แรกคือวัดโพธิ์ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการนวดแผนโบราณ นี่คือที่ๆประเดิมเป็นที่แรก
“วัดโพธิ์” หรือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” ตั้งอยู่ที่ท่าเตียน ก่อนไปฉันจินตนาการว่า คงมีแต่หมอแก่ๆที่นี่เพราะเห็นว่าเป็นที่เก่าแก่ด้านการนวดแผนไทนมาช้านาน แต่เปล่าเลยที่ฉันเห็นก็คือ เตียงที่เรียงเป็นแถวยาว คนนวดหรือหมอนวดแผนไทยนี้มีแต่วัยหนุ่มสาว แต่คนที่ไปนวดมีแต่สูงวัยเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีหมอแก่ๆเลย แม่ขมวดคิ้วเมื่อไปถึง ทำหน้าเหมือนไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เราต้องรับบัตรคิว เพราะคนใช้บริการมากมายพวกเราไปเมียงๆมองๆคนอื่นที่นวดอยู่ ท่านวดแต่ละท่ามีมากมาย ดัดแข็งขากันดังกร๊อปๆ ดุจจะหัก ก่อนนวดต้องไปตรวจก่อน เขาจะถามอาการ และส่งไปนวด การนวดที่นี่จะใช้นวดโดยใช้ลูกประคบช่วย

ลูกประคบจะถูกนึ่งจนร้อนพอดีๆ ส่วนประกอบของลูกประคบก็จะมี ไพลสด ขมิ้นชัน ตะไคร้บ้าน ผิวมะกรูด ใบส้มป่อย พิมเสน การบูร เกลือ เป็นตัวหลักของลูกประคบ แม่เดินไปถามว่าหมอเก่าแก่มีบ้างไหมคะ ได้รับคำตอบว่า หมอแก่ไปเปิดร้านเองหมดแล้ว หรือไม่ก็ไปเป็นอาจารย์ แต่ทุกคนศึกษามาจากตำราเดียวกันทั้งนั้น แม่ฟังแล้วก็เฉยๆ พอถึงคิวพ่อตรวจ คนตรวจก็บอกว่ารักษาได้แน่นอน ไม่ต้องห่วง ไม่กี่ครั้งก็หาย เชื่อสิ
พ่อยิ้มกริ่ม แต่แม่ก็เฉยๆตามเคย เราสังเกตว่า แต่ละคนก็นวดเหมือนๆกัน จะเน้นก็ตรงที่คิดว่าปวดมาก แต่พ่อฉัน ไม่เคยปวดที่ตรงไหน เขาดัดตัวพ่อตรงโน้นนี้ พลิกคว่ำหงายน่าเวียนหัว พวกเรายืนดูกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็ไปเดินเที่ยวกันกับแม่

ที่วัดโพธิ์มียักษ์ยืนเท่ห์มากเฝ้าประตูอยู่มีกายสีแดง ตัวใหญ่มากเลย พวกเราชอบมาก แม่จึงเล่าว่า อยากรู้ไหมว่ามีที่มาอย่างไรเราจึงไปอ่านตำนานยักษ์วัดโพธิ์กัน
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์ ๒ ตน ตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดโพธิ์ อีกตนหนึ่งชื่อยักษ์วัดแจ้ง ยักษ์วัดโพธิ์อยู่และมีหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์ ยักษ์วัดแจ้งก็อยู่และดูแลวัดแจ้ง หรือ วัดอรุณราชวรารามซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ยักษ์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่ง ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน จึงข้ามแม่น้ำไปขอยืมเงินยักษ์วัดแจ้ง และนัดวันที่จะนำเงินไปคืน เมื่อถึงวันนัด ยักษ์วัดโพธิ์ก็ไม่นำเงินไปคืนตามที่ได้สัญญาไว้ ยักษ์วัดแจ้งคอย และเห็นว่าเลยวันนัดไปหลายวันแล้ว ยักษ์วัดโพธิ์ก็ยังทำเฉยไม่ยอมคือเงินให้ ยักษ์วัดแจ้งจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำมาทวงเงินยักษ์วัดโพธิ์ แต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ให้ ในที่สุดก็ทะเลาะกันและต่อสู้กันด้วย ยักษ์ทั้งสองมีร่างกายสูงใหญ่ มีกำลังมาก เพราะฉะนั้นเวลาสู้กันก็ทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นล้มลง และถูกเหยียบตายหมด เมื่อเลิกต่อสู้กัน ก็ปรากฏว่าบริเวณนั้นราบเรียบไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยกลายเป็นท่าเตียน เมื่อพระอิศวรรู้เรื่องยักษ์ทั้งสองที่สู้กันจนทำให้ทั้งคน สัตว์ และต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณนั้นเดือดร้อนก็โกรธมาก จึงลงโทษยักษ์ทั้งสองโดยสาปให้กลายเป็นหินยืนเฝ้าที่หน้าอุโบสถวัดโพธิ์และวัดแจ้งมาจนทุกวันนี้

น้องชายของฉันถึงกับชอบยักษ์เป็นนักหนาบอกว่าเท่ห์ดีตัวโตดี ที่วัดโพธิ์นี้มีคนมาเที่ยวมากมาย ส่วนมากเป็นฝรั่ง มีของไทยๆขายด้วย เช่น ข้าวแช่ห์หาบมาขาย สำรับดูน่าทานแท้ แม่ซื้อให้ลอง แต่เราชิมแล้วไม่ชอบเลย แต่ชอบกินกับข้าวมันมากกว่า เช่นเนื้อฝอยหวานๆอร่อยดี แต่ตัวข้าวเย็นๆแข็งๆไม่อร่อยรสชาดแปลกๆ เดินชมภาพฝาผนังและส่วนต่างๆจนเพลิน ก็ได้เวลาพ่อนวดเสร็จแล้ว พวกเราจึงเดินไปรับพ่อ

พอเจอพ่อ น้องฉลามก็เข้าไปบอกเสียงใสว่า “เราไปดูยักษ์มา ยักษ์ตัวโตด้วย” น้องชายยังมีทีท่าสนุกสนานอยู่ น้องเล็กก็แย่งกันเล่าตามประสามากมายฟังไม่ทัน พ่อยิ้มๆ แม่จึงเข้าไปถามว่า “เป็นไง” “ก็ดี” พ่อตอบ
พวกเราไปหาอะไรทานกันวันนั้นแล้วก็กลับบ้าน ระหว่างทางก็เป็นการเล่าเรื่องยักษ์ไปตลอด พอสิ้นเสียงก็เห็นน้องสองคนหลับไปแล้ว

เช้ารุ่งขึ้น พ่อตื่นมาพร้อมอาการปวดมากมาย คงเพราะการนวดดัดตนต่างๆทำให้พ่อรู้สึกปวดมาก พ่อไม่ไปหาหมอนวดวัดโพธิ์อีกเลย

ต่อมาความพยายามจะนวดให้หายของพ่อยังมีอยู่ พวกเราไปเดินตลาด เจอหญิงแก่ๆคนหนึ่งดูจนๆมาทักพ่อว่า ขายึดใช่ไหม เดินไม่สะดวกใช่ไหม ไม่มีอาการปวดใช่ไหม แค่นั้นเอง แล้วแกก็บอกว่า “ให้แกลองไหม แกคิดแค่หกพันค่ายาหม้อและไปนวดให้ถึงบ้านสิบครั้ง” พ่อตกลง แต่แม่ไม่ยินยอม มากระซิบถามพ่อว่า “ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าเชื่อถือเลย” พ่อก็ว่า “เอาน่าลองดู ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่เผื่อหาย”
สิบวันหลังจากนั้น ก็มียายคนนี้ไปต้มยา และนวดที่บ้าน ขาสกปรกๆ เหยียบตามตัวพ่อ ดูไม่ชอบเลย ยิ่งแม่แล้วยิ่งไม่พอใจ “เงินหกพันกับยายแก่คนนี้ ที่ดูสกปรกๆกับท่านวดใช้เท้าเหยียบนี่นะ” แม่บ่นพ่อจนเลิกบ่น
สิบวันผ่านไป อาการพ่อดูจะไม่ดีขึ้นเลย ปวดมากมายตามมา จากที่ไม่ปวด เลยปวดทั้งตัว
แม่เล่าให้พ่อฟังว่า “แถวบ้านแม่ หมอนวดที่ไม่ชำนาญมานวดๆจับเส้นนี่แหละ จับกันพลาดถึงตาย เฮียไม่ควรให้พวกนี้นวดนะ ถ้าพลาดมาจะทำไง แค่เขาบอกว่ารักษาได้ก็ยอมเขาแล้วนี้นะ เงินทองก็ใช่ว่าจะมีมากมาย”
“ถ้าหายเงินหาเมื่อไหร่ก็ได้น่า” พ่อเถียง แล้วหาว่า แม่ไม่อยากให้พ่อหายหรือไง
“พูดมาได้นะแบบนี้ “แม่โมโหเลยไม่พูดอีกเลย

ตอนนั้นด้วยอาการป่วย พ่อไปทำงานไม่สะดวกแล้ว บางที่เขาก็ไม่อยากจ้าง เพราะหลายๆบริษัทต้องไปตรวจที่ต่างจังหวัด พ่อเริ่มมีปัญหาเรื่องงานและกิจการ ตอนนั้นเป็นยุคการเปลี่ยนแปลงเรื่องลิขสิทธิ์ และยุคที่วีดีโอคนนิยมน้อยลง ไปนิยมวีซีดีแทน การค้าเริ่มแย่ลง ปัญหาจับลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมีมากมายจนร้านของเราโดนจับ แม่ในฐานะชื่อเป็นเจ้าของต้องโดนตำรวจจับ เราไม่มีเงินสดมาประกันตัวแม่ เดือดร้อนถึงคุณตา ที่ต้องมาจากต่างจังหวัดมาเซ็นประกันตัว ครั้งนั้นเราเสียเงินไปมากมาย จนต้องปิดกิจการ อีกทั้งร้านที่เพิ่งลงทุนก็เจอปัญหาที่ผู้ให้เช่าเสียชีวิตลง และทายาทไล่ที่ บ้านที่พ่อซื้อเพื่อขายทีละหลายๆหลังขายไม่ออก เนื่องจากปัญหาตะวันออกกลาง รวมปัญหามาในทีเดียวกัน พ่อของเราโดนฟ้องล้มละลาย เพราะจ่ายดอกเบี้ยไม่ทัน ค่าป่วยที่ต้องจ่ายบ่อยครั้ง กลายเป็นรายจ่ายประจำ งานของแม่แค่เลี้ยงลูกได้ก็แทบแย่แล้ว แม่เริ่มไม่มีเงินพอกับค่าเล่าเรียนลูก และคนที่ช่วยเหลือให้ทุนเรามาเสมอก็คือ “พี่แป้น” เพื่อนรักของแม่ บ่อยครั้งที่เงินค่าเทอมเราไม่มี แม่คนที่ไม่เคยยืมเงินใครเลย แต่ต้องไปเอาเงินเพื่อน อย่างที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะใช้คืนได้ แม่เริ่มเก็บตัว ไม่สมาคม ทำแต่งานๆ ทั้งกลางวันกลางคืน เงินที่พ่อได้มา แค่ใช้ค่ายา ค่ากายภาพบำบัดของพ่อวันละพันก็หมดแล้ว ทางบ้านเริ่มขัดสนรุนแรง……….แต่การรักษาพ่อก็ยังต้องดำเนินต่อไป
จากยายแก่คนนั้น พ่อวิ่งเข้าศูนย์กายภาพบำบัดที่ได้มาตราฐาน ที่ศูนย์นี้ มีเครื่องมือกายภาพบำบัดมากมาย
พวกเราจะเห็นคนไข้ที่ผาตัดจากอุบัติเหตุไปหัดยืนบ้าง เดินบ้าง ทุกคนต้องใช้เวลากับการฟื้นฟูร่างกายหลังผ่าตัด การกายภาพที่นี่จะไม่นานมาก เพราะว่าต้องไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป แรกๆก็ดูเหมือนขาพ่อจะเดินดีขึ้น แต่ก็เป็นได้ไม่นาน พ่อเข้าที่นี่ได้หกเดือนก็หยุดอีก

จากนั้นพ่อเอาถุงทรายมารัดขาเวลาเดิน เพื่อให้เหมือนกายภาพขา ระยะนี้ กล้ามเนื้อบริเวณน่องของพ่อดูลีบลงไปจนน่าตกใจ สองปีกว่าแล้วกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตามโรงหมอต่างๆแต่ความหวังยังเลือนลาง ทุกคนเริ่มไม่คาดหวัง……………….
“กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในวันหนึ่ง
คุณยายจากต่างจังหวัดโทรมาบอกว่า “มีหมอของสมเด็จคนนึ่งเก่งมาก รักษาคนเป็นอัมพาตยังหายเลย แต่คนเยอะมาก จะมารักษาแค่เดือนละครั้งที่วัดเขาจะไปลองดูไหม “
แม่ให้ไปบอกป๊าและถามว่าจะไปไหม”ไปไป” ป๊าตอบ

วันนั้นพวกเราไปชลบุรีกัน ห้าโมงเย็นไปที่วัดเขา วัดอยู่บนเขาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่า ห้าโมงเย็นคนจะคิวยาวขนาดนี้ ค่ารักษาแค่สิบบาทเป็นค่าอุปกรณ์แค่นั้นเอง ใครไม่มีก็ไม่ต้องให้ เป็นหมอสมัยใหม่ที่เก่งด้านจัดกระดูก และดูเป็นหมอที่ดี ไม่ได้หวังค่ารักษาประการใด เราไปรับบัตรคิว โดนต่อแถวยาวเหยียด ยาวจริงๆ
บางรายก็ต้องอุ้มกันมา เช่นผู้ที่เป็นอัมพาต โปลิโอ คนเหล่านี้บอกว่า ท่านผู้นี้เก่งจริงๆนะ ลูกเขาหมอจัดไม่กี่ครั้ง ตอนนี้เริ่มเดินได้แล้ว แม่ถามคนโน้นนี้ทีระหว่างรอคิว ความหวังเริ่มมาอีกครั้ง รายไหนที่ดูหนัก และญาติเล่าว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แม่จะตื่นเต้น แล้ววิ่งมาเล่าให้พ่อฟัง เรารอตั้งแต่ห้าโมงเย็น จนคุณยายที่มาด้วยโทรให้คุณตามารับพวกเรากลับบ้านไปก่อน แต่ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ เลยให้น้องสองคนกลับไป ครั้งนั้น พ่อกว่าจะได้รักษาคือตอนตีสาม
กว่าจะได้กลับบ้าน เกือบเช้าทีเดียว หมอบอกว่า ไม่รับปากว่าจะหายนะ เพราะตรวจไม่พบอาการผิดปกติ ไม่ทราบสาเหตุ การรักษาของหมอจัดกระดูกต้องใช้สองคน อีกคนร่างใหญ่กว่าหมอดูแข็งแรง จะมาช่วยจับพ่อให้นิ่งๆ แล้วหมอใหญ่ก็เข้าไปจัดกระดูกดังสนั่นเลย ดัดคอด้วย ฉันดูด้วยความอัศจรรย์ผสมกลัวมากตอนเสียงกระดูกลั่น เพิ่งทราบว่า การรักษาแบบนี้ก็มีด้วย

วันรุ่งขึ้นพ่อก็ไม่ได้บ่นว่าเจ็บปวดอะไร แต่ก็ไม่ได้บ่นว่าดีขึ้น แม่ถามว่า”แล้วจะไปอีกไหม”
“ไม่แล้ว” พ่อตอบ”คนมันเยอะ ลำบากรอนาน”
“ไม่เป็นไร หากป๊าคิดว่าดีขึ้น” แม่ว่า
“ไม่แล้วดีกว่า” พ่อบอก

จากนั้นก็มีผู้แนะนำหมอนวดให้พ่ออีกมากมาย แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย แต่พ่อก็ยังคงลองเปลี่ยนคนเสมอๆ ใครที่ว่าหมอดีที่ไหน เราไปนวดมาจนหมด
จนกระทั้งวันหนึ่งแม่ได้อ่านในหนังสือเรื่องการรักษาแบบ“ไคโรแพกทริก”
พวกเราจึงได้มีโอกาสเยี่ยมเยียนแพทย์แนวใหม่กันอีกครั้ง…………….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น